✣✣✣รีวิวนี้มีการวิเคราะห์โดยเปิดเผยส่วนสำคัญของหนังและตัวละครต่าง ๆ✣✣✣
ท่าแร่ สำหรับเราคือหนังไทยที่มีประเด็นน่าสนใจและค่อนข้างสื่อสารประวัติศาสตร์ของศาสนาและความเชื่อจากรุ่นสู่รุ่นได้เป็นอย่างดี จากอดีตที่เคยมีการกีดกันและกดทับคนที่นับถือศาสนาคริสต์ แต่สุดท้ายท่าแร่ก็กลับกลายเป็นชุมชนคาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งในอดีตของชาวบ้านท่าแร่ การนับถือผีบรรพบุรุษนั้นก็เป็นสิ่งที่ยึดถือสืบทอดต่อกันมานานหลายร้อยหลายพันปี แต่การใช้คนเป็นเครื่องสังเวยและการเลี้ยงผีปอบดูเหมือนจะไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง ความผิดบาปจากรุ่นสู่รุ่นนี่เองที่ถ่ายทอดสืบมาถึงรุ่นพ่ออย่างตามิ่งและรุ่นลูกอย่างมาลี คนที่รับกรรมแห่งการกระทำผิดบาปคือหญิงสาวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร บาปที่ก่อขึ้นมาจึงกลายเป็นภูตผีปีศาจแห่งความหลงผิดที่กัดกินจิตใจของคนในตระกูลและครอบครัวของตามิ่งตลอดมา จนลามออกมาเป็นพฤติกรรมผีที่มาสิงสู่และเข้าไปกัดกินสัตว์เลี้ยงหรือทำร้ายผู้คนมากมายให้ต้องหวาดกลัวนั่นเอง

ประเด็นหล็กของเรื่องอาจไม่ใช่แค่เรื่องผี แต่อาจพยายามจะบอกเราว่า ไม่ว่าเราจะนับถือศาสนาหรือความเชื่อใด หากว่าเรายังมีจิตใจไม่มั่นคง ไม่มีศรัทธาไม่มากพอในสิ่งที่ตนเองนับถือหรือยึดเหนี่ยวจิตใจ ยังคงมีความเชื่อผิด ๆ ในการใช้ชีวิต ยังคงทำผิดพลาดหรือทำผิดบาป หรือแม้กระทั่งยังไม่สามารถให้อภัยปล่อยวางในความรู้สึกด้านลบหรือตัวตนแย่ ๆ ในใจของเราได้ ความรู้สึกผิดบาปหรือสิ่งลบ ๆ ในใจซึ่งอาจแทนค่าด้วย “ภูต ผี ปีศาจ ซาตาน มารผจญ” ก็ย่อมเข้ามาครอบครองครอบงำจิตใจและพาเราดิ่งสู่ความมืดมิดได้
หาก “พระเจ้า” หรือ “ผีฟ้าพญาแถน” คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของศาสนาคริสต์และศาสนาผี หาก “ภูต ผี ปีศาจ ซาตาน มารผจญ” คือการกระทำ ความคิด คำพูด ผู้คนหรือสิ่งเลวร้ายที่คอยชักจูงเราไปสู่เส้นทางผิด ๆ เช่นนั้นแล้ว “การขับไล่ปีศาจของบาทหลวง” และ “พิธีเหยาของชาวไทญ้อหรือชาวภูไท” ก็ย่อมมีความหมายในเชิงการเยียวยารักษาในด้านจิตวิทยาเพื่อเสริมกำลังใจของผู้ป่วยหรือผู้ที่มีความเชื่อตามศาสนานั้น ๆ เหมือนกล่องปริศนาที่ต้องมีกุญแจเฉพาะเท่านั้นจึงจะสามารถปลดล็อคปมปัญหาทางจิตใจที่ยากจะเข้าใจให้คลายลงได้
เรายังคงเชื่อว่า ทุกสิ่งในโลกนี้มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน หรือแม้แต่อาจเป็นสิ่งเดียวกัน เพียงแต่เราอาจจะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไปในคนละแบบในแต่ละวัฒนธรรม
ส่วนตัวมองว่า ลึก ๆ แล้ว หนังสื่อสารถึงการเข้าปะทะกันของความเชื่อสองแบบ “
