จากเหยื่อหางานออนไลน์…สู่ผู้ต้องหา “บัญชีม้า” ทั้งที่ไม่ได้ทำ! (บันทึกชีวิตจริง) / 2

ตอนที่ 2 – วันที่ก้าวข้ามแดน

9 ตุลาคม 2567
เช้าวันนั้น ฉันตื่นก่อนนาฬิกาปลุก ทั้งที่เมื่อคืนแทบไม่ได้นอน
ความตื่นเต้นปนความกังวลทำให้หัวใจเต้นแรงตั้งแต่ลืมตา
ฉันเก็บเสื้อผ้าแค่พอใส่ไม่กี่วัน — บอกตัวเองว่า “ไปลองงาน 7 วัน… ไม่ชอบก็กลับ”
โทรศัพท์อยู่ในมือ กระเป๋าสตางค์ในกระเป๋าสะพาย ทุกอย่างดูพร้อม
08:15 น.
“พร้อมหรือยัง เดี๋ยวไปรับนะ”
ข้อความจาก “น้องน้ำตาล” เด้งขึ้นมาในไลน์
ฉันตอบสั้น ๆ “พร้อมค่ะ”
09:00 น.
รถเก๋งสีดำมาจอดหน้าปากซอย ชายวัยกลางคนในหมวกแก๊ปดำและแว่นกันแดดเลื่อนกระจกลง
“น้องใช่มั้ย ไปปอยเปต?” เขาถามสั้น ๆ
ฉันพยักหน้า เขากดปุ่มปลดล็อกประตู ฉันก้าวขึ้นไปนั่งเบาะหลัง — เพียงคนเดียว
บรรยากาศในรถเงียบสนิท มีเพียงเสียงเครื่องยนต์และลมแอร์เย็น ๆ
ฉันนั่งมองวิวสองข้างทาง พลางคิดว่า “อีกไม่กี่ชั่วโมง ชีวิตเราคงเปลี่ยนไป”
11:45 น.
รถจอดที่อรัญประเทศ จุดรับส่งก่อนข้ามไปฝั่งกัมพูชา
ผู้หญิงผอมตัวเล็ก อายุราว 40 กว่าปี เดินตรงมาหาฉัน
เธอพูดสั้น ๆ “ไปกับพี่นะ เดี๋ยวพาไปทางลัด”
ฉันซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของเธอ ลัดเลาะไปด้านหลังบิ๊กซีอรัญ ผ่านซอยแคบ ๆ จนไปถึงกำแพงสังกะสีเก่า ๆ
ตรงนั้นมีชายชาวกัมพูชารออยู่ เขามองหน้าฉันแวบหนึ่งก่อนพูดภาษาที่ฟังไม่ออก แล้วผายมือให้เดินตาม
เส้นทางต่อจากนั้นไม่ใช่ด่านตรวจปกติ แต่เป็น “ทางธรรมชาติ” — พื้นดินแดง, หญ้าสูง, และรั้วลวดหนามบางช่วง
ฉันเดินตามเขาแบบไม่กล้าถามอะไร เพราะในหัวเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ปกติ แต่ก็ยังคิดว่า “คงเป็นทางลัดจริง ๆ อย่างที่เขาบอก”
ไม่นานนัก เราก็มาถึงตึกสูงเก่า ๆ ที่ภายในมีคนไทยนั่งทำงานกันหลายสิบคน
เสียงคีย์บอร์ดดังรัวปนกับเสียงพูดคุยเบา ๆ เหมือนเป็นออฟฟิศ แต่บรรยากาศกลับอึดอัดแปลก ๆ
ผู้หญิงตัวเล็กส่งเอกสารมาให้ฉัน “กรอกใบสมัครก่อนนะ”
ฉันนั่งลง เขียนชื่อ ที่อยู่ ประวัติการทำงานลงไปทุกช่องเหมือนสมัครงานทั่วไป
หลังจากนั้น แทนที่จะพาฉันขึ้นบันไดต่อเหมือนที่คิด เธอกลับบอกว่า
“ไปอีกตึกหนึ่งนะ เจ้านายอยู่ที่นั่น”
ฉันต้องนั่งรถมอเตอร์ไซค์ต่อไปอีกไกล ผ่านถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่นและตึกเก่า ๆ จนมาถึงอาคารสีซีดที่เงียบกว่าที่แรกมาก
ในห้องหนึ่งของตึกนั้น มีชายชาวจีนและหญิงชาวจีนรออยู่
ทั้งคู่ยิ้มบาง ๆ ให้ฉัน ก่อนชายคนนั้นพูดภาษาไทยชัดเจนว่า
“มาสมัครงานใช่ไหม เดี๋ยวพาไปดูที่ทำงาน”
ตอนนั้น… ฉันยังไม่รู้เลยว่า สิ่งที่รออยู่ข้างหน้า ไม่ใช่ “บริษัทในฝัน” แต่คือประตูบานแรกของฝันร้าย ที่ฉันไม่มีวันลืม

ปล. เรื่องนี้เขียนขึ้นเพื่อเป็นวิทยาทาน และเป็นเครื่องเตือนใจ อ่านให้ได้อรรถรสก็เพียงพอ เรื่องนี้ยังไม่จบ คอยติดตามทุกตอนต่อไป
เสียงที่ถูกกลืน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่