เท้าความ (อ่านหรือมักจะพูดกันว่าท้าวความ ไม่อ่านก็ข้ามไปที่เลือกรถไฟฟ้าได้เลย) ตั้งแต่เกษียณก็จะไม่มีรายได้ที่มากพอที่จะใช้เท่ากับขณะที่ทำงาน แล้วเป็นคนที่ไม่ชอบเสี่ยงที่จะเล่นหุ้นแบบเพื่อนๆ อะไรที่จะลดรายจ่ายก็จะหาวิธีให้ค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนเบาลง
ค่าไฟฟ้าก็เป็นส่วนหนึ่งของรายจ่ายในเปอร์เซนต์สูง ด้วยความที่เป็นคนที่ตามยุคแม้จะไม่ทันในบางเรื่องก็ตาม เลยดิ้นรนติดโซลาร์เซลล์ กว่าจะตัดสินใจเลือก ก็เกือบครึ่งปีทั้งศึกษา ทั้งหาร้านที่คิดว่าวางใจได้
ก็เลือกจากบริษัทที่โฆษณาในเฟสบุ้ค ติดหัวเหว่ย 5 KW ใช้แผง 12 แผง รวมเบ็ดเสร็จ 120K โดยคาดหวังว่าจะลดค่าไฟลงให้เหลือแค่หลักร้อย แต่กลับกลายเป็นลดได้หลักร้อย โดยที่ยังมีความหวังว่าเมื่อทำการขายไฟให้การไฟฟ้า(กฟน)แล้วรายจ่ายจะลดลงตามที่คาด บริษัทได้ยื่นขอขนานไฟและเสนอขายไฟตั้งแต่พ.ค.ปี 2564 (นับถึงตอนนี้ก็ยังไม่อนุมัติ)
เดือนแรกที่ติดตั้งโซลาร์เซลล์ มิเตอร์ไฟไม่ขยับเลย ในวันที่ 3 หลังติดตั้งพบว่าช่วงกลางวันมีไฟย้อนเข้าการไฟฟ้ามิเตอร์หมุนกลับด้าน จึงได้ติดต่อให้บริษัทปรับในระบบให้ไม่ย้อน การให้ย้อนไปไม่ดีทั้งอาจจะเป็นอันตรายต่อพนักงานการไฟฟ้าเมื่อทำการแก้ไขไฟนอกบ้าน และอีกอย่างถือเป็นการลักขโมยผิดศีลข้อ5 ด้วย
ดูค่าการได้ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ในมือถือมาตลอด ได้มากสุดตอนบ่าย 4.4 Kw ตัวเลขการประหยัดไม่ได้ดีขึ้น กลางคืนใช้ไฟเท่าเดิมเหมือนก่อนติด มีแต่กลางวันที่มิเตอร์ไม่ขยับเลย เพราะได้ไฟจากแดดมาใช้ ต้องปรับตัวเยอะพอสมควร ทุกอย่างที่กินไฟ ต้องพยายามใช้ในตอน 09.30-15.30 น. ซักผ้า หุงข้าว รีดผ้า ตอนไหนที่ไม่ใช้ไฟ ก็จะถือว่าเป็นการสูญเสีย
เลือกรถไฟฟ้าอีวีมาใช้งาน
จากการเสียดายไฟที่ผลิตได้ ลอยหายไปในอากาศ เลยเกิดมีความคิดว่าถ้าเป็นรถไฟฟ้าอีวี น่าจะมาเก็บพลังงานส่วนนี้ได้ แต่ถ้าซื้อรถใหม่ แน่นอนว่าทั้งแพงทั้งกลัวติดดอยหากวันข้างหน้าลดราคาลงมาอีก เลยคิดจะหามือสองมาใช้ ด้วยความบังเอิญไถในเฟสจนมาเจอรถคันที่อยากได้ คนขายปล่อยให้ผ่อนต่อไม่เอาเงินดาวน์เลย แต่ด้วยความล่าช้าระหว่างทำสัญญาทำให้ต้องจ่ายเงินเกือบ2งวดโดยที่ไม่ได้ใช้งาน จริงแล้วขั้นตอนควรเร็วกว่านี้แต่แน่ละ บ.ไฟแนนซ์ได้ค่าธรรมเนียมมาอีกนิดหน่อย(4พัน) จะให้เร็วเท่าปล่อยรถใหม่คงไม่ได้