ศาสนาคริสต์-ศาสนาผี” แต่ในที่สุดก็สามารถผสมผสานเข้าหากันได้อย่างผสมกลมกลืน กลายเป็นวัฒนธรรมแบบใหม่ที่มีความน่าสนใจเฉพาะตัวแบบวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวอีสาน ซึ่งการที่ศาสนาคริสต์พยายามเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับวัมนธรรมอีสานนั้น ศาสนาพุทธก็เคยทำมาแล้วเมื่อนานมาแล้วนับร้อยนับพันปีที่แล้วเมื่อเดินทางออกมาจากอินเดีย และก็เข้ามาผสมผสานกับศาสนาผีที่อยู่ได้มายาวนานจนถึงปัจจุบัน
เราชอบที่ผู้กำกับเลือกเอายุคปัจจุบันที่ผู้คนมี
“ความลื่นไหลทางอัตลักษณ์” มาล้อเล่นกับ
“ความลื่นไหลทางวัฒนธรรม” จะเห็นได้ว่า บาทหลวงผู้ไล่ผีก็ไม่จำเป็นต้องเป็นบาทหลวงแก่ ๆ ที่ดูคร่ำเคร่งคร่ำครึ บาทหลวงเปาโลสามารถเป็นหนุ่มหล่ออ่อนวัยที่เล่นกีฬาและดูเป็นคนทันสมัยได้ ไม่ต่างก็หมอเหยาแม่เมืองโสภาที่ตามปกติก็ดูเป็นหนุ่มหน้าใสแบบดาราเกาหลี แต่เมื่อต้องทำพิธีก็สามารถกลับกลายเป็นหมอเหยาผู้ดูน่าเชื่อถือได้เช่นกัน เพื่อตอกย้ำว่า เรากำลังอยู่ในยุคที่ทุกคนสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่อยากเป็น โดยไม่ต้องเอากรอบของคำว่า เพศ ศาสนา ความเชื่อ หรือบทบาทที่สังคมมอบให้มาจำกัดการใช้ชีวิตของตัวเอง เพียงแต่การสวมบทบาทต่าง ๆ ควรเหมาะสมกับกาลเทศะเท่านั้นก็เพียงพอ
และยังแสดงให้เห็นว่า แม้ในอดีต ความแตกต่างทางศาสนาหรือความเชื่ออาจเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนเกิดความต่อต้านและแตกแยกกัน เพราะความ
“ยึดมั่นถือมั่น” ว่า
“ศาสนาหรือความเชื่อของตัวเองนั้นดีเหนือความเชื่ออื่น ๆ” โดยไม่ได้คิดเลยว่า ศาสนาหรือความเชื่อหนึ่งอาจได้ผลทางจิตใจกับคนคนหนึ่ง แต่อาจใช้ไม่ได้เลยกับคนอีกคนหนึ่งก็เป็นได้ แต่ในปัจจุบัน เราสามารถเลือกหยิบเอาสิ่งดี ๆ ของหลาย ๆ ศาสนาหรือความเชื่ออื่น ๆ มาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตได้ โดยไม่ต้องรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ผิด เพราะแนวทางหรือความเชื่อที่พาเราก้าวไปสู่ชีวิตที่สงบสุขและประสบความสำเร็จก็ไม่ได้มีเส้นทางเดียวเสมอไป ดังนั้น ตราบใดที่ความเชื่อนั้นดีและไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ศาสนาหรือความเชื่อไหน ๆ ก็ล้วนมีคุณค่า น่าศึกษาเรียนรู้ น่าทำความเข้าใจไม่แพ้กัน
✣เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของตัวละครหรือส่วนอื่น ๆ ของภาพยนตร์ที่น่าสนใจ (ที่เราเจอ)✣
✣ตัวละคร “มาลี”✣
ไม่แน่ใจว่าเป็นความตั้งใจทีมงานหรือเปล่า แต่มีความบังเอิญของชื่อ
“มาลี” ที่พ้องเสียงกับชื่อของ
“มารีย์” หรือ
