เรื่อง เรือนขังผี

หลังจากเรียนปี 4 เทอมสุดท้ายแล้ว แม้จะต้องรออีกหลายเดือนกว่าจะถึงวันรับปริญญา
แต่ส่วนใหญ่ก็จะเตรียมตัวหางานประจำทำกันเผื่อไว้แล้ว
ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่พยายามมองหางานดี ๆ ที่จะเริ่มต้นทำงานจริงจังสักที
แต่ก็หาอยู่พักใหญ่ก็ยังไม่มีที่ไหนเรียกตัว

จนมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่งในห้องเรียน
มันบอกผมว่า ถ้าช่วงนี้ยังไม่ได้งาน ก็ไปทำงานกับมันก่อนไหม
คือช่วงนี้มันไปรับจ้างเดินสายไฟในบ้านเรือนทั่วไปที่ต่างจังหวัด
บางหลังก็มีสายไฟที่เก่ามากแล้ว
บางหลังก็ไม่มีคนดูแลเลย สายไฟก็ทิ้งระโยงระยาง หยากไย่เกาะเต็ม ต้องเดินใหม่เกือบทั้งหลัง
นี่มันไปทำกับน้องชายมัน แล้วชาวบ้านแถวนั้นก็บอกต่อ ๆ กัน ปากต่อปาก มันก็เลยได้งานเรื่อย ๆ ไม่ขาดช่วงเลย

พอผมได้ฟังที่เพื่อนบอก ผมก็คิดว่ามันก็น่าสนใจดีอยู่นะ หาอะไรทำไปก่อนก็ดี แล้วหลังรับปริญญาก็ค่อยว่ากันอีกที
แล้วผมก็เดินทางไปต่างจังหวัดกับเพื่อนผม
สรุปก็มีผมกับเพื่อนแล้วก็น้องชายมัน ที่ไปทำงานรับจ้างเดินสายไฟให้บ้านชาวบ้าน

แล้วพอได้ไปสัมผัสงานเดินสายไฟของชาวบ้านจริง ๆ
มันต่างกับที่เราเรียนมาค่อนข้างเยอะ มาตรฐานที่เรียนกับของจริงที่ติดตั้งนี่ มันคนละเรื่องจริง ๆ
ชาวบ้านไม่มีความรู้เรื่องมาตรฐานติดตั้งสายไฟ
สมัยก่อนเขาเดินสายไฟยังไง ก็คงว่าตามนั้น
มันก็เลยค่อนข้างจะปวดหัวพอสมควรตอนมาไล่หาสายไฟแต่ละวงจร

หมู่บ้านที่เพื่อนผมพาไปรับเหมา ก็เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ระดับตำบล
แรก ๆ ที่เริ่มทำงาน
บอกเลยว่า ช่วงกลางวันนรกมาก ๆ
มันร้อนจัด ชนิดที่ว่าอยู่กลางแสงแดดนี่แทบลืมตาไม่ขึ้นเลย แดดแรงจริง ๆ
บ้านบางหลัง หลังคาเป็นสังกะสี ไม่มีฝ้า ไม่มีฉนวนกันความร้อน
บอกเลยว่าร้อนสุด ๆ เหมือนอยู่ในเตาอบ เจอแบบนี้เข้าไปผมรู้สึกท้อเลย

ทำงานอยู่กับเพื่อนได้สิบกว่าวัน
แล้ววันหนึ่ง ก็มีคนโทรมาหาเพื่อน บอกให้เข้าไปดูที่บ้านเขาให้หน่อย จะให้เดินสายไฟใหม่
ผมทำงานไปด้วย ก็ได้ยินเสียงเพื่อนมันคุยสายไปด้วย
จนสรุปเนื้อหาใจความว่า รายใหม่นี้เขาอยากให้พวกเราไปดูเย็นนี้เลย
สรุปเพื่อนก็รับปากไปว่าจะเข้าไปดูให้เพื่อตีราคาก่อน

พอช่วงเย็น เลิกงานแล้ว
ขนเครื่องไม้เครื่องมือขึ้นกระบะได้ เพื่อนก็พาขับไปดูบ้านที่นัดพวกเราไว้ทันที
เพื่อนโทรถามทางเป็นระยะ ๆ
คือคนที่โทรมาบอกว่า บ้านอยู่ไม่ไกล ออกนอกตำบลนั้นมานิดเดียวก็ถึงแล้ว
แต่เราขับออกจากตำบลนั้นมาสามสิบกว่าโล ก็ยังไม่เห็นบ้านคนที่โทรมา
จนมันจะเข้าตัวจังหวัดอยู่แล้ว

ที่สุด พักใหญ่เลย
เพื่อนมันก็มาจอดรถอยู่ข้าง ๆ ถนนใหญ่
พอรถเข้ามาถึงเขตนี้ กลิ่นเหม็นมาเตะจมูกก่อนเลย
เหม็นมาก จนผมต้องเอามือปิดจมูก
“กลิ่นอะไรวะ” ผมถามเพื่อนไป
เพื่อนก็บอกว่า “เอ็งดูสิ เห็นไหมอะไรอยู่ข้างทางตรงนั้น”
ผมหันไปดู เป็นรั้วลวดหนาม แล้วก็มีลานโล่ง ๆ ใหญ่ ๆ ขาว ๆ
น่าจะใหญ่กว่าสนามฟุตบอลอีก
“อะไรวะนั่น”

