JJNY : ส.ส.ปชน.ซัดงบกท.เกษตร กระจุกแค่พะเยา│“ครูธัญ”จับผิดงบฯ"ซอฟพาวเวอร์"│สื่อเขมรอ้างข่าวกรองบอกปลอมตัว│ทรัมป์ขู่ปูติน

ส.ส.ปชน. ซัดงบกระทรวงเกษตร ข้องใจโครงการตลาดกลาง กระจุกแค่พะเยาที่เดียว แม้มูลค่าส่งออกต่ำ
https://www.matichon.co.th/politics/news_5322191
.
.
ถกงบ69 วันที่ 2 ส.ส.ปชน. ซัดงบกระทรวงเกษตรฯ ไม่ตอบโจทย์คนไทย ที่ดูดีบนกระดาษ แต่ใช้ในชีวิตจริงของเกษตรกรไม่ได้ ข้องใจ ทำไมต้องทำโครงการตลาดกลาง ที่จ.พะเยา ทั้งที่มูลค่าส่งออกแพ้เชียงราย-น่าน เสี่ยงผูกขาด หรือเป็นเหตุผลทางการเมือง ฉะ ล้งแห่งชาติ ของ อ.ต.ก. ล้มเหลวงตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม
.
เมื่อเวลา 09.35 น. วันที่ 14 สิงหาคม ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วาระ 2 – 3 เป็นวันที่ 2 โดยพิจารณามาตรา 14 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานในกำกับ
.
โดย นายวิทวิสิทธิ์ ปันสวนปลูก ส.ส.ลำพูน พรรคประชาชน อภิปรายงบประมาณในส่วนขององค์การตลาาดเพื่อเกษตรกร(อ.ต.ก.) ว่า มีสองโครงการที่ไม่ตอบโจทย์ให้กับพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ และเสี่ยงต่อการใช้เงินภาษีอย่างไม่คุ้มค่า เสี่ยงต่อการล้มเหลวของโครงการ ได้แก่ โครงการตลาดกลางที่ จ.พะเยา และโครงการล้งแห่งชาติ
.
นายวิทวิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า โครงการตลาดกลางที่ จ.พะเยา ปีงบ69 อ.ต.ก. ของบทั้งหมด 84,623,500 บาท เพื่อสนับสนุนการตลาดให้กับเกษตรกร แต่มีจำนวน 41,321,500 บาท ถูกเทไปในพื้นที่เดียวคือ จ.พะเยา ภาพรวมของโครงการนี้ถ้าแล้วเสร็จจะใช้งบประมาณสูงถึง 168,169,000 บาท ตนขอถามตรงๆว่าทำไมลงต้องลงไปที่ จ.พะเยา ทำไมต้องกระจุกงบประมาณไปที่จังหวัดเดียว ในเมื่อภาษีเป็นของคนทั้งประเทศ และภาคเหนือตอนบนมีถึง 8 จังหวัด
.
แต่กลับทุ่มงบประมาณหลายสอบล้านบาทไปที่ตลาดกลางเพียงจังหวัดเดียว และเมื่อดูมูลค่าการส่งออกของสินค้าเกษตรของจ.พะเยาไปยังประเทศลาว ต่ำกว่าจ.เชียงรายและน่าน มากกว่า 3 เท่า และสินค้าเกษตรหลักที่ประเทศลาว นำเข้าจากประเทศไทยได้แก่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวเปลือก ผลไม้สด จ.พะเยา มีส่วนแบ่งการตลาดน้อยกว่า 8 %เมื่อเทียบกับการค้าชายแดนของภาคเหนือ และระบบโลจิสติกส์ก็อยู่ที่จ.เชียงรายและน่านไม่ใช่ที่จ.พะเยา และระยะทางจากพะเยาไปชายแดนไกลกว่า ทำให้ต้นทุนสูงกว่า
.
คำถามคือใครได้ประโยชน์จากการเลือกโครงการที่ลงที่จ.พะเยา การเลือกครั้งนี้เป็นเพราะเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจจริงๆ หรือการเมือง เพราะหากจะสร้างตลาดกลางที่ภาคเหนือจริงๆต้องกระจายไปหลายจังหวัด เชื่อมโยงกันด้วยระบบโลจิสติกส์และการส่งขนส่งเย็น ไม่ใช่ปักเสาหลักกองเดียว แล้วบอกว่านี่คือโครงการเพื่อพี่น้องทั้งภูมิภาค
.
และถ้าโครงการนี้สำเร็จก็จะเสี่ยงต่อการเป็นตลาดผูกขาด เกษตรกรจังหวัดอื่นต้องแบกภาระต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มมากขึ้น สุดท้ายเกษตรกรก็ต้องขายสินค้าให้คนกลางในราคาถูกอยู่ดี ถ้าโครงการนี้ไม่สำเร็จก็จะกลายเป็นตลาดล้างทำให้ภาษีของประชาชนหลาย 100 ล้านบาท ถูกเททิ้งลงคลองเหมือนเดิม”นายวิทวิสิทธิ์ กล่าว
.
นายวิทวิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนโครงการล้งแห่งชาติ อ.ต.ก.ตั้งงบฯ 11,612,000 บาท เพื่อศึกษาต้นแบบการสร้างล้งแห่งชาติ โดยให้ อ.ต.ก.ทำหน้าที่เป็น เอกชน ซึ่งเสี่ยงที่จะล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม เพราะเรารู้อยู่แล้วว่ารัฐวิสาหกิจมีขั้นตอนการอนุมัติในการจัดซื้อจัดจ้างที่ล่าช้า และเจ้าหน้าที่ของรัฐส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีทักษะเชิงพาณิชย์ ทำให้ขายสินค้าไม่ได้มูลค่าเต็มจำนวน และโครงการก็ต้องพึ่งพางบประมาณของรัฐเป็นหลัก ถ้าถูกตัดงบฯโครงการนี้ก็จะหยุดชะงักทันที
.
จะเห็นได้ว่าโครงการล้งแห่งชาติ คือโครงการที่ไม่ตอบโจทย์เกษตรกรไทยทั้งประเทศ เสี่ยงต่อการกระจุดงบประมาณ การผูกขาด และการล้มเหลวงของโครงการ ตนจึงขอให้ตัดลดงบประมาณ 2 โครงการนี้ทันที และให้รัฐบาลนำเงินไปสร้างโครงการที่ครอบคลุมตรงจุดและตอบโจทย์เกษตรกรไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่โครงการที่ดูดีบนกระดาษ แต่ใช้ในชีวิตจริงของเกษตรกรไม่ได้
.

.
“ครูธัญ” จับผิดงบฯ "ซอฟพาวเวอร์" ปี 69 เน้นวัด “จำนวนงาน-คนร่วม” มากกว่า “อิทธิพลในเวทีโลก”
.
วันที่ 13 ส.ค.2568 ในการประชุมสภาฯ มีการร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 วาระ 2 นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้ตั้งข้อสังเกตว่างบประมาณรวม 219,784,200 บาท ที่สำนักส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ TCEP ได้รับเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ Soft Power ของไทย ยังคงวัดความสำเร็จด้วย “จำนวนกิจกรรม” และ “จำนวนผู้เข้าร่วม” มากกว่าผลลัพธ์เชิงอิทธิพลในระดับนานาชาติ เพราะโครงการสำคัญเกือบทั้งหมด เช่น Thailand Festival หรือ Bangkok International Design Expo เป็นการจัดงานภายในประเทศ งบประมาณกว่า 197 ล้านบาท ในหมวด “ขับเคลื่อน Soft Power ด้านศิลปวัฒนธรรม” และ 22 ล้านบาท ในหมวด “ด้านออกแบบ”  ยังขาดหลักฐานชัดเจนว่าจะสร้างผลกระทบเชิงสากล เช่น การเพิ่มยอดผู้เข้าชมจากต่างประเทศ การเผยแพร่คอนเทนต์ไทยในสื่อต่างประเทศ หรือการผลักดันศิลปินไทยให้เป็นที่รู้จักในเวทีโลก
.
แม้จะใช้คำว่า Ambassador Network แต่รายละเอียดกลับเน้นการเชิญบุคคลมาร่วมงาน ซึ่งอาจได้เพียงภาพคนดังในต่างประเทศออกงานอีเวนต์ แต่ไม่ได้ส่งออกเรื่องเล่าและอัตลักษณ์ไทยสู่สากล” นายธัญวัจน์กล่าว
.
