หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (51)...เจ็บปวด
ความทุกข์โศกที่ต้องเจอทำให้ดวงเนตรเกือบลืม และทิ้งห่างการติดต่อกลับเมืองไทย คืนนี้จะได้คุยกับเตี่ยแม่ และน้อง ๆ แล้ว มันเป็น
ความสุขที่เหลืออยู่ของดวงเนตร เพียงแต่ดวงเนตรกลัวว่าทำนบแห่งความทุกข์โศกมันจะพังลงมาก่อนการสนทนาจะจบลง
เธอหายใจเข้าออกลึก ๆ แล้วกดโทรศัพท์หาเตี่ย “เตี่ยจ๊ะดวงเนตรนะ “
“เนตรหายไปนานเลย ช่วงนี้ยุ่งมากเหรอลูก”
“ค่ะ เทอมที่ผ่านไปเนตรได้ A หมดทุกวิชาเลยจ้ะเตี่ย” “เก่งมาก เนตรทำให้เตี่ยภูมิใจเสมอ” เสียงเตี่ยดีใจจริง ๆ
“เตี่ยเนตรย้ายมาเรียนที่มหาวิทยาลัยชิคาโกมากับพี่หนอยค่ะ แล้วเนตรจะอธิบายเรื่องราวให้เตี่ยรู้ทางจดหมายนะคะ”
“เออ! ได้ ๆ ดูแลสุขภาพด้วยตอนนี้อุ่นขึ้นแล้วใช่ไหม”
“จ้ะเตี่ย เตี่ยแม่สบายดีไหมคะ”
“ทุกคนทางนี้สบายดี ไม่ต้องห่วงนะ”
“ค่ะ”
“เตี่ยยังไม่ต้องส่งเงินมานะเพราะเนตรยังมีอยู่จ้ะ”
“อย่าประหยัดมากนักนะ” เสียงเตี่ยเป็นห่วง
“ค่ะ” หลายความรู้สึกมันจุกขึ้นเป็นก้อนที่ลำคอ มือถือโทรศัพท์คุยกับเตี่ยสั่นระริก
“เนตรเป็นอะไรลูก” ทำนบน้ำตาพังครืน เธอกัดริมฝีปากจนช้ำเป็นรอย
“เปล่าจ้ะ...เพิ่งหายหวัดยังเจ็บคออยู่”
“งั้นก็ไม่ต้องคุยมากละ แค่โทรมาบ่อย ๆ ก็พอเตี่ยจะได้ไม่ห่วง วางสายเถอะ แล้วอย่าลืมเขียนจดหมายมานะ”
”จ้ะเตี่ย” ดวงเนตรวางสายลงมือสั่นระริกน้ำตาไหลอาบเปรอะไปทั้งใบหน้าสวยที่หม่นหมอง ความเจ็บปวดกับความโหยหาความอบอุ่นจาก
ทางบ้าน มันเป็นอารมณ์ที่ปะทะและปะทุอย่างรุนแรงภายในใจเธอ เช่นนี้หรือที่เรียกว่าเจียนจะขาดใจ ความเจ็บปวดในใจดั่งแผ่นแก้วบางที่ปริออก
เป็นรอยร้าว พร้อมที่จะแตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ไม่เหลืออะไรเลย แรงสะอื้นที่มวนตัวอยู่ในช่องท้องถูกกดไว้ เธอทรุดตัวลงกำมือแน่น และสิ่งที่
คิดไม่ถึงก็เกิดเมื่อเธอเอามือที่กำแน่นกระแทกลงบนพื้นอย่างแรงครั้งแล้วครั้งเล่า ผิวมือแตกเลือดออกแล้วเสียงสะอื้นไห้ถี่ ๆ ก็ตามมา เธอฟุบลงสะ
อึกสะอื้นอยู่อย่างเดียวดาย เวลาผ่านไปเสียงสะอื้นไห้หยุดลง ดวงเนตรเงยหน้าขึ้นดวงตาแดงช้ำ เธอเอาปลายแขนเสื้อชุดนอนปาดน้ำตาจนแห้ง