ได้รถมาในราคาต่ำกว่าครึ่งราคาที่เจ้าของเก่าออกป้ายแดง คนซื้อก็ไม่ได้เสียดอก และถูกกว่าถ้าจะออกรถใหม่ป้ายแดงในขณะนั้น 2แสนบาทแถมผ่อนเองก็ไม่ได้ด้วย ต้องยืมชื่อลูกเป็นคนยื่น ตอนติดต่อซื้อก็ไปทดลองขับ ก็ไม่พบว่าจะมีข้อบกพร่องใดๆ (เจ้าของเดิมใช้มา 7หมื่นก.ม. ขายเพราะเปลี่ยนอีวีคันใหญ่ขึ้น) นอกจากสีรถที่ไม่ถูกใจภรรยา ตอนทดสอบก็ได้ไปเรียนรู้วิธีชาร์จที่สถานี เผื่อว่าได้รถยนต์ก่อนการติดตั้งเครื่องชาร์จ
ในระหว่างรอครอบครองรถ ก็เตรียมการเรื่องการติดตั้ง Wall Charger ที่บ้านมิเตอร์ 30/100 อยู่แล้ว ก็หาช่างเดินสายไฟ 4 เส้นจากแผงไฟในบ้านมายังจุดติดตั้ง WC. ตำแหน่งติดตั้งก็เลือกให้สามารถเห็นได้ง่ายในขณะชาร์จ ยอมรับเลยว่าไม่วางใจ 100% ตัวWC เจ้าของเก่าถอดให้มาด้วย จ่างช่างไฟฟ้าที่มาทำงานใกล้บ้านติดให้ ค่าแรง 5 พันบาท
วันรับรถก็นัดกันที่ขนส่ง มีการตรวจสภาพรถ ตามการนัดของไฟแนนซ์ เงินบางส่วนได้จ่ายให้เรียบร้อยแล้ว ณ วันโอนสัญญา
เมื่อได้รถมาครอบครอง ด้วยความเห่อและคิดว่าชาร์จรถฟรี เลยใช้รถบ่อยมาก ไปตลาด ไปกินก๊วยเตี๋ยวก็เอาไป สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากรถน้ำมันคือ
1. ออกรถได้เลย ไม่ต้องวอร์มรถให้ถึงความร้อนที่รถต้องการ ปกติจะขับช้าๆ รอจนพ้นปากซอย ออกถนนใหญ่และรอดูเกจ์ความร้อนถึงตรงกลางค่อยขับเร็ว
2.หลังจากกลับเข้าบ้าน สิ่งที่ต้องทำคือเสียบสายชาร์จ โดยจะตั้งชาร์จในเวลากลางวันเท่านั้น เว้นแต่คิดว่าจะเอาไปไหนไกลแล้วคิดว่าไฟไม่พอแน่ๆ ค่อยชาร์จกลางคืนร่วมด้วย
3.หากวันไหน ที่มีฝนตก และไม่มีแดด ก็เลือกที่จะไม่ชาร์จ เวลาชาร์จ 7Kw (7,000วัตต์ คิดเป็นแอมป์ก็เอา 220โวลต์ไปหาร ได้เท่ากับ 31.8แอมป์ (ปัดเศษเป็น 32แอมป์) ได้ไฟจากแดดเพียง 4.2 แอมป์ เลยต้องเลือกเอาตัวชาร์จติดรถมาใช้แทน ซึ่งจะชาร์จที่ 16 แอมป์ เท่ากับยังใช้ไฟบ้านร่วมอีก 11-12แอมป์
จนวันหนึ่งไปเจอ Portable Charger ในแอป Shopee สามารถตั้งค่าการชาร์จได้ต่ำกว่าเดิม WC ที่ติดตามบ้าน จะมี 2 ขนาด 22 Kwใช้ไฟ 3 Phase และ 7Kw (32แอมป์) ไฟ 1 Phase แต่ Portable สามารถตั้งได้ที่ 8-16 แอมป์ (8 แอมป์คูณกับไฟ 220โวลท์ เท่ากับ 1,760 วัตต์ ถ้าตั้ง 10 แอมป์ก็จะเท่ากับ 2,220 วัตต์
จากที่จดบันทึกไว้ต่อวัน โดยการจดเลขมิเตอร์ เช้า และเย็น แล้วหักลบกันก็จะได้ว่า ช่วงกลางคืนใช้ไฟเฉลี่ย 10-12 หน่วย กลางวัน 1-3 หน่วย กลางวันอยู่บ้านก็เปิดแอร์อินเวอร์ตเตอร์ 12,000BTU 8.30-16.00 น. และช่วงค่ำก็เปิด 19.00-05.30 น.ทุกคืน