นายธัญวัจน์ กล่าวอีกว่า ความเสี่ยงและโอกาสที่สูญเสีย หาก Soft Power ถูกตีความแค่ว่าเป็น “งานอีเวนต์” จะทำให้ไทยสูญเสียโอกาสสร้าง เรื่องเล่าของไทยสู่นานาชาติ งบหลายร้อยล้านอาจถูกใช้ไปกับงานที่มีอายุเพียงไม่กี่วัน โดยไม่มีผลระยะยาวในเชิงเศรษฐกิจหรือการทูตวัฒนธรรม และไม่มีแผนติดตามผลชัดเจน เช่น การวัดการรับรู้ไทยในต่างประเทศ การขยายตลาดคอนเทนต์ไทย หรือการเพิ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ
.
 “ตัวชี้วัดในการดำเนินงาน Soft Power  เน้น “กิจกรรม” และ “จำนวนคน” มากกว่าผลลัพธ์เชิงอิทธิพล วัดผลทางเศรษฐกิจเป็นเชิงกิจกรรม ไม่ใช่การวัดอิทธิพลระยะยาว ขาดการวัด “การรับรู้และการยอมรับ” ในตลาดต่างประเทศ และเสี่ยงต่อการตีความ Soft Power แคบเกินไป แทนที่จะสร้าง “เรื่องราวไทย” ที่เดินทางออกไปสู่โลก ผ่านสื่อ ศิลปะ วัฒนธรรม หรือบุคลากรที่ไปสร้างชื่อในต่างประเทศ เพียงแต่เน้นการดึงคนมาต่างประเทศหรือจัดงานภายในไทยเป็นหลัก ซึ่งเป็นเพียง การท่องเที่ยวเชิงกิจกรรม (event tourism) มากกว่า การทูตวัฒนธรรม (cultural diplomacy)”นายธัญวัจน์กล่าว
.
นายธัญวัจน์ เสนอว่า ควรกำหนดตัวชี้วัดใหม่ใน 4 ด้าน คือการรับรู้ในต่างประเทศ (International Awareness) ,การเข้าถึงตลาดต่างประเทศ (Market Penetration) ,การมีส่วนร่วมของผู้ชมต่างประเทศ (Engagement) และอิทธิพลเชิงภาพลักษณ์ (Perception & Influence) ตัวอย่างตัวชี้วัดของประเทศเกาหลีใต้ ใช้ตัวชี้วัดยอดขายคอนเทนต์ K-Content และผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการส่งออกแฟชั่น ดนตรี อาหาร ขณะที่ญี่ปุ่นใช้จำนวนแบรนด์ที่ขยายตลาดและมูลค่าส่งออกสินค้าวัฒนธรรม วัดผลความสำเร็จของโครงการ Cool Japan Fund เพราะฉะนั้นขอเสนอให้ตัดงบ 5% หรือ 10,989,210 บาท จากวงเงินรวม และนำไปใช้สร้างระบบติดตามตัวชี้วัดเชิงอิทธิพล เช่น การทำวิจัยตลาดในประเทศเป้าหมาย การผลิตคอนเทนต์ส่งออก และการสร้างความร่วมมือกับสื่อนานาชาติ เพื่อให้ทุกบาทของงบ Soft Power สร้างอิทธิพลทางวัฒนธรรมได้จริงในระดับโลก ดังนั้นถ้าไทยยังวัดเพียงจำนวนผู้ร่วมงาน เราจะไม่สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้
.

.
สื่อเขมร อ้างข่าวกรอง บอกไทยปลอมตัวเป็นทหารกัมพูชาวางทุ่นระเบิดเอง จัดฉากให้สมาชิกออตตาวาดู
https://www.matichon.co.th/foreign/news_5322103
.
สื่อเขมร อ้างข่าวกรอง บอกไทยปลอมตัวเป็นทหารกัมพูชาวางทุ่นระเบิดเอง จัดฉากให้สมาชิกออตตาวาดู
.
สำนักข่าวเฟรชนิวส์ของกัมพูชา รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวเชื่อถือได้ในหน่วยงานข่าวกรองไทยว่า นายทหารระดับสูงของกองทัพไทยกำลังวางแผนปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้งกับกัมพูชา เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการรุกรานดินแดนกัมพูชาอีกครั้ง
.
แหล่งข่าวของเฟรชนิวส์ระบุว่า พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย พร้อมด้วยรองผู้บัญชาการอีกหลายนาย มีกำหนดประชุมในวันที่ 15 สิงหาคมนี้ เพื่อสร้างเรื่องกล่าวหากัมพูชาว่าวางทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน ทั้งที่จริงแล้วทุ่นระเบิดดังกล่าวถูกวางโดยกองกำลังไทยเอง
.