เดินไปหยิบไวน์สองขวดที่เหลืออยู่กับแก้ววางลงที่โต๊ะไม้หลังบ้าน รินไวน์ไม่จิบแต่กระดก ดวงเนตรเข้าไปหยิบพี่หมีตัวใหญ่มากอดไว้แน่นด้วยมือ
เพียงข้างเดียว เสียงร่ำไห้หยุดแล้วที่เห็นคือผู้หญิงรูปร่างสูงโปร่ง นั่งอยู่เดียวดายใต้ต้นเมเปิล สายตามองหมู่ดาวที่กระจ่างเต็มท้องฟ้าซึ่งสว่างไสว
ในยามค่ำคืน ไวน์โรเซ่ที่เข้าปากเพื่ออาบดวงใจที่มีแผลเหวะหวะแทนทิงเจอร์อาบรดลงบนแผลสด ‘ยังเจ็บไม่พอใช่ไหม เอาให้ตายเลยดีไหม’
ความคิดเจ็บปวดรุนแรงหมุนวนไปตามอารมณ์
พี่ภัทรเฝ้ามองดวงเนตรห่าง ๆ เขาเดินมาหลบตรงมุมไม้ระแนง เห็นมือที่สั่นระริกของเธอขณะโทรศัพท์
หลายอย่างในตัวดวงเนตร และพ้องเพื่อนที่ดูอาทรซึ่งกันและกัน ทำให้เขาอยากรู้จักเธอมากขึ้น แต่ที่เห็นเธอทรุดตัวลงกำมือแน่นแล้วต่อยอย่างแรง
ลงกับพื้นห้อง ตามมาด้วยเสียงสะอื้นไห้อย่างน่าสงสาร หัวไหล่ที่สั่นไปตามแรงสะอื้น เสียงร่ำไห้ปานจะขาดใจ “เด็กเอ๊ย! กับความเจ็บปวดปานนี้
ทำให้เธอทำร้ายตัวเองได้เชียวเหรอเนี่ย” สายตาที่เคยมองดวงเนตรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ภัทรคิด...หากเขามีน้องสาวสักคนที่ร่ำไห้อย่างนี้เขาจะทน
ได้หรือเขาก้าวช้า ๆ เข้าบ้านพร้อมเสียงถอนหายใจ
สว่างแล้วดวงเนตรรู้สึกเจ็บที่มือ เลือดแห้งกรังแต่แผลไม่ลึก ‘ช่างมัน’ เธอคิดและเดินเข้าห้องน้ำปล่อยให้น้ำอุ่นไหลผ่านเนินนานจนพอใจ
ดวงเนตรรวบผมขึ้นด้วยหนังยาง ดวงตามีรอยบวมช้ำ “ตายล่ะต้องใช้แว่นกันแดดแล้ว เพราะวันนี้นัดมาเรียตอนสิบโมงครึ่ง” ดวงเนตรแต่งตัวเสร็จ
จัดของที่ต้องใช้ลงตะกร้า เธอออกเดินไปเรื่อย ๆ ของไม่หนักการเดินเล่นเผื่ออารมณ์จะสดชื่นเหมือนอากาศภายนอก
ดวงเนตรไปถึงมาเรียยังไม่กลับ เธอถือวิสาสะไปนั่งรอที่หน้าบ้าน ครู่เดียวรถก็วิ่งเข้ามาจอด ดวงเนตรทักทายสองสามีภรรยา มาเรียเชิญเธอ
เข้าไปในบ้านตรงไปที่ห้องครัว “มารอเรานานไหมคะ”
“ไม่ค่ะเพิ่งมาถึง” ดวงเนตรใช้เวลาสอนกว่าจะเสร็จก็เลยไปถึงเที่ยงครึ่ง
“ดูซิฉันทำของเสียไปตั้งครึ่งหนึ่ง” มาเรียบอกดอกเตอร์แจ็กสัน เขาเดินมาโอบเธอ
“แค่นี้ก็เก่งแล้วใช่ไหมนิคกี้”
“ถูกต้องค่ะ เวลาม้วนจะต้องให้แน่นตอนเอาลงทอดจะได้ไม่อมน้ำมัน คุณมาเรียเก่งมาก ฉันยังนึกว่าต้องใช้เวลานานกว่านี้เสียอีก”แล้วทุก
