🔥 คอลัมน์เดือด: "ทหารกัมพูชาโวยอะไรนักหนา?" 🔥

ที่ “ช่องอานม้า” เส้นพรมแดนไทย–กัมพูชา กลายเป็นฉากเดิมที่เราเห็นบ่อยครั้ง เมื่อทหารกัมพูชาต้อง “โวยวาย” กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ไทยทำ แม้กระทั่งการนำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) ขึ้นไปตรวจการณ์ในพื้นที่สูง ที่จริงแล้วก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมของฝ่ายไทย เพราะเป็นพื้นที่ที่อยู่ในเขตรับผิดชอบของเรา แต่กลับถูกตีความเป็น “การละเมิด” จากฝั่งกัมพูชา
สิ่งที่น่าตำหนิคือ ท่าทีของทหารกัมพูชาที่มักแสดงออกในเชิง “เจ้าของพื้นที่เพียงฝ่ายเดียว” ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือ บริเวณดังกล่าวยังอยู่ในเขตที่ไทยมีสิทธิเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มที่ ไม่ได้มีข้อผูกมัดใด ๆ ว่าจะต้องขออนุญาตจากพนมเปญก่อน
จะว่าไป การโวยครั้งนี้สะท้อนความ หวาดระแวงและพยายามสร้างภาพ ของกัมพูชา เพื่อบอกกับโลกว่าไทยเป็นฝ่าย “บุกรุก” หรือ “คุกคาม” ทั้งที่ความจริงแล้ว แค่การนำคณะผู้สังเกตการณ์ขึ้นพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูล ก็ถูกทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตเกินเหตุ
ท่าทีแบบนี้ของทหารกัมพูชา ไม่ต่างอะไรกับ “เด็กขี้งอแง” ที่ไม่อยากให้ใครก้าวเข้ามาใกล้ ทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่มีสิทธิขาดเหนือพื้นที่สูงตรงนั้น พฤติกรรมนี้ถ้าจะพูดตรง ๆ ก็คือ พยายามหาเรื่องไทยอยู่ร่ำไป เพื่อโยงเข้าสู่การเมืองภายในกัมพูชาเอง เพราะทุกครั้งที่โวย ก็เหมือนพยายามโชว์ศักดาให้ประชาชนฝั่งเขมรเห็นว่า “กองทัพยังเข้มแข็ง”
น่าเสียดายที่แทนที่จะใช้พื้นที่ชายแดนเป็น “สะพานแห่งมิตรภาพ” กลับเลือกใช้เป็น “สนามโวย” ไม่ต่างจากการสร้างวาทกรรมราคาถูก ที่สุดท้ายไม่ได้ทำให้ชีวิตของชาวบ้านตามแนวชายแดนดีขึ้นแม้แต่น้อย
คำถามคือ… จะโวยไปถึงเมื่อไหร่? ในเมื่อทุกครั้งก็จบลงด้วย “ปากเสียงเล็กน้อย” ไม่มีอะไรบานปลาย เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า ถ้าหลุดเกินเลย ความเสียหายจะตกแก่ใคร? ใช่แล้ว… ไม่ใช่แค่ไทย แต่กัมพูชาเองก็ต้องเจ็บหนักเช่นกัน
ดังนั้น ถ้าทหารกัมพูชายังอยากให้คนไทยและคนในภูมิภาคนี้เคารพ ก็ควรเลิก โวยวายพร่ำเพรื่อ แล้วหันมาเดินเกมการทูตบนโต๊ะ มากกว่าจะมาขึงขัง “อวดโวย” อยู่บนภูเขา
✍️ โปรดิวเซอร์แมลงสาบ
🔥 คอลัมน์เดือด: "ทหารกัมพูชาโวยอะไรนักหนา?" 🔥
ที่ “ช่องอานม้า” เส้นพรมแดนไทย–กัมพูชา กลายเป็นฉากเดิมที่เราเห็นบ่อยครั้ง เมื่อทหารกัมพูชาต้อง “โวยวาย” กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ไทยทำ แม้กระทั่งการนำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) ขึ้นไปตรวจการณ์ในพื้นที่สูง ที่จริงแล้วก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมของฝ่ายไทย เพราะเป็นพื้นที่ที่อยู่ในเขตรับผิดชอบของเรา แต่กลับถูกตีความเป็น “การละเมิด” จากฝั่งกัมพูชา
สิ่งที่น่าตำหนิคือ ท่าทีของทหารกัมพูชาที่มักแสดงออกในเชิง “เจ้าของพื้นที่เพียงฝ่ายเดียว” ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือ บริเวณดังกล่าวยังอยู่ในเขตที่ไทยมีสิทธิเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มที่ ไม่ได้มีข้อผูกมัดใด ๆ ว่าจะต้องขออนุญาตจากพนมเปญก่อน
จะว่าไป การโวยครั้งนี้สะท้อนความ หวาดระแวงและพยายามสร้างภาพ ของกัมพูชา เพื่อบอกกับโลกว่าไทยเป็นฝ่าย “บุกรุก” หรือ “คุกคาม” ทั้งที่ความจริงแล้ว แค่การนำคณะผู้สังเกตการณ์ขึ้นพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูล ก็ถูกทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตเกินเหตุ
ท่าทีแบบนี้ของทหารกัมพูชา ไม่ต่างอะไรกับ “เด็กขี้งอแง” ที่ไม่อยากให้ใครก้าวเข้ามาใกล้ ทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่มีสิทธิขาดเหนือพื้นที่สูงตรงนั้น พฤติกรรมนี้ถ้าจะพูดตรง ๆ ก็คือ พยายามหาเรื่องไทยอยู่ร่ำไป เพื่อโยงเข้าสู่การเมืองภายในกัมพูชาเอง เพราะทุกครั้งที่โวย ก็เหมือนพยายามโชว์ศักดาให้ประชาชนฝั่งเขมรเห็นว่า “กองทัพยังเข้มแข็ง”
น่าเสียดายที่แทนที่จะใช้พื้นที่ชายแดนเป็น “สะพานแห่งมิตรภาพ” กลับเลือกใช้เป็น “สนามโวย” ไม่ต่างจากการสร้างวาทกรรมราคาถูก ที่สุดท้ายไม่ได้ทำให้ชีวิตของชาวบ้านตามแนวชายแดนดีขึ้นแม้แต่น้อย
คำถามคือ… จะโวยไปถึงเมื่อไหร่? ในเมื่อทุกครั้งก็จบลงด้วย “ปากเสียงเล็กน้อย” ไม่มีอะไรบานปลาย เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า ถ้าหลุดเกินเลย ความเสียหายจะตกแก่ใคร? ใช่แล้ว… ไม่ใช่แค่ไทย แต่กัมพูชาเองก็ต้องเจ็บหนักเช่นกัน
ดังนั้น ถ้าทหารกัมพูชายังอยากให้คนไทยและคนในภูมิภาคนี้เคารพ ก็ควรเลิก โวยวายพร่ำเพรื่อ แล้วหันมาเดินเกมการทูตบนโต๊ะ มากกว่าจะมาขึงขัง “อวดโวย” อยู่บนภูเขา
✍️ โปรดิวเซอร์แมลงสาบ