แหล่งข่าวรายเดียวกันนี้เปิดเผยอีกว่า ในปฏิบัติการนี้ ผู้เชี่ยวชาญเก็บกู้ทุ่นระเบิดของกองทัพไทย กำลังเตรียมที่จะเก็บกู้วัตถุระเบิดเก่าที่ยังไม่ระเบิดจากดินแดนกัมพูชา และนำกลับไปฝังซ้ำในดินแดนไทย จากนั้นทหารไทย ที่ปลอมตัวเป็นทหารกัมพูชา โดยสวมเครื่องแบบทหารกัมพูชา ซึ่งมีรายงานว่าได้ที่ซื้อจากตลาดโรงเกลือ จะจัดฉากเหตุการณ์เพื่อใส่ร้ายว่าทหารกัมพูชาเป็นผู้ก่อเหตุ กลยุทธ์ที่นำมาใช้เพื่อกล่าวหาทหารกัมพูชานี้ยังรวมถึงการใช้หนังสติ๊กโจมตี การนำเครื่องแบบกัมพูชามาสวมให้ผู้บาดเจ็บหรือผู้เสียชีวิตฝ่ายไทยเพื่อให้ดูเหมือนเป็นชาวกัมพูชา และการใช้กลลวงอื่นๆ เพื่อโยนความผิดให้กัมพูชา
.
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า เมื่อจัดฉากวางทุ่นระเบิดเสร็จสิ้น กองทัพไทยมีแผนจะจุดชนวนกับระเบิดทุกวัน เพื่อสร้างภาพว่ามีการวางทุ่นระเบิดใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำความน่าเชื่อถือของข้อกล่าวหา ไทยยังมีแผนจะเชิญผู้สังเกตการณ์นานาชาติ โดยเฉพาะจากประเทศสมาชิกอนุสัญญาออตตาวา เข้ามาตรวจสอบพื้นที่ และนำเสนอเป็นหลักฐานว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ
.
รายงานยังระบุว่า กองทัพไทยกำลังรอดูผลการประชุมคณะกรรมาธิการชายแดนร่วม (RBC) ที่จะมีขึ้น หากผลการประชุมไม่เป็นไปตามแผนการที่ไทยเตรียมไว้ ไทยก็อาจทำการบุกโจมตีกัมพูชาโดยตรง โดยใช้ข้ออ้างที่กุขึ้นว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงด้วยการวางทุ่นระเบิดใหม่
.
แหล่งข่าวแสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างยิ่งต่อกัมพูชาและกองทัพของกัมพูชา ที่ได้ยึดมั่นในการรักษาข้อตกลงหยุดยิงที่ริเริ่มโดยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐมาโดยตลอด แม้กัมพูชาจะปฏิบัติตามสันติภาพอย่างเคร่งครัด แต่ไทยกลับบ่อนทำลายความพยายามเหล่านี้ด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริงและโยนความผิดให้กัมพูชา
.
นอกจากนี้ แหล่งข่าวยังเรียกร้องให้ชาติมหาอำนาจและประเทศสมาชิกอาเซียน โดยเฉพาะมาเลเซียซึ่งมีขีดความสามารถในการติดตามตรวจสอบผ่านดาวเทียม ช่วยเฝ้ากำกับดูแลและเฝ้าระวังกิจกรรมทางทหารตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อระบุแหล่งที่มาที่แท้จริงของการวางทุ่นระเบิด และเพื่อให้ข้อตกลงหยุดยิงมีประสิทธิผล ทั้งนี้ ทุ่นระเบิดที่พบไม่ได้มีเฉพาะในกัมพูชาเท่านั้น ทั้งยังมีจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ ทำให้ยากต่อการระบุแหล่งที่มาโดยพิจารณาจากประเภทของทุ่นระเบิดเหล่านั้นเพียงอย่างเดียว
.
แหล่งข่าวเสริมด้วยว่า ทหารไทยสามารถปลอมตัวเป็นทหารกัมพูชาได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่สวมเครื่องแบบที่เหมือนกัน แต่ทหารกัมพูชาก็ไม่ตอบโต้ แม้แต่ในช่วงที่ไทยรุกล้ำเข้าไปยังฐานทัพกัมพูชา โดยยังคงรักษาวินัยในการแสวงหาการแก้ไขปัญหาโดยสันติ
.
https://en.freshnewsasia.com/index.php/en/localnews/63068-2025-08-13-15-12-19.html สำนักข่าวเฟรชนิวส์
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่