คนก็หัวเราะพร้อมกัน
“มา ๆ ทานกันแทนอาหารกลางวันดีกว่า” มาเรียชวนทุกคน ปอเปี๊ยะเหลืองน่ากินกับผักสดตะกร้าใหญ่ครู่เดียวก็หมด ดวงเนตรจดสูตรและรายละเอียดมาด้วยเธอยื่นให้มาเรียเมื่อเก็บของเสร็จ
“เอาไว้เผื่อลืม” ดวงเนตรพูดแล้วยิ้ม
มาเรียทัก “ฉันจะถามนิคกี้ว่าเป็นอะไรอยู่พอดี เห็นวันนี้สวมแว่นและมือไปโดนอะไรจ๊ะ”
“ฉันแพ้แสงถ้าแดดจัดเพราะตาข้างขวามีปัญหานิดหน่อย แล้วมือนี้ก็ทำสวนจนเป็นแผล” เธอตอบให้พ้นตัวไป
“ฉันไม่เห็นรถเธอเลย”
“อ้อ! นิคกี้เดินมาค่ะ...ออกกำลัง”
“งั้นให้ฉันไปส่งนะ วันหลังจะได้แวะไปกินน้ำชาด้วย”
“ไปนะแจ็กสัน เดี๋ยวมา” มาเรียบอกสามีเธอ ดวงเนตรกล่าวลาดอกเตอร์แจ็กสัน
มาเรียขับมาส่งหน้าบ้าน พี่ภัทรแต่งตัวลำลองกำลังจะออกไปข้างนอก ”Hi Pat”
“Hi! Maria” ทั้งคู่รู้จักกันเพราะสายงานบ่อยครั้งต้องทำงานด้วยกัน
“ฉันมาส่งนิคกี้ เธอไปสอนฉันทำปอเปี๊ยะที่บ้าน” ภัทรมองไปที่เธอ...สวมแว่นกันแดด ‘เด็กเอ๊ย! ตาคงบวมช้ำ มือพันผ้าพันแผลด้วย’ พี่ภัทร
คิด ดวงเนตรบอกลาและขอตัวออกไปก่อน
“มาเรียคุณพอมีเวลาไหม ผมมีอะไรจะคุยด้วย”
“ได้เลยฉันว่างทั้งวัน”
ทั้งสองเข้าไปที่ห้องรับแขก “มาเรียคุณรู้สึกอย่างไรกับนิคกี้”
“เธอน่ารักมีน้ำใจ แต่ดูเธอน่าสงสารนะ” ภัทรเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ฟัง มาเรียฟังแล้วนั่งเงียบ น้ำตาไหลลงมาเขาหยิบกระดาษทิชชูส่งให้
เธอรู้สึกถึงหัวอกลูกผู้หญิงด้วยกันที่ต้องมาเจอมรสุมตั้งแต่อายุเท่านี้
“ความจริงทีแรกผมจะไม่เข้าไปยุ่งแต่เมื่อคืน...” ภัทรเล่าให้มาเรียฟัง
“เอาอย่างนี้ทางคุณหาข้อมูลอุบัติเหตุ การระบุตัวตนผู้เสียชีวิต และรายชื่อ ส่วนฉันจะเอาเอกสารข้อมูลทางฝ่ายเราทั้งหมดที่มีอยู่ แล้วเอามา
ตรวจสอบอีกรอบ เมื่อได้ความคืบหน้าแล้วเราจะไปหานิคกี้ด้วยกัน อย่างน้อยโลกใบนี้ก็ยังมีคำว่า “เพื่อน” อยู่ มันอาจจะทำให้เธอมีกำลังใจที่จะสู้
ต่อไปนะคะ”
“ผมต้องขอบคุณด้วยเพราะเธอก็ไม่ใช่ใครลุงผมฝากให้ดูแลเธอ ผมก็คิดว่าเขาเป็นน้องคนหนึ่ง”
“งั้นตกลงตามนี้ ฉันต้องไปก่อนล่ะ”
“ถ้าได้อะไรคืบหน้าจะรีบโทรมา...O.K! Bye.”
