นาฏราชออกกฎใหม่ !!!

กติกาใหม่ที่เพิ่งประกาศใช้นี้ มีลักษณะเป็นกลไกเชิง “ถ่วงดุล” ระหว่างกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้มีสิทธิ์ลงคะแนน (voter) โดยเฉพาะในกรณีที่ผลงานซึ่งมีความเหมาะสมและเป็นที่ยอมรับในเชิงวิชาชีพ แต่กลับไม่ได้รับการเสนอชื่ออย่างเป็นทางการจากสถานีโทรทัศน์หรือบริษัทผู้ผลิตในรอบแรก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ซึ่งที่สมาพันธ์เชิญเข้ามาโดยพิจารณาจากคุณวุฒิทางวิชาการหรือความเชี่ยวชาญเชิงวิชาชีพในสาขาละคร จึงมีสิทธิพิเศษในการใส่ชื่อเข้าสู่ระบบคัดเลือก แต่ไม่มีสิทธิในการโหวต เนื่องจากอำนาจตัดสินชี้ขาดในรอบคัดเลือกถูกสงวนไว้ให้กับ voter ตามโครงสร้างที่สมาพันธ์กำหนด

สำหรับ voter เองมีที่มาหลากหลายรูปแบบ ประกอบด้วย

📍ฝ่ายสถานีโทรทัศน์ รอบคัดเลือก สถานีละ 2 คน / รอบตัดสิน สถานีละ 10 คน โดย 2 คนจากรอบคัดเลือกต้องมาตัดสินในรอบตัดสินด้วย โดยทุกสถานีมีจำนวน voter เท่ากัน เพื่อป้องกันการเกิด “อำนาจถ่วงน้ำหนัก”
📍ฝ่ายบริษัทผู้ผลิตสมาชิกสมาพันธ์ แต่ละบริษัทมีสิทธิ์เสนอ voter ได้ 1 คน โดยปัจจุบันมีประมาณ 40 กว่าบริษัทที่ครอบคลุมตลาดแทบทั้งหมด

ในขั้นตอนการคัดเลือก (preliminary round) คะแนนทั้งหมดมาจาก voter กลุ่มดังกล่าวโดยตรง แต่ในรอบตัดสิน (final round) การถ่วงน้ำหนักคะแนนถูกออกแบบให้มีลักษณะ “multi-constituency voting” โดยแบ่งสัดส่วนคือ voter สถานี + voter บริษัท 80% และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 20% อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวไม่ใช่การนำคะแนนดิบมารวมตรง ๆ แต่ผ่านการประมวลผลด้วยสูตรทางสถิติที่มหาวิทยาลัยทั้งสี่แห่งและสถาบันนิด้าโพลร่วมกันพัฒนาและดำเนินการ เพื่อให้เกิดความเป็นกลางสูงสุดและลด bias ของกลุ่มผู้ลงคะแนน

ทั้งนี้ ยังมีกฎสำคัญเพิ่มเติมคือ voter ไม่มีสิทธิ์ลงคะแนนให้กับผลงานที่ตนมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะผู้ผลิต ผู้แสดง หรือบุคลากรขององค์กรที่สังกัดอยู่ ซึ่งถือเป็นมาตรการป้องกัน conflict of interest อย่างเข้มงวด

เมื่อพิจารณาในเชิงสถิติ กลไก 80:20 ที่ออกแบบไว้นั้น เปรียบเสมือนการถ่วงค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (weighted mean) ที่ให้เสียงจากอุตสาหกรรมเป็นตัวแปรหลัก และเสียงจากผู้ทรงคุณวุฒิเป็นตัวแปรปรับสมดุล เพื่อป้องกัน outlier หรือความเอนเอียงจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเกินไป ยิ่งเมื่อผลคะแนนถูกประมวลโดยสถาบันภายนอก ก็ช่วยลดความเสี่ยงของ systematic bias ได้ระดับหนึ่ง

พูดอีกอย่างคือ กติกาใหม่นี้ไม่เพียงเปลี่ยนโครงสร้างการโหวต แต่เป็นการพยายาม normalize ระบบรางวัลให้เข้าใกล้ความเป็นธรรมเชิงสถิติมากขึ้น แม้อาจไม่สามารถลบอคติออกไปได้หมด แต่ก็ทำให้การตัดสินใจสะท้อนค่าเฉลี่ยกลางของทั้งระบบ มากกว่าการผูกขาดอยู่ในมือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ การกำหนดข้อห้ามไม่ให้ voter ลงคะแนนในผลงานที่เกี่ยวข้องกับตนเอง ซึ่งแม้จะเป็นมาตรการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน แต่ในทางปฏิบัติยังคงตั้งคำถามได้ว่าความใกล้ชิดทางวิชาชีพ จะสามารถกันออกไปได้จริงหรือไม่ เพราะวงการโทรทัศน์ไทยมีโครงสร้างที่เครือญาติเชื่อมโยงกันอย่างหนาแน่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่