“พระแม่มารีย์” ผู้เป็นพระมารดาของพระเยซู แต่ถือเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตัวละครที่ทำได้ดี เพราะชาวคาทอลิกจะมีการได้รับชื่อนักบุญหลังจากการรับศีลล้างบาปเมื่อกลายเป็นชาวคาทอลิกเต็มตัวหรือสามารถเลือกชื่อนักบุญที่ตนเองศรัทธานับถือมานำหน้าชื่อจริงของตนเองได้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการน้อมนำเอานักบุญผู้นั้นเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
✣เพลงประกอบภาพยนตร์✣
เพลง “ดาวหลงทาง” ซึ่งเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ท่าแร่ ก็ยังเป็นอีกหนึ่งบทบาทในการแสดงถึงแก่นหลักของหนัง เป็นเพลงที่มีการผสมผสานเอาเพลงหลากหลายแนวเข้าไว้ด้วยกัน เช่น เพลงนมัสการพระเจ้าในโบสถ์ เพลงป๊อบร็อก รวมไปถึงดนตรีพื้นบ้านอย่างเสียงพิณและเสียงแคนของวัฒนธรรมอีสาน ที่ออกมาไพเราะและเนื้อหาก็มีความหมายที่ดี ฟังแล้วรู้สึกได้กำลังใจและมีความหวังมาก ๆ
และถ้าใครตั้งใจดูหรือมีการจับสังเกตที่ดี ในตอนจบก็จะพบว่า ในฉากที่บาทหลวงเปาโลมาเยี่ยมสุสานแม่ของเขา ป้ายหลุมศพได้เขียนชื่อ “แสงดาว” เอาไว้ นี่เองได้เป็นจุดที่ทำให้เราได้รู้ว่า เพลง “ดาวหลงทาง” ได้สื่อถึง “แสงดาว” หรือแม่ของเปาโลที่เธอเคยเสพยาเสพติดเกินขนาดจนเสียชีวิต (คาดว่าน่าจะเป็นมอร์ฟีนหรือเฮโรอีนที่ใช้วิธีฉีดยาเข้าเส้นเลือด) โดยก่อนตายเธอได้ขอให้เปาโลช่วยเติมยาเสพติดให้เธอเพื่อให้เธอได้รู้สึกผ่อนคลายจากความเจ็บปวดหรือเพื่อให้มึนเมาจนลืมความทุกข์บางอย่างในชีวิต ซึ่งต่อมากลายเป็น “ปม” หรือ “บาปที่ติดค้างอยู่ในใจ” ของบาทหลวงเปาโลนั่นเอง
“แสงดาว” หรือ
“ดวงดาว” ในศาสนาคริสต์สามารถสื่อถึงหลายสิ่ง หนึ่งในนั้นคือ การที่หนังเลือกดวงดาวให้สื่อถึงทุกคนบนโลกที่ล้วนเคย
“กระทำความผิดบาป” มาไม่มาก็น้อย หรือสื่อถึงเหล่าคริสตชนบางคนที่ยังคง
“หลงผิด” หรือ
“หลงทาง” ด้วยการออกห่างความศรัทธาในพระเจ้า เช่น
✣“แสงดาว” แม่ของเปาโลที่เลือกวิธีใช้สารเสพติดเพื่อหลีกหนีความทุกข์
✣“เปาโล” ผู้ยังคงรู้สึกผิดในการเป็นส่วนร่วมที่ทำให้แม่ของตัวเองต้องตาย
✣“ตามิ่ง หรือ อดีตบาทหลวงมิ่ง” ที่จมอยู่กับความรู้สึกผิดที่ไม่สามรถช่วยเหลือหลานสาวของตัวเองให้รอดพ้นจากผีที่มาเข้าสิงได้ หรือแม้แต่ความหมกมุ่นที่จะช่วยชีวิตลูกสาวโดยการเอาชีวิตของผู้หญิงคนอื่น ๆ มาสังเวย ก่อกรรมทำเวรไปเรื่อย ๆ จนไม่จบไม่สิ้นจนยิ่งกลายเป็นบาดแผลในใจที่ยากเกินจะลบเลือน
✣“ป้าแสง” น้องสะใภ้ของตามิ่งผู้สูญเสียลูกสาวให้กับผีร้าย แกยังคงจมอยู่กับความโกรธ ความเคียดแค้น ความทุกข์ ความสิ้นหวัง และความรู้สึกผิดที่ลูกสาวของตนต้องจบชีวิตจากน้ำมือของตัวเองและตามิ่ง