ดวงเนตรเห็นมาเรียแวะมาดูรอบ ๆ สวนหย่อม “สวยมาก ทำได้ขนาดนี้สอบผ่านแล้ว” ดวงเนตรยิ้มแล้วโบกมือให้ขณะที่มาเรียขับรถออกไป
สัปดาห์แรกที่มหาวิทยาลัย วุ่นวายพอสมควร โชคดีที่ดวงเนตรลงวิชาเหมือนแมททิว ทั้งคู่เลยเดินตามกันเหมือนเงาทั่วมหาวิทยาลัย
“สัปดาห์หน้าผมจะย้ายไปอยู่บ้านพี่สาวผม คิดว่าน่าจะอยู่ใกล้บ้านนิคกี้นะ”
“งั้นให้ฉันช่วยขนของนะ” เธอเสนอตัว
“ผมเกรงใจ”
“อย่าพูดอย่างนั้นเราเป็นเพื่อนกันนะ”
“ตกลง...ขอบคุณมาก”
“เราขนของวันเสาร์นี้เลยดีไหมจะได้ไม่ฉุกละหุก”ดวงเนตรออกความเห็น
“ดีเหมือนกัน ผมจะมารอนิคกี้ตอนสิบโมงเช้าวันเสาร์นี้นะครับ”
“ได้เลย”
“ฉันต้องกลับก่อนแล้วล่ะแมททิว Bye”
หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (51)...เจ็บปวด
ความทุกข์โศกที่ต้องเจอทำให้ดวงเนตรเกือบลืม และทิ้งห่างการติดต่อกลับเมืองไทย คืนนี้จะได้คุยกับเตี่ยแม่ และน้อง ๆ แล้ว มันเป็น
ความสุขที่เหลืออยู่ของดวงเนตร เพียงแต่ดวงเนตรกลัวว่าทำนบแห่งความทุกข์โศกมันจะพังลงมาก่อนการสนทนาจะจบลง
เธอหายใจเข้าออกลึก ๆ แล้วกดโทรศัพท์หาเตี่ย “เตี่ยจ๊ะดวงเนตรนะ “
“เนตรหายไปนานเลย ช่วงนี้ยุ่งมากเหรอลูก”
“ค่ะ เทอมที่ผ่านไปเนตรได้ A หมดทุกวิชาเลยจ้ะเตี่ย” “เก่งมาก เนตรทำให้เตี่ยภูมิใจเสมอ” เสียงเตี่ยดีใจจริง ๆ
“เตี่ยเนตรย้ายมาเรียนที่มหาวิทยาลัยชิคาโกมากับพี่หนอยค่ะ แล้วเนตรจะอธิบายเรื่องราวให้เตี่ยรู้ทางจดหมายนะคะ”
“เออ! ได้ ๆ ดูแลสุขภาพด้วยตอนนี้อุ่นขึ้นแล้วใช่ไหม”
“จ้ะเตี่ย เตี่ยแม่สบายดีไหมคะ”
“ทุกคนทางนี้สบายดี ไม่ต้องห่วงนะ”
“ค่ะ”
“เตี่ยยังไม่ต้องส่งเงินมานะเพราะเนตรยังมีอยู่จ้ะ”
“อย่าประหยัดมากนักนะ” เสียงเตี่ยเป็นห่วง
“ค่ะ” หลายความรู้สึกมันจุกขึ้นเป็นก้อนที่ลำคอ มือถือโทรศัพท์คุยกับเตี่ยสั่นระริก
“เนตรเป็นอะไรลูก” ทำนบน้ำตาพังครืน เธอกัดริมฝีปากจนช้ำเป็นรอย
“เปล่าจ้ะ...เพิ่งหายหวัดยังเจ็บคออยู่”
“งั้นก็ไม่ต้องคุยมากละ แค่โทรมาบ่อย ๆ ก็พอเตี่ยจะได้ไม่ห่วง วางสายเถอะ แล้วอย่าลืมเขียนจดหมายมานะ”
”จ้ะเตี่ย” ดวงเนตรวางสายลงมือสั่นระริกน้ำตาไหลอาบเปรอะไปทั้งใบหน้าสวยที่หม่นหมอง ความเจ็บปวดกับความโหยหาความอบอุ่นจาก
ทางบ้าน มันเป็นอารมณ์ที่ปะทะและปะทุอย่างรุนแรงภายในใจเธอ เช่นนี้หรือที่เรียกว่าเจียนจะขาดใจ ความเจ็บปวดในใจดั่งแผ่นแก้วบางที่ปริออก
เป็นรอยร้าว พร้อมที่จะแตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ไม่เหลืออะไรเลย แรงสะอื้นที่มวนตัวอยู่ในช่องท้องถูกกดไว้ เธอทรุดตัวลงกำมือแน่น และสิ่งที่
คิดไม่ถึงก็เกิดเมื่อเธอเอามือที่กำแน่นกระแทกลงบนพื้นอย่างแรงครั้งแล้วครั้งเล่า ผิวมือแตกเลือดออกแล้วเสียงสะอื้นไห้ถี่ ๆ ก็ตามมา เธอฟุบลงสะ
อึกสะอื้นอยู่อย่างเดียวดาย เวลาผ่านไปเสียงสะอื้นไห้หยุดลง ดวงเนตรเงยหน้าขึ้นดวงตาแดงช้ำ เธอเอาปลายแขนเสื้อชุดนอนปาดน้ำตาจนแห้ง
เดินไปหยิบไวน์สองขวดที่เหลืออยู่กับแก้ววางลงที่โต๊ะไม้หลังบ้าน รินไวน์ไม่จิบแต่กระดก ดวงเนตรเข้าไปหยิบพี่หมีตัวใหญ่มากอดไว้แน่นด้วยมือ
เพียงข้างเดียว เสียงร่ำไห้หยุดแล้วที่เห็นคือผู้หญิงรูปร่างสูงโปร่ง นั่งอยู่เดียวดายใต้ต้นเมเปิล สายตามองหมู่ดาวที่กระจ่างเต็มท้องฟ้าซึ่งสว่างไสว
ในยามค่ำคืน ไวน์โรเซ่ที่เข้าปากเพื่ออาบดวงใจที่มีแผลเหวะหวะแทนทิงเจอร์อาบรดลงบนแผลสด ‘ยังเจ็บไม่พอใช่ไหม เอาให้ตายเลยดีไหม’
ความคิดเจ็บปวดรุนแรงหมุนวนไปตามอารมณ์
พี่ภัทรเฝ้ามองดวงเนตรห่าง ๆ เขาเดินมาหลบตรงมุมไม้ระแนง เห็นมือที่สั่นระริกของเธอขณะโทรศัพท์
หลายอย่างในตัวดวงเนตร และพ้องเพื่อนที่ดูอาทรซึ่งกันและกัน ทำให้เขาอยากรู้จักเธอมากขึ้น แต่ที่เห็นเธอทรุดตัวลงกำมือแน่นแล้วต่อยอย่างแรง
ลงกับพื้นห้อง ตามมาด้วยเสียงสะอื้นไห้อย่างน่าสงสาร หัวไหล่ที่สั่นไปตามแรงสะอื้น เสียงร่ำไห้ปานจะขาดใจ “เด็กเอ๊ย! กับความเจ็บปวดปานนี้
ทำให้เธอทำร้ายตัวเองได้เชียวเหรอเนี่ย” สายตาที่เคยมองดวงเนตรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน ภัทรคิด...หากเขามีน้องสาวสักคนที่ร่ำไห้อย่างนี้เขาจะทน
