
.
วีระยุทธ เขียนเวียดนาม vs ไทย คู่ไล่กวดแห่งศตวรรษ ชี้ถ้ากลัวเขาแซง เราต้องจริงจังพัฒนาโครงสร้างคน แปลงเงินภาษีเป็นอนาคต
.
เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2568
วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน เผยแพร่ข้อเขียนผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง “เวียดนาม vs ไทยแลนด์ : การไล่กวดแห่งศตวรรษที่ 21” มีเนื้อหาดังนี้
.
เวียดนามยังตามหลังไทย
.
ถ้าดูแบบ “ภาพนิ่ง” เวียดนามยังตามหลังไทย ทั้งในด้านขนาดเศรษฐกิจและรายได้ประชากรต่อหัว
.
คนเวียดนามตอนนี้มีรายได้เฉลี่ย 4,490 ดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่ของไทยคือ 7,120 ดอลลาร์ หรือ 200,000 กว่าบาทต่อปี สูงกว่าเวียดนามเกือบสองเท่าตัว
.
งานที่ศึกษาเชิงลึกก็ชี้ให้เห็นจุดอ่อนของเวียดนามหลายด้าน โดยเฉพาะการพึ่งพาตลาดส่งออกและบริษัทข้ามชาติสูงมาก จนต้องยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้สหรัฐฯ ยอมลดภาษีนำเข้า ในขณะที่กิจการท้องถิ่นมักเป็นรัฐวิสาหกิจหรือกลุ่มทุนที่ได้รับการปกป้อง แต่ยังพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันไม่ค่อยได้
.
ฝันใหญ่ 20 ปี
.
แต่ผู้กำหนดนโยบายของเวียดนามกล้ายอมรับความจริง กล้าตัดสินใจเรื่องยากๆ อย่างการปฏิรูประบบราชการ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาคน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็น “ประเทศรายได้สูง” ในปี 2045 หรืออีก 20 ปี
.
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เวียดนามปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ ปรับโครงสร้างกรม-กอง-กระทรวง รวมถึงหน่วยงานท้องถิ่น แม้แต่หน่วยงานใต้พรรคคอมมิวนิสต์เอง
.
แต่ก็เป็นจังหวะที่เหมาะทางการเมือง เพราะการ “ลดคน” ตอนที่เศรษฐกิจกำลังเฟื่องฟู ทำให้มีโอกาสงานภาคเอกชนเปิดกว้างรอรับอยู่ ไม่ได้ทำตอนเศรษฐกิจถดถอย
.
นอกจากนี้ สัปดาห์ที่ผ่านมายัง “เล่นใหญ่” เพื่อดึงดูดความสนใจของโลกที่กำลังปั่นป่วนกับสงครามการค้า ด้วยการประกาศลงทุนมหาศาล ใหญ่ขนาด 10% ของจีดีพี เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน 250 โครงการ
.
“โครงสร้างพื้นฐาน” ที่ว่าไม่ได้มีแค่ถนนกับสนามบิน แต่รวมถึงการสนับสนุน R&D ในอุตสาหกรรมไฮเทคอย่างเซมิคอนดักเตอร์ สร้างโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด โรงพยาบาลเฉพาะทางเพื่อรักษามะเร็ง การพัฒนาแรงงานจริงจัง
.
เวียดนามรู้ว่าตัวเอง “เปราะบาง” เพราะพึ่งพาเศรษฐกิจภายนอกสูงเกินไป โจทย์ในระยะ 5–10 ปีข้างหน้าจึงมุ่งเพิ่มศักยภาพและความสำคัญของตลาดภายใน
.
แต่ไม่ใช่ “รัฐนำ” เท่านั้น มีการประสานกับภาคเอกชนด้วย โครงการก่อสร้างชุดใหญ่ที่ว่าก็ใช้เงินรัฐราว 37% เท่านั้น ที่เหลือมีภาคเอกชนร่วมลงทุน เช่น Sumitomo ของญี่ปุ่นร่วมลงขัน 4,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างสมาร์ทซิตี้แห่งใหม่ทางเหนือของกรุงฮานอย
.
ตั้งเป้าไว้ 20 ปี แต่ถ้าโตได้ปีละ 7% กว่าแบบนี้ อีกแค่ 15 ปี เวียดนามก็จะกลายเป็นประเทศรายได้สูง
.
