ส่อเลื่อน! เก็บเงินสมทบ “กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง” กระทบกว่า 9 ล้านชีวิต

สะพัดเลื่อนจัดเก็บเงินสมทบ “กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง” ออกไปอย่างน้อย 1 ปี กระทบกว่า 9 ล้านชีวิต หลังรอคอยมานาน 26 ปี เครือข่ายใช้แรงงานฯ จ่อนัดชุมนุม 20 ส.ค. นี้

หลังจากที่เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา ออกประกาศ กฎกระทรวง กำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567 โดยกำหนดให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568 เป็นต้นไปนั้น ล่าสุดมีข่าวลือว่า จะเลื่อนออกไปอย่างน้อย 1 ปี

เครือข่ายผู้ใช้แรงงาน พรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า จากกระแสข่าวแพร่สะพัดว่าจะมีการเลื่อนจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ที่ก่อนหน้านี้กำหนดให้มีการเริ่มจัดเก็บตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 68 นี้ ออกไปอีกเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปีนั้น

เครือข่ายฯ ขอประกาศคัดค้านการเลื่อนบังคับใช้ออกไป เนื่องจากเป็นการตัดสิทธิประโยชน์ที่ลูกจ้างรอคอยมานาน 26 ปี และจะมีลูกจ้างกว่า 9 ล้านคนต้องเผชิญความเสี่ยง โดยยืนยันว่า ต้องบังคับใช้ตามกำหนดเดิมทันที ไม่เลื่อน ซึ่งจะมีการนัดชุมนุมคัดค้านที่กระทรวงแรงงาน ในเวลา 9.00 น. วันที่ 20 ส.ค. นี้
นายเซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ได้รับแจ้งว่า นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.แรงงาน จะเลื่อนจัดเก็บเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างออกไปอย่างน้อย 1 ปี ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังอย่างยิ่ง เพราะรัฐมนตรีกำลังทำลายช่องทาง “การออมเงิน” ของลูกจ้างที่รอมามากกว่า 26 ปี จึงเรียกร้องให้ทางรมว. แรงงาน “หยุดทำลายความหวัง” ของแรงงานและออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงด้วย

ขณะที่ รายงานข่าวจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน ระบุว่า กระแสข่าวการเลื่อนจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างออกไปอีก 1 ปี จากเดิมที่ก่อนหน้านี้กำหนดให้มีการเริ่มจัดเก็บตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 68 นั้น กระทรวงแรงงานมีแนวโน้มว่าจะเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวออกไปก่อน ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เพื่อความชัดเจน ขอให้รอการประกาศใช้กฏหมายที่เกี่ยวข้องก่อน

สำหรับ “กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง”  จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเป็น “ตาข่ายความปลอดภัย” (Safety Net) ให้กับลูกจ้างในภาคเอกชน โดยกองทุนจะทำหน้าที่ การจ่ายเงินช่วยเหลือ (เงินสงเคราะห์) ให้กับลูกจ้างในกรณีที่ ถูกเลิกจ้างโดยไม่ได้รับค่าชดเชยตามกฎหมาย เช่น กรณีที่นายจ้างปิดกิจการกะทันหัน ล้มละลาย หรือจงใจไม่จ่ายค่าชดเชย ซึ่งแตกต่างและเป็นคนละส่วนกับ กองทุนประกันสังคม ที่เน้นสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล ว่างงาน หรือชราภาพ

โดยลักษณะของการดำเนินงานกองทุนฯ จะใช้รูปแบบการสมทบร่วมกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้างในอัตราที่กฎหมายกำหนด (เริ่มต้นที่ฝ่ายละ 0.25% ของค่าจ้าง) เพื่อสร้างความมั่นคงและหลักประกันว่า หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ลูกจ้างจะยังคงมีเงินช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน

อนึ่ง วันที่ 22 พ.ย. 2567 เว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษา ประกาศ กฎกระทรวง กำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 6 วรรคหนึ่ง และมาตรา 131 วรรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงไว้ ดังต่อไปนี้
 

ข้อ 1 กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป
ข้อ 2 ให้นายจ้าง และลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตามมาตรา 130 วรรคหนึ่ง จ่ายเงินสะสมและเงินสมทบเข้ากองทุนเพื่อเป็นทุนสงเคราะห์ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย ตามบัญชีอัตราเงินสะสมและเงินสมทบ ดังต่อไปนี้

ราชกิจจาฯ กำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567
 

ให้ไว้ ณ วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567
 

หมายเหตุ : เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา 131 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 บัญญัติว่า นับแต่วันที่ลูกจ้างเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ทุกครั้งที่มีการจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างจ่ายเงินสะสม โดยให้นายจ้างหักจากค่าจ้างและนายจ้างจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ทั้งนี้ ตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวงแต่ต้องไม่เกินร้อยละห้าของค่าจ้าง จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้




แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่