ได้หรือเขาก้าวช้า ๆ เข้าบ้านพร้อมเสียงถอนหายใจ
สว่างแล้วดวงเนตรรู้สึกเจ็บที่มือ เลือดแห้งกรังแต่แผลไม่ลึก ‘ช่างมัน’ เธอคิดและเดินเข้าห้องน้ำปล่อยให้น้ำอุ่นไหลผ่านเนินนานจนพอใจ
ดวงเนตรรวบผมขึ้นด้วยหนังยาง ดวงตามีรอยบวมช้ำ “ตายล่ะต้องใช้แว่นกันแดดแล้ว เพราะวันนี้นัดมาเรียตอนสิบโมงครึ่ง” ดวงเนตรแต่งตัวเสร็จ
จัดของที่ต้องใช้ลงตะกร้า เธอออกเดินไปเรื่อย ๆ ของไม่หนักการเดินเล่นเผื่ออารมณ์จะสดชื่นเหมือนอากาศภายนอก
ดวงเนตรไปถึงมาเรียยังไม่กลับ เธอถือวิสาสะไปนั่งรอที่หน้าบ้าน ครู่เดียวรถก็วิ่งเข้ามาจอด ดวงเนตรทักทายสองสามีภรรยา มาเรียเชิญเธอ
เข้าไปในบ้านตรงไปที่ห้องครัว “มารอเรานานไหมคะ”
“ไม่ค่ะเพิ่งมาถึง” ดวงเนตรใช้เวลาสอนกว่าจะเสร็จก็เลยไปถึงเที่ยงครึ่ง
“ดูซิฉันทำของเสียไปตั้งครึ่งหนึ่ง” มาเรียบอกดอกเตอร์แจ็กสัน เขาเดินมาโอบเธอ
“แค่นี้ก็เก่งแล้วใช่ไหมนิคกี้”
“ถูกต้องค่ะ เวลาม้วนจะต้องให้แน่นตอนเอาลงทอดจะได้ไม่อมน้ำมัน คุณมาเรียเก่งมาก ฉันยังนึกว่าต้องใช้เวลานานกว่านี้เสียอีก”แล้วทุก
คนก็หัวเราะพร้อมกัน
“มา ๆ ทานกันแทนอาหารกลางวันดีกว่า” มาเรียชวนทุกคน ปอเปี๊ยะเหลืองน่ากินกับผักสดตะกร้าใหญ่ครู่เดียวก็หมด ดวงเนตรจดสูตรและรายละเอียดมาด้วยเธอยื่นให้มาเรียเมื่อเก็บของเสร็จ
“เอาไว้เผื่อลืม” ดวงเนตรพูดแล้วยิ้ม
มาเรียทัก “ฉันจะถามนิคกี้ว่าเป็นอะไรอยู่พอดี เห็นวันนี้สวมแว่นและมือไปโดนอะไรจ๊ะ”
“ฉันแพ้แสงถ้าแดดจัดเพราะตาข้างขวามีปัญหานิดหน่อย แล้วมือนี้ก็ทำสวนจนเป็นแผล” เธอตอบให้พ้นตัวไป
“ฉันไม่เห็นรถเธอเลย”
“อ้อ! นิคกี้เดินมาค่ะ...ออกกำลัง”
“งั้นให้ฉันไปส่งนะ วันหลังจะได้แวะไปกินน้ำชาด้วย”
“ไปนะแจ็กสัน เดี๋ยวมา” มาเรียบอกสามีเธอ ดวงเนตรกล่าวลาดอกเตอร์แจ็กสัน
มาเรียขับมาส่งหน้าบ้าน พี่ภัทรแต่งตัวลำลองกำลังจะออกไปข้างนอก ”Hi Pat”
“Hi! Maria” ทั้งคู่รู้จักกันเพราะสายงานบ่อยครั้งต้องทำงานด้วยกัน