✣“เผือก” ชายหนุ่มผู้เติบโตมากับมาลีในหมู่บ้านท่าแร่และได้ไปทำงานที่ประเทศเกาหลี ผู้ยังคงไม่ลืมความรู้สึกผิดในใจที่เคยบอกที่ซ่อนตัวของเหล่าคนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมายหรือทำสิ่งที่ไม่ถูกกฎหมายให้แก่ตำรวจเกาหลีรู้
นอกจากนี้ ในภาพยนตร์ท่าแร่
“แสงดาว” ยังสื่อถึง
“ศาสนา” “ความเชื่อที่ดี”หรือ “การกระทำที่ถูกต้อง” ที่จะคอยนำทางเราไปในความมืดมิดเพื่อส่องให้เราทุกคนมองเห็นเส้นทางที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิตนั่นเอง
ใครที่ดูหนังจบแล้ว ลองมาพูดคุยด้วยกันนะคะว่าคิดเห็นยังไงบ้าง หรือเห็นอะไรเพิ่มเติมในหนังบ้าง ขอบคุณค่ะ 😊
✣รีวิว/วิเคราะห์หนัง: ท่าแร่ - จงอย่าหมดศรัทธา...แม้ในคราที่เดินหลงทาง✣
ส่วนตัวมองว่า ลึก ๆ แล้ว หนังสื่อสารถึงการเข้าปะทะกันของความเชื่อสองแบบ “ศาสนาคริสต์-ศาสนาผี” แต่ในที่สุดก็สามารถผสมผสานเข้าหากันได้อย่างผสมกลมกลืน กลายเป็นวัฒนธรรมแบบใหม่ที่มีความน่าสนใจเฉพาะตัวแบบวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวอีสาน ซึ่งการที่ศาสนาคริสต์พยายามเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับวัมนธรรมอีสานนั้น ศาสนาพุทธก็เคยทำมาแล้วเมื่อนานมาแล้วนับร้อยนับพันปีที่แล้วเมื่อเดินทางออกมาจากอินเดีย และก็เข้ามาผสมผสานกับศาสนาผีที่อยู่ได้มายาวนานจนถึงปัจจุบัน
เราชอบที่ผู้กำกับเลือกเอายุคปัจจุบันที่ผู้คนมี “ความลื่นไหลทางอัตลักษณ์” มาล้อเล่นกับ “ความลื่นไหลทางวัฒนธรรม” จะเห็นได้ว่า บาทหลวงผู้ไล่ผีก็ไม่จำเป็นต้องเป็นบาทหลวงแก่ ๆ ที่ดูคร่ำเคร่งคร่ำครึ บาทหลวงเปาโลสามารถเป็นหนุ่มหล่ออ่อนวัยที่เล่นกีฬาและดูเป็นคนทันสมัยได้ ไม่ต่างก็หมอเหยาแม่เมืองโสภาที่ตามปกติก็ดูเป็นหนุ่มหน้าใสแบบดาราเกาหลี แต่เมื่อต้องทำพิธีก็สามารถกลับกลายเป็นหมอเหยาผู้ดูน่าเชื่อถือได้เช่นกัน เพื่อตอกย้ำว่า เรากำลังอยู่ในยุคที่ทุกคนสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่อยากเป็น โดยไม่ต้องเอากรอบของคำว่า เพศ ศาสนา ความเชื่อ หรือบทบาทที่สังคมมอบให้มาจำกัดการใช้ชีวิตของตัวเอง เพียงแต่การสวมบทบาทต่าง ๆ ควรเหมาะสมกับกาลเทศะเท่านั้นก็เพียงพอ
และยังแสดงให้เห็นว่า แม้ในอดีต ความแตกต่างทางศาสนาหรือความเชื่ออาจเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนเกิดความต่อต้านและแตกแยกกัน เพราะความ “ยึดมั่นถือมั่น” ว่า “ศาสนาหรือความเชื่อของตัวเองนั้นดีเหนือความเชื่ออื่น ๆ” โดยไม่ได้คิดเลยว่า ศาสนาหรือความเชื่อหนึ่งอาจได้ผลทางจิตใจกับคนคนหนึ่ง แต่อาจใช้ไม่ได้เลยกับคนอีกคนหนึ่งก็เป็นได้ แต่ในปัจจุบัน เราสามารถเลือกหยิบเอาสิ่งดี ๆ ของหลาย ๆ ศาสนาหรือความเชื่ออื่น ๆ มาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตได้ โดยไม่ต้องรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ผิด เพราะแนวทางหรือความเชื่อที่พาเราก้าวไปสู่ชีวิตที่สงบสุขและประสบความสำเร็จก็ไม่ได้มีเส้นทางเดียวเสมอไป ดังนั้น ตราบใดที่ความเชื่อนั้นดีและไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ศาสนาหรือความเชื่อไหน ๆ ก็ล้วนมีคุณค่า น่าศึกษาเรียนรู้ น่าทำความเข้าใจไม่แพ้กัน
ไม่แน่ใจว่าเป็นความตั้งใจทีมงานหรือเปล่า แต่มีความบังเอิญของชื่อ “มาลี” ที่พ้องเสียงกับชื่อของ “มารีย์” หรือ “พระแม่มารีย์” ผู้เป็นพระมารดาของพระเยซู แต่ถือเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตัวละครที่ทำได้ดี เพราะชาวคาทอลิกจะมีการได้รับชื่อนักบุญหลังจากการรับศีลล้างบาปเมื่อกลายเป็นชาวคาทอลิกเต็มตัวหรือสามารถเลือกชื่อนักบุญที่ตนเองศรัทธานับถือมานำหน้าชื่อจริงของตนเองได้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการน้อมนำเอานักบุญผู้นั้นเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
“แสงดาว” หรือ “ดวงดาว” ในศาสนาคริสต์สามารถสื่อถึงหลายสิ่ง หนึ่งในนั้นคือ การที่หนังเลือกดวงดาวให้สื่อถึงทุกคนบนโลกที่ล้วนเคย “กระทำความผิดบาป” มาไม่มาก็น้อย หรือสื่อถึงเหล่าคริสตชนบางคนที่ยังคง “หลงผิด” หรือ “หลงทาง” ด้วยการออกห่างความศรัทธาในพระเจ้า เช่น
✣“แสงดาว” แม่ของเปาโลที่เลือกวิธีใช้สารเสพติดเพื่อหลีกหนีความทุกข์
✣“เปาโล” ผู้ยังคงรู้สึกผิดในการเป็นส่วนร่วมที่ทำให้แม่ของตัวเองต้องตาย
✣“ตามิ่ง หรือ อดีตบาทหลวงมิ่ง” ที่จมอยู่กับความรู้สึกผิดที่ไม่สามรถช่วยเหลือหลานสาวของตัวเองให้รอดพ้นจากผีที่มาเข้าสิงได้ หรือแม้แต่ความหมกมุ่นที่จะช่วยชีวิตลูกสาวโดยการเอาชีวิตของผู้หญิงคนอื่น ๆ มาสังเวย ก่อกรรมทำเวรไปเรื่อย ๆ จนไม่จบไม่สิ้นจนยิ่งกลายเป็นบาดแผลในใจที่ยากเกินจะลบเลือน
✣“ป้าแสง” น้องสะใภ้ของตามิ่งผู้สูญเสียลูกสาวให้กับผีร้าย แกยังคงจมอยู่กับความโกรธ ความเคียดแค้น ความทุกข์ ความสิ้นหวัง และความรู้สึกผิดที่ลูกสาวของตนต้องจบชีวิตจากน้ำมือของตัวเองและตามิ่ง
✣“เผือก” ชายหนุ่มผู้เติบโตมากับมาลีในหมู่บ้านท่าแร่และได้ไปทำงานที่ประเทศเกาหลี ผู้ยังคงไม่ลืมความรู้สึกผิดในใจที่เคยบอกที่ซ่อนตัวของเหล่าคนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมายหรือทำสิ่งที่ไม่ถูกกฎหมายให้แก่ตำรวจเกาหลีรู้
นอกจากนี้ ในภาพยนตร์ท่าแร่ “แสงดาว” ยังสื่อถึง “ศาสนา” “ความเชื่อที่ดี”หรือ “การกระทำที่ถูกต้อง” ที่จะคอยนำทางเราไปในความมืดมิดเพื่อส่องให้เราทุกคนมองเห็นเส้นทางที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิตนั่นเอง