การพัฒนาคนแบบเวียดนาม
.
“การพัฒนาคน” เป็นหัวใจความสำเร็จของเสือเอเชียตะวันออกมาตั้งแต่ยุคเกาหลี ไต้หวัน สิงคโปร์
.
นโยบายอุตสาหกรรมหรือมาตรการเศรษฐกิจจะสวยหรูอย่างไร ก็ไม่มีทางออกดอกผล ถ้าคนไม่พร้อม
.
อันที่จริง ภาพนิ่งด้านการศึกษาของเวียดนามก็ยังแพ้ไทย เวียดนามมีแรงงานเพียง 13% เท่านั้นที่จบการศึกษาระดับอาชีวะหรือปริญญาตรี ในขณะที่ของไทยมีสัดส่วน 21%
.
แต่ก็เหมือนกับเรื่องอื่นๆ คือเวียดนามฝันใหญ่และทำจริง
.
รัฐบาลตั้งเป้าผลิตคนด้านเซมิคอนดักเตอร์ 50,000 คนภายใน 5 ปีข้างหน้า
.
แยกประเภทชัดเจน ว่าเป็นส่วนที่เกี่ยวกับการออกแบบ 30% ส่วนอีก 70% ทำด้านการผลิตและทดสอบ แล้วก็เริ่มจากการเทรนครูจำนวน 1,300 คนก่อน เพื่อจะได้ไปสอนตามมหาวิทยาลัยและศูนย์วิจัยทั่วประเทศ
.
ทั้งนี้ ไม่อยากให้คิดถึง “เซมิคอนดักเตอร์” ราวกับชิปสุดล้ำที่แยกจากขาดจากอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เราคุ้นเคย
.
ในความเป็นจริง เซมิคอนดักเตอร์ที่ลงทุนในเวียดนามระยะแรก คือการต่อยอดอุตสาหกรรมเดิม
.
บริษัทใหญ่ในอุตสาหกรรมเก่าต่างกำลังยกระดับตัวเองด้วยเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะในยานยนต์ที่ต้องขยับจากสันดาปไปสู่ไฟฟ้าและซอฟต์แวร์
.
เพราะต้นทุน 1 ใน 5 ของยานยนต์ไฟฟ้า 1 คัน คือเซมิคอนดักเตอร์ – การพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ก็คือการทำให้อุตสาหกรรมเก่าได้ไปต่อในโลกยุคใหม่
.
เช่นเดียวกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทักษะของเวียดนามก็ไม่ใช่ “รัฐนำ” ล้วนๆ แต่ทำงานร่วมกับบริษัทชั้นนำของโลกอย่าง Samsung (เกาหลีใต้) Marvell (สหรัฐฯ) Alchip (ไต้หวัน) โดยเฉพาะส่วนที่เน้นพัฒนาแรงงานหัวกะทิเพื่อทำงานวิจัยแห่งละ 200–500 คน
.
เราควรใช้เงินปีละหลายหมื่นล้านสร้างคนอย่างไร?
.
ประเทศไทยเราไม่ได้ขาดงบประมาณนะครับ
.
แต่ละปี เรามีงบด้านพัฒนาคน (ต่อยอดจากการศึกษาขั้นพื้นฐาน) หลายหมื่นล้านบาท ไม่แพ้เวียดนาม
.
ปัญหาคือ ในขณะที่ทุกคนพูดถึงคน พูดถึงความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ แต่กลับไม่ค่อยมีใครลงมาดูรายละเอียดของการใช้งบประมาณเลย
.
เช่นงบ 69 ที่เพิ่งผ่านสภาผู้แทนราษฎรไป การพัฒนาทักษะแรงงานไทยปีนี้ถูกตั้งเป้าไว้ 900,000 กว่าคน – สูงกว่าของเวียดนามเสียอีก
.
โดยความหวังสูงสุดไปฝากไว้กับ “โครงการจัดหาระบบแฟ้มสะสมทักษะรายบุคคลระดับอุดมศึกษา” (Skill/Credit Portfolio) เริ่มต้นโครงการในปีงบ 69 ด้วยเงิน 773 ล้านบาท และจะทำต่อเนื่องไปอีก 4 ปี ใช้งบประมาณรวมทั้งโครงการ 5,400 ล้านบาท
.