“ฉันมาส่งนิคกี้ เธอไปสอนฉันทำปอเปี๊ยะที่บ้าน” ภัทรมองไปที่เธอ...สวมแว่นกันแดด ‘เด็กเอ๊ย! ตาคงบวมช้ำ มือพันผ้าพันแผลด้วย’ พี่ภัทร
คิด ดวงเนตรบอกลาและขอตัวออกไปก่อน
“มาเรียคุณพอมีเวลาไหม ผมมีอะไรจะคุยด้วย”
“ได้เลยฉันว่างทั้งวัน”
ทั้งสองเข้าไปที่ห้องรับแขก “มาเรียคุณรู้สึกอย่างไรกับนิคกี้”
“เธอน่ารักมีน้ำใจ แต่ดูเธอน่าสงสารนะ” ภัทรเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ฟัง มาเรียฟังแล้วนั่งเงียบ น้ำตาไหลลงมาเขาหยิบกระดาษทิชชูส่งให้
เธอรู้สึกถึงหัวอกลูกผู้หญิงด้วยกันที่ต้องมาเจอมรสุมตั้งแต่อายุเท่านี้
“ความจริงทีแรกผมจะไม่เข้าไปยุ่งแต่เมื่อคืน...” ภัทรเล่าให้มาเรียฟัง
“เอาอย่างนี้ทางคุณหาข้อมูลอุบัติเหตุ การระบุตัวตนผู้เสียชีวิต และรายชื่อ ส่วนฉันจะเอาเอกสารข้อมูลทางฝ่ายเราทั้งหมดที่มีอยู่ แล้วเอามา
ตรวจสอบอีกรอบ เมื่อได้ความคืบหน้าแล้วเราจะไปหานิคกี้ด้วยกัน อย่างน้อยโลกใบนี้ก็ยังมีคำว่า “เพื่อน” อยู่ มันอาจจะทำให้เธอมีกำลังใจที่จะสู้
ต่อไปนะคะ”
“ผมต้องขอบคุณด้วยเพราะเธอก็ไม่ใช่ใครลุงผมฝากให้ดูแลเธอ ผมก็คิดว่าเขาเป็นน้องคนหนึ่ง”
“งั้นตกลงตามนี้ ฉันต้องไปก่อนล่ะ”
“ถ้าได้อะไรคืบหน้าจะรีบโทรมา...O.K! Bye.”
ดวงเนตรเห็นมาเรียแวะมาดูรอบ ๆ สวนหย่อม “สวยมาก ทำได้ขนาดนี้สอบผ่านแล้ว” ดวงเนตรยิ้มแล้วโบกมือให้ขณะที่มาเรียขับรถออกไป
สัปดาห์แรกที่มหาวิทยาลัย วุ่นวายพอสมควร โชคดีที่ดวงเนตรลงวิชาเหมือนแมททิว ทั้งคู่เลยเดินตามกันเหมือนเงาทั่วมหาวิทยาลัย
“สัปดาห์หน้าผมจะย้ายไปอยู่บ้านพี่สาวผม คิดว่าน่าจะอยู่ใกล้บ้านนิคกี้นะ”
“งั้นให้ฉันช่วยขนของนะ” เธอเสนอตัว
“ผมเกรงใจ”
“อย่าพูดอย่างนั้นเราเป็นเพื่อนกันนะ”
“ตกลง...ขอบคุณมาก”
“เราขนของวันเสาร์นี้เลยดีไหมจะได้ไม่ฉุกละหุก”ดวงเนตรออกความเห็น
“ดีเหมือนกัน ผมจะมารอนิคกี้ตอนสิบโมงเช้าวันเสาร์นี้นะครับ”
“ได้เลย”
“ฉันต้องกลับก่อนแล้วล่ะแมททิว Bye”