แล้วเพื่อนก็บอกว่า “ลานมันไง ที่นี่โรงงานมันสำปะหลัง”

ผมก็ได้แต่มองไปในรั้ว ก็เห็นด้านหลังเป็นโกดังเหมือนโรงสีใหญ่ ๆ อยู่ไกลลิบ
แล้วเพื่อนมันก็ขับรถเข้าไปในโรงงานนั้น
พอเข้าไปถึง ตรงทางเข้ามี รปภ. อยู่คนหนึ่ง ชี้มือให้เราเข้าไปจอดรถด้านในได้เลย
เพื่อนก็ขับรถเข้าไปจอดด้านใน

พอเห็นสภาพโกดังหรือโรงงาน มันใหญ่เหมือนกันนะนี่
อย่าบอกนะว่าจะให้เปลี่ยนสายไฟใหม่ทั้งหมด มีกันแค่สามคนนี่นะ
เพื่อนก็บอกว่า “ไม่รู้เหมือนกัน เข้าไปดูก่อน”

พอลงจากรถ ผมดูนาฬิกา ก็หกโมงเย็นแล้ว แต่แสงแดดยังส่องหน้าผมอยู่เลย
เพื่อนโทรหาเจ้าของแล้วบอกว่า พวกเรามาถึงแล้ว
เรายืนอยู่ที่รถกระบะ มองไปที่ตัวบ้านสองชั้นที่ดูคล้ายออฟฟิศหรือสำนักงาน
มีคนเปิดประตูมาชะโงกดูพวกเรา แล้วเขาก็เปิดประตูเดินมาทางพวกเรา
เป็นชายแก่ท้วม ๆ แล้วก็มีคนเดินตามมาอีกคน
พอมาถึงใกล้ ๆ พวกเรายกมือไหว้คนแก่คนนั้น
แต่อีกคนที่มาด้วยกับคนแก่ ผมถึงกับมีอาการครับ
คือตาค้าง ได้แต่จ้องมองไปที่คนคนนั้น
เธอเป็นหญิงสาวสวย ผิวขาวอย่างกับหิมะ ที่เขาเรียกว่าสโนว์ไวท์
แต่หน้าตาออกไปทางหมวย ๆ หน่อย ดูจิ้มลิ้ม มีเสน่ห์ แบบว่าไม่อยากละสายตาไปไหนเลย
แค่เห็นหน้าก็รู้สึกอิ่มเอมหัวใจแล้ว เหมือนผมตกอยู่ในภวังค์

มารู้ตัวอีกที
ได้ยินเสียงเพื่อนผมเรียกชื่อผมหลายครั้ง จนมันต้องขึ้นเสียงดัง
ผมถึงหลุดออกจากภวังค์
“เมื่อกี้เขาพูดว่าอะไรนะ ข้าไม่ได้ยิน”

เพื่อนก็บอกผมว่า “เขาให้ขับรถตามเขาไป แล้วก็เรียกตั้งหลายรอบแล้วไม่ได้ยินหรือ”
ผมก็เลยรีบขึ้นรถ
พอขึ้นรถได้
“โห สวยอย่างกับนางฟ้าเลยว่ะ”
แล้วพวกเราผู้ชายสามคน ก็รู้สึกดี้ด้า หัวใจกระชุ่มกระชวยขึ้นมาซะงั้น
จนผมต้องบอกเพื่อนไปว่า “เฮ้ย เอ็งรับทำงานฟรี ข้าก็ยอมนะ”
แล้วเพื่อนมันก็หัวเราะกัน

รถเถ้าแก่ขับออกจากโรงงาน แล้วก็พาพวกเราขับอ้อมไปทางด้านหลังโรงงาน
ไม่นานก็เริ่มผ่านดงป่ากล้วยที่ปลูกเป็นแถวทั้งสวน
แล้วก็เลยเข้าไปลึกเข้า ลึกเข้า น่าจะสองสามโลได้
แล้วก็เริ่มเป็นต้นไม้ใหญ่หนาตา
จนมาหยุดอยู่หน้ารั้วผุ ๆ พัง ๆ
จากปากทางมาถึงตรงนี้ผมว่าไม่น่าจะต่ำกว่า 10 โล
แล้วเถ้าแก่กับลูกสาวก็ลงมาจากรถ
เดินไปดึงไม้ไผ่แห้งที่กั้นเป็นรั้ว  ให้มันเลื่อนออกพอเป็นช่องเล็กๆ แค่เดินผ่านไปได้
แล้วเถ้าแก่กับลูกสาวก็พาพวกเราเดินเข้าไปในสวนนั้น
มันมีทั้งป่ากล้วย กระถิน ต้นไม้รกร้างขึ้นเต็มไปหมด
จนเดินเข้าไปข้างในได้สัก 20 เมตร ก็เริ่มมองเห็นหลังคาบ้านช่วงบนชั้นสองของบ้าน
แล้วเราก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังนั้น
ผมได้แต่ตะลึงกับบ้านเรือนไทยโบราณที่มันดูเก่าจนผมขนลุกเลย
ได้ยินแต่เสียงเถ้าแก่พูดว่า
“หลังนี้แหละที่จะให้พวกคุณมาเดินสายไฟให้หน่อย”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่