แต่ในรายละเอียด โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ “จัดเก็บ บูรณาการ และแสดงข้อมูลทักษะการเรียนรู้ของบุคคล” ซึ่งได้แก่นักศึกษาปริญญาตรีปีการศึกษา 2567 จำนวน 1.6 ล้านคน โดยจะทำคลิปวีดิโอที่เน้น “การช่วยให้รู้จักและเข้าใจตนเอง อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้” จำนวน 447 คลิป ความยาวคลิปละ 15 นาที
.
เราะจะฝากความหวังในการแก้ปัญหาวิกฤตทรัพยากรมนุษย์และทักษะแรงงานไทย ไว้กับโครงการนี้ได้แค่ไหน มีประโยชน์เพิ่มจากระบบที่เรามีอยู่แล้ว และทำงานค่อนข้างดีอย่าง Thai-MOOC ได้จริงหรือ
.
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ไม่ใช่ทุกทักษะที่ยกระดับกันได้ผ่านระบบออนไลน์ โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่กำลังสาหัส ยังไงก็ต้องมีโครงการที่ลงไปพัฒนาคนหน้างานอย่างจริงจัง
.
คนไทยเคยรวยกว่าคนเกาหลีใต้ แต่ก็จนถึงปี 1968 หรือ พ.ศ. 2511 เท่านั้น
.
วงการเศรษฐศาสตร์โลกที่ศึกษาเศรษฐกิจช่วง 1970–2000 จึงมักใช้ไทยกับเกาหลีใต้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาเปรียบเทียบ
.
ทั้งในด้านนโยบายเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับทุน บทบาทของปัจจัยภายนอกต่อเส้นทางการพัฒนา
.
พอมาถึงศตวรรษที่ 21 เวียดนามจะกลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญประเทศหนึ่งอย่างแน่นอน ว่าในฐานะ “ผู้มาทีหลัง” ได้ทำอะไรที่เหมือนหรือต่างไปจากเสือเอเชียตะวันออกยุคก่อน และได้ผลลัพธ์อย่างไร
.
ถ้าเรากลัวเวียดนามจะแซงจริงๆ ก็ต้องจริงจังกับการพัฒนาคน พัฒนาทักษะกันมากกว่านี้
.
ต้องเปลี่ยนจากการพูดคุยระดับวิสัยทัศน์ มาให้ถึงรายละเอียดระดับโครงการ ว่าควรออกแบบประสานระหว่างรัฐกับเอกชนอย่างไรในแต่ละอุตสาหกรรม จัดสรรงบประมาณอย่างไรให้เหมาะสม
.
ถ้าจะแปลงเงินภาษีให้กลายเป็นอนาคตประเทศได้ มีแต่ต้องเปลี่ยนวิธีการใช้งบและวิธีกำหนด KPI ของกลไกราชการเท่านั้น
.
https://www.facebook.com/Veerayooth.Kanchoochat/posts/pfbid0AgQozLBkNMBdPqA4QU8N6jJPJaLXc1wn6LGFDke9MFxF2Tsb2vzfJMfaYnqxdWQRl
.
.
คณะ IOT ไปช่องจุ๊ปตะโมก เช้านี้เจออีกลูกขณะเคลียร์พื้นที่ ผู้ช่วยทูตฯมาเลย์ กอดให้กำลังทหารลาดตระเวนวันเกิดเหตุ
https://www.matichon.co.th/local/news_5332117
.
คณะ IOT ไปช่องจุ๊ปตะโมก เช้านี้เจออีกลูกขณะเคลียร์พื้นที่ ผู้ช่วยทูตฯมาเลย์ กอดให้กำลังทหารลาดตระเวนวันเกิดเหตุ
.
เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 20 สิงหาคม คณะผู้สังเกตการณ์ IOT และสื่อมวลชน ได้เดินทางไปที่ช่องจุ๊ปตะโมก จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นจุดที่ สิบเอก
ธีรพล เพียขันที สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 2610 เหยียบกับระเบิดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นพื้นที่แนวชายแดนไทยกัมพูชา เจ้าหน้าที่อธิบายว่า โดยปกติแล้วจุดนี้วางแนวรั้วลวดหนามทั้งหมด 3 แนว มาตั้งแต่ปี 2554 ซึ่งเป็นพื้นที่ของประเทศไทย ส่วนนอกแนวรั้วลวดหนามกัมพูชาสามารถลัดเลาะขึ้นมาได้ ซึ่งคณะฯ ก็อาจจะได้ยินเสียงของทหารกัมพูชาได้
.
ก่อนเกิดเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ยังมีการลาดตระเวนตามปกติ / แต่วันที่ 11 สิงหาคม ไม่สามารถลาดตระเวนได้ เพราะมีฝนตกหนัก กระทั่งวันที่ 12 สิงหาคม ก็เกิดเหตุทหารเราเหยียบกับระเบิด จึงได้จัดชุดตรวจค้นวัตถุระเบิดแล้วก็พบ ระเบิดอีก 3 ลูกอยู่บริเวณใกล้เคียง
.
จากนั้นจึงให้คณะผู้สังเกตการณ์ เข้าไปดูบริเวณที่สิบเอก
ธีรพล เหยียบกับระเบิด ซึ่งเป็นพื้นที่ของไทย ทางเจ้าหน้าที่ TMAC อธิบาย และชี้ให้คณะผู้สังเกตการณ์ดูจุดที่พบระเบิดอีก 3 จุด ซึ่งกู้หมดแล้ว
.
และเมื่อเช้าได้มีการเคลียร์พื้นที่อีกครั้ง เพื่อต้อนรับคณะผู้สังเกตการณ์ จึงพบระเบิดเพิ่มอีก 1 ลูกอยู่ไม่ห่างจากจุดที่เหยียบระเบิดไม่กี่ร้อยเมตร
.
ทางฝ่ายกัมพูชาน่าจะลักลอบขึ้นมาวางกับระเบิดช่วงกลางคืน เพราะกำลังพลที่อยู่ในฐานได้ยินเสียงขวดที่ผูกไว้กับลวดหนาม ลักษณะได้ยินเสียงเหมือนมีคนเขย่ารั้วลวดหนาม
.
ในจุดนี้ทางผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียประจำประเทศไทย สอบถามว่า ทางนายทหารที่เดินตาม สิบเอก
ธีรพล บอกว่า เดินห่างจากสิบเอก
ธีรพล ประมาณ 1-2 เมตร ก่อนเกิดเหตุ ทำให้ตนยังคงหูอื้ออยู่
.
หลังจากฟังบรรยายสรุป ทางผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซีย จึงเข้าไปสวมกอดนายทหารที่เดินตามสิบเอก
ธีรพล เพื่อให้กำลังใจ
.
.
เผย คณะ IOT เชื่อมั่นไทยอยู่ในกติกาสากล ซัดเขมรกล่าวหาไทยวางทุ่นระเบิดเอง
https://www.matichon.co.th/politics/news_5332178
.
โฆษก ทบ. เผย คณะ IOT เชื่อมั่นไทยอยู่ในกติกาสากล เป็นสุภาพบุรุษ รับกัมพูชาทำผิดข้อตกลงนานนับ 10 ปี ไทยจึงใช้โอกาสด้านกำลังผลักดัน แจงไม่มีที่ไหนในโลกทำกันหลังเขมรอ้างไทยเฟคนิวส์ วางทุ่นระเบิดเอง ส่วนทหารเขมรโทรขอโทษอ้างกำลังพลเมา โวยวายที่ช่องอานม้า ไม่รู้จะมีใครเชื่อหรือไม่
.
เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ที่วัดบ้านพรานหนองคันนาราษฎร์บำรุง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ พลตรี
วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนภายหลังกองทัพไทยและกองทัพบก นำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) และสำนักข่าวต่างประเทศ เข้าสังเกตการณ์ในพื้นที่ บ้านโนนมะยาง ช่องจุ๊ปตะโมก เป็นที่ตั้งติดกับชายแดนไทย-กัมพูชา ใกล้กับประสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เพื่อตรวจพื้นที่จุด กองร้อยทหารพรานที่ 2610 (กพ.ร้อย.ทพ.2610) เหยียบกับระเบิด
.
พล.ต.
วินธัย บอกว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวจะมี 2 ส่วน ส่วนแรกคือ คณะสังเกตการณ์ชั่วคราว จะเข้ามาสังเกตการณ์ว่าทั้ง 2 ฝ่ายเป็นไปตามข้อตกลงการหยุดยิง 13 ข้อหรือไม่ โดยมุ่งเน้น 3 ข้อหลัก คือ
JJNY : 5in1 คู่ไล่กวดแห่งศตวรรษ│IOT ไปช่องจุ๊ปตะโมก│IOT เชื่อมั่นไทย│21 ส.ค. นัดไต่สวน│อินเดียนำเข้าน้ำมันรัสเซียลดลง
.
วีระยุทธ เขียนเวียดนาม vs ไทย คู่ไล่กวดแห่งศตวรรษ ชี้ถ้ากลัวเขาแซง เราต้องจริงจังพัฒนาโครงสร้างคน แปลงเงินภาษีเป็นอนาคต
.
เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2568 วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน เผยแพร่ข้อเขียนผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง “เวียดนาม vs ไทยแลนด์ : การไล่กวดแห่งศตวรรษที่ 21” มีเนื้อหาดังนี้
.
เวียดนามยังตามหลังไทย
.
ถ้าดูแบบ “ภาพนิ่ง” เวียดนามยังตามหลังไทย ทั้งในด้านขนาดเศรษฐกิจและรายได้ประชากรต่อหัว
.
คนเวียดนามตอนนี้มีรายได้เฉลี่ย 4,490 ดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่ของไทยคือ 7,120 ดอลลาร์ หรือ 200,000 กว่าบาทต่อปี สูงกว่าเวียดนามเกือบสองเท่าตัว
.
งานที่ศึกษาเชิงลึกก็ชี้ให้เห็นจุดอ่อนของเวียดนามหลายด้าน โดยเฉพาะการพึ่งพาตลาดส่งออกและบริษัทข้ามชาติสูงมาก จนต้องยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้สหรัฐฯ ยอมลดภาษีนำเข้า ในขณะที่กิจการท้องถิ่นมักเป็นรัฐวิสาหกิจหรือกลุ่มทุนที่ได้รับการปกป้อง แต่ยังพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันไม่ค่อยได้
.
ฝันใหญ่ 20 ปี
.
แต่ผู้กำหนดนโยบายของเวียดนามกล้ายอมรับความจริง กล้าตัดสินใจเรื่องยากๆ อย่างการปฏิรูประบบราชการ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาคน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็น “ประเทศรายได้สูง” ในปี 2045 หรืออีก 20 ปี
.
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เวียดนามปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ ปรับโครงสร้างกรม-กอง-กระทรวง รวมถึงหน่วยงานท้องถิ่น แม้แต่หน่วยงานใต้พรรคคอมมิวนิสต์เอง
.
แต่ก็เป็นจังหวะที่เหมาะทางการเมือง เพราะการ “ลดคน” ตอนที่เศรษฐกิจกำลังเฟื่องฟู ทำให้มีโอกาสงานภาคเอกชนเปิดกว้างรอรับอยู่ ไม่ได้ทำตอนเศรษฐกิจถดถอย
.
นอกจากนี้ สัปดาห์ที่ผ่านมายัง “เล่นใหญ่” เพื่อดึงดูดความสนใจของโลกที่กำลังปั่นป่วนกับสงครามการค้า ด้วยการประกาศลงทุนมหาศาล ใหญ่ขนาด 10% ของจีดีพี เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน 250 โครงการ
.
“โครงสร้างพื้นฐาน” ที่ว่าไม่ได้มีแค่ถนนกับสนามบิน แต่รวมถึงการสนับสนุน R&D ในอุตสาหกรรมไฮเทคอย่างเซมิคอนดักเตอร์ สร้างโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด โรงพยาบาลเฉพาะทางเพื่อรักษามะเร็ง การพัฒนาแรงงานจริงจัง
.
เวียดนามรู้ว่าตัวเอง “เปราะบาง” เพราะพึ่งพาเศรษฐกิจภายนอกสูงเกินไป โจทย์ในระยะ 5–10 ปีข้างหน้าจึงมุ่งเพิ่มศักยภาพและความสำคัญของตลาดภายใน
.
แต่ไม่ใช่ “รัฐนำ” เท่านั้น มีการประสานกับภาคเอกชนด้วย โครงการก่อสร้างชุดใหญ่ที่ว่าก็ใช้เงินรัฐราว 37% เท่านั้น ที่เหลือมีภาคเอกชนร่วมลงทุน เช่น Sumitomo ของญี่ปุ่นร่วมลงขัน 4,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างสมาร์ทซิตี้แห่งใหม่ทางเหนือของกรุงฮานอย
.
ตั้งเป้าไว้ 20 ปี แต่ถ้าโตได้ปีละ 7% กว่าแบบนี้ อีกแค่ 15 ปี เวียดนามก็จะกลายเป็นประเทศรายได้สูง
.
การพัฒนาคนแบบเวียดนาม
.
“การพัฒนาคน” เป็นหัวใจความสำเร็จของเสือเอเชียตะวันออกมาตั้งแต่ยุคเกาหลี ไต้หวัน สิงคโปร์
.
นโยบายอุตสาหกรรมหรือมาตรการเศรษฐกิจจะสวยหรูอย่างไร ก็ไม่มีทางออกดอกผล ถ้าคนไม่พร้อม
.
อันที่จริง ภาพนิ่งด้านการศึกษาของเวียดนามก็ยังแพ้ไทย เวียดนามมีแรงงานเพียง 13% เท่านั้นที่จบการศึกษาระดับอาชีวะหรือปริญญาตรี ในขณะที่ของไทยมีสัดส่วน 21%
.
แต่ก็เหมือนกับเรื่องอื่นๆ คือเวียดนามฝันใหญ่และทำจริง
.
รัฐบาลตั้งเป้าผลิตคนด้านเซมิคอนดักเตอร์ 50,000 คนภายใน 5 ปีข้างหน้า
.
แยกประเภทชัดเจน ว่าเป็นส่วนที่เกี่ยวกับการออกแบบ 30% ส่วนอีก 70% ทำด้านการผลิตและทดสอบ แล้วก็เริ่มจากการเทรนครูจำนวน 1,300 คนก่อน เพื่อจะได้ไปสอนตามมหาวิทยาลัยและศูนย์วิจัยทั่วประเทศ
.
ทั้งนี้ ไม่อยากให้คิดถึง “เซมิคอนดักเตอร์” ราวกับชิปสุดล้ำที่แยกจากขาดจากอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เราคุ้นเคย
.
ในความเป็นจริง เซมิคอนดักเตอร์ที่ลงทุนในเวียดนามระยะแรก คือการต่อยอดอุตสาหกรรมเดิม
.
บริษัทใหญ่ในอุตสาหกรรมเก่าต่างกำลังยกระดับตัวเองด้วยเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะในยานยนต์ที่ต้องขยับจากสันดาปไปสู่ไฟฟ้าและซอฟต์แวร์
.
เพราะต้นทุน 1 ใน 5 ของยานยนต์ไฟฟ้า 1 คัน คือเซมิคอนดักเตอร์ – การพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ก็คือการทำให้อุตสาหกรรมเก่าได้ไปต่อในโลกยุคใหม่
.
เช่นเดียวกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทักษะของเวียดนามก็ไม่ใช่ “รัฐนำ” ล้วนๆ แต่ทำงานร่วมกับบริษัทชั้นนำของโลกอย่าง Samsung (เกาหลีใต้) Marvell (สหรัฐฯ) Alchip (ไต้หวัน) โดยเฉพาะส่วนที่เน้นพัฒนาแรงงานหัวกะทิเพื่อทำงานวิจัยแห่งละ 200–500 คน
.
เราควรใช้เงินปีละหลายหมื่นล้านสร้างคนอย่างไร?
.
ประเทศไทยเราไม่ได้ขาดงบประมาณนะครับ
.
แต่ละปี เรามีงบด้านพัฒนาคน (ต่อยอดจากการศึกษาขั้นพื้นฐาน) หลายหมื่นล้านบาท ไม่แพ้เวียดนาม
.
ปัญหาคือ ในขณะที่ทุกคนพูดถึงคน พูดถึงความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ แต่กลับไม่ค่อยมีใครลงมาดูรายละเอียดของการใช้งบประมาณเลย
.
เช่นงบ 69 ที่เพิ่งผ่านสภาผู้แทนราษฎรไป การพัฒนาทักษะแรงงานไทยปีนี้ถูกตั้งเป้าไว้ 900,000 กว่าคน – สูงกว่าของเวียดนามเสียอีก
.
โดยความหวังสูงสุดไปฝากไว้กับ “โครงการจัดหาระบบแฟ้มสะสมทักษะรายบุคคลระดับอุดมศึกษา” (Skill/Credit Portfolio) เริ่มต้นโครงการในปีงบ 69 ด้วยเงิน 773 ล้านบาท และจะทำต่อเนื่องไปอีก 4 ปี ใช้งบประมาณรวมทั้งโครงการ 5,400 ล้านบาท
.
แต่ในรายละเอียด โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ “จัดเก็บ บูรณาการ และแสดงข้อมูลทักษะการเรียนรู้ของบุคคล” ซึ่งได้แก่นักศึกษาปริญญาตรีปีการศึกษา 2567 จำนวน 1.6 ล้านคน โดยจะทำคลิปวีดิโอที่เน้น “การช่วยให้รู้จักและเข้าใจตนเอง อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้” จำนวน 447 คลิป ความยาวคลิปละ 15 นาที
.
เราะจะฝากความหวังในการแก้ปัญหาวิกฤตทรัพยากรมนุษย์และทักษะแรงงานไทย ไว้กับโครงการนี้ได้แค่ไหน มีประโยชน์เพิ่มจากระบบที่เรามีอยู่แล้ว และทำงานค่อนข้างดีอย่าง Thai-MOOC ได้จริงหรือ
.
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ไม่ใช่ทุกทักษะที่ยกระดับกันได้ผ่านระบบออนไลน์ โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่กำลังสาหัส ยังไงก็ต้องมีโครงการที่ลงไปพัฒนาคนหน้างานอย่างจริงจัง
.
คนไทยเคยรวยกว่าคนเกาหลีใต้ แต่ก็จนถึงปี 1968 หรือ พ.ศ. 2511 เท่านั้น
.
วงการเศรษฐศาสตร์โลกที่ศึกษาเศรษฐกิจช่วง 1970–2000 จึงมักใช้ไทยกับเกาหลีใต้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาเปรียบเทียบ
.
ทั้งในด้านนโยบายเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับทุน บทบาทของปัจจัยภายนอกต่อเส้นทางการพัฒนา
.
พอมาถึงศตวรรษที่ 21 เวียดนามจะกลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญประเทศหนึ่งอย่างแน่นอน ว่าในฐานะ “ผู้มาทีหลัง” ได้ทำอะไรที่เหมือนหรือต่างไปจากเสือเอเชียตะวันออกยุคก่อน และได้ผลลัพธ์อย่างไร
.
ถ้าเรากลัวเวียดนามจะแซงจริงๆ ก็ต้องจริงจังกับการพัฒนาคน พัฒนาทักษะกันมากกว่านี้
.
ต้องเปลี่ยนจากการพูดคุยระดับวิสัยทัศน์ มาให้ถึงรายละเอียดระดับโครงการ ว่าควรออกแบบประสานระหว่างรัฐกับเอกชนอย่างไรในแต่ละอุตสาหกรรม จัดสรรงบประมาณอย่างไรให้เหมาะสม
.
ถ้าจะแปลงเงินภาษีให้กลายเป็นอนาคตประเทศได้ มีแต่ต้องเปลี่ยนวิธีการใช้งบและวิธีกำหนด KPI ของกลไกราชการเท่านั้น
.
https://www.facebook.com/Veerayooth.Kanchoochat/posts/pfbid0AgQozLBkNMBdPqA4QU8N6jJPJaLXc1wn6LGFDke9MFxF2Tsb2vzfJMfaYnqxdWQRl
.
.
คณะ IOT ไปช่องจุ๊ปตะโมก เช้านี้เจออีกลูกขณะเคลียร์พื้นที่ ผู้ช่วยทูตฯมาเลย์ กอดให้กำลังทหารลาดตระเวนวันเกิดเหตุ
https://www.matichon.co.th/local/news_5332117
.
คณะ IOT ไปช่องจุ๊ปตะโมก เช้านี้เจออีกลูกขณะเคลียร์พื้นที่ ผู้ช่วยทูตฯมาเลย์ กอดให้กำลังทหารลาดตระเวนวันเกิดเหตุ
.
เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 20 สิงหาคม คณะผู้สังเกตการณ์ IOT และสื่อมวลชน ได้เดินทางไปที่ช่องจุ๊ปตะโมก จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นจุดที่ สิบเอกธีรพล เพียขันที สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 2610 เหยียบกับระเบิดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นพื้นที่แนวชายแดนไทยกัมพูชา เจ้าหน้าที่อธิบายว่า โดยปกติแล้วจุดนี้วางแนวรั้วลวดหนามทั้งหมด 3 แนว มาตั้งแต่ปี 2554 ซึ่งเป็นพื้นที่ของประเทศไทย ส่วนนอกแนวรั้วลวดหนามกัมพูชาสามารถลัดเลาะขึ้นมาได้ ซึ่งคณะฯ ก็อาจจะได้ยินเสียงของทหารกัมพูชาได้
.
ก่อนเกิดเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ยังมีการลาดตระเวนตามปกติ / แต่วันที่ 11 สิงหาคม ไม่สามารถลาดตระเวนได้ เพราะมีฝนตกหนัก กระทั่งวันที่ 12 สิงหาคม ก็เกิดเหตุทหารเราเหยียบกับระเบิด จึงได้จัดชุดตรวจค้นวัตถุระเบิดแล้วก็พบ ระเบิดอีก 3 ลูกอยู่บริเวณใกล้เคียง
.
จากนั้นจึงให้คณะผู้สังเกตการณ์ เข้าไปดูบริเวณที่สิบเอกธีรพล เหยียบกับระเบิด ซึ่งเป็นพื้นที่ของไทย ทางเจ้าหน้าที่ TMAC อธิบาย และชี้ให้คณะผู้สังเกตการณ์ดูจุดที่พบระเบิดอีก 3 จุด ซึ่งกู้หมดแล้ว
.
และเมื่อเช้าได้มีการเคลียร์พื้นที่อีกครั้ง เพื่อต้อนรับคณะผู้สังเกตการณ์ จึงพบระเบิดเพิ่มอีก 1 ลูกอยู่ไม่ห่างจากจุดที่เหยียบระเบิดไม่กี่ร้อยเมตร
.
ทางฝ่ายกัมพูชาน่าจะลักลอบขึ้นมาวางกับระเบิดช่วงกลางคืน เพราะกำลังพลที่อยู่ในฐานได้ยินเสียงขวดที่ผูกไว้กับลวดหนาม ลักษณะได้ยินเสียงเหมือนมีคนเขย่ารั้วลวดหนาม
.
ในจุดนี้ทางผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียประจำประเทศไทย สอบถามว่า ทางนายทหารที่เดินตาม สิบเอกธีรพล บอกว่า เดินห่างจากสิบเอกธีรพล ประมาณ 1-2 เมตร ก่อนเกิดเหตุ ทำให้ตนยังคงหูอื้ออยู่
.
หลังจากฟังบรรยายสรุป ทางผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซีย จึงเข้าไปสวมกอดนายทหารที่เดินตามสิบเอกธีรพล เพื่อให้กำลังใจ
.
.
เผย คณะ IOT เชื่อมั่นไทยอยู่ในกติกาสากล ซัดเขมรกล่าวหาไทยวางทุ่นระเบิดเอง
https://www.matichon.co.th/politics/news_5332178
.
โฆษก ทบ. เผย คณะ IOT เชื่อมั่นไทยอยู่ในกติกาสากล เป็นสุภาพบุรุษ รับกัมพูชาทำผิดข้อตกลงนานนับ 10 ปี ไทยจึงใช้โอกาสด้านกำลังผลักดัน แจงไม่มีที่ไหนในโลกทำกันหลังเขมรอ้างไทยเฟคนิวส์ วางทุ่นระเบิดเอง ส่วนทหารเขมรโทรขอโทษอ้างกำลังพลเมา โวยวายที่ช่องอานม้า ไม่รู้จะมีใครเชื่อหรือไม่
.
เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ที่วัดบ้านพรานหนองคันนาราษฎร์บำรุง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนภายหลังกองทัพไทยและกองทัพบก นำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) และสำนักข่าวต่างประเทศ เข้าสังเกตการณ์ในพื้นที่ บ้านโนนมะยาง ช่องจุ๊ปตะโมก เป็นที่ตั้งติดกับชายแดนไทย-กัมพูชา ใกล้กับประสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เพื่อตรวจพื้นที่จุด กองร้อยทหารพรานที่ 2610 (กพ.ร้อย.ทพ.2610) เหยียบกับระเบิด
.
พล.ต.วินธัย บอกว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวจะมี 2 ส่วน ส่วนแรกคือ คณะสังเกตการณ์ชั่วคราว จะเข้ามาสังเกตการณ์ว่าทั้ง 2 ฝ่ายเป็นไปตามข้อตกลงการหยุดยิง 13 ข้อหรือไม่ โดยมุ่งเน้น 3 ข้อหลัก คือ