4.เดิมต้องใช้น้ำมันรถ 1-2 พันบาท แล้วแต่ธุระความจำเป็น พอมีรถไฟฟ้าอีวี นานมากเลยกว่าจะเติม 1 พันบาท รถน้ำมัน จอดเป็นส่วนใหญ่ เลยลดการทำประกันภัยจากชั้น 2+ เป็น ประกัน 3+ แทน ลดรายจ่ายไป 4-5 พันบาท แต่ไปโดนค่าประกันรถอีวี 22,000 บาท (ปีแรกที่ใช้ เคลมเปลี่ยนกระจกหน้าไป 14K ขับตาม 10 ล้อโดนหินดีดกระจกร้าว
5. หลังจากรับมาและใช้งานมาได้ 3.8 หมื่นก.ม. เสียงยางดังขึ้นมาก ทั้งที่สลับยางทุกหมื่นก.ม. ยางก็เริ่มหมดสภาพ เปลี่ยนใหม่ เลือกยางของรถ SUV มาใส่แทนเพราะน้ำหนักรถใกล้เคียงกัน โดนไป 14,000 บาท
6.เข้าศูนย์ไปตรวจตามรอบทุก 15,000 โดนไป 2 พันกว่าบาทต่อครั้ง เมื่อครบ 90,000 ก.ม. เป็นค่าเปลี่ยนน้ำมันเบรคและกรองแอร์ สลับยาง ครั้งหน้ามีเพิ่มน้ำยาหล่อเย็น
7.เมื่อนั่งอยู่ในรถ ระหว่างรอคน สามารถเปิดแอร์ได้โดยไม่ต้องติดเครื่องยนต์ ไม่มีกลิ่นควันรบกวน มีไอร้อนออกมาเล็กน้อย ถ้าที่จอดรถไม่เป็นที่อับลมก็แทบจะไม่รบกวนใคร
รถผมจะมีไฟเดย์ไลท์ติดตลอด บางคันที่ไม่รู้ก็จะคิดว่าผมเตรียมที่จะออกรถ ต้องโบกไม้โบกมือ สุดท้ายผมเลือกที่จะเปิดไฟเก๋งแล้วปรับที่นั่งให้นอนราบจะได้เห็นว่าไม่มีคนในตำแหน่งคนขับ
8.ตอนขับในซอย ด้วยเสียงที่เงียบ ต้องเปิดเสียงสังเคราะห์ให้ดัง สงสารคนเดินถนนเพลินๆ รถเข้าใกล้ไม่ทันรู้ตัว
9. ต้องเรียนรู้ที่จะใช้แอปในการชาร์จไฟตามสถานี หลายหลายยี่ห้อ แทนที่จะใช้เหมือนๆกัน บางสถานี มีการจองชาร์จล่วงหน้า ต้องระวังไม่ใช้อันที่มีคนจองมา ผมชอบแบบที่ไม่จองครับ มาก่อนได้ก่อน การจอง ต้องมีการเผื่อเวลา อาจจะหงุดหงิดถ้าไปตามเวลาที่จองไม่ได้ เช่นมีอุบัติเหตุระหว่างทาง
10. พอไม่มีค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมัน ก็จะมีการหยิบยืมใช้จากญาติพี่น้อง ดีที่ตัดใจได้เมื่อสูงอายุมากขึ้นว่าเป็นของนอกกาย เสียก็ซ่อม พังก็ซื้อใหม่ ตอนหนุ่มๆ หวงรถมาก
11.ช่วงเที่ยงต้องหาของกินไกลๆ ใกล้บ้านกินเบื่อแล้ว ขากลับต้องแวะกินกาแฟ น่าจะเปลืองก็ข้อนี้
12. รถไม่ค่อยจะเสีย ถ้าเรียนรู้ในข้อด้อยของแต่ละยี่ห้อ เข้าไปฝังตัวอยู่ตามคลับของคนใช้รถรุ่นนั้นๆ อะไรไม่ดีก็เปลี่ยนแปลงแก้ไข อาทิ แผ่นปิดกันหนู เปลี่ยนโช๊คเพื่อไม่ให้โยนตัวหรือย้วย มีของให้แต่งรถพอสมควร อันนี้ก็แล้วแต่รสนิยม สั่งออนไลน์ก็มี พอรถไม่ค่อยจะเสีย ข้ออ้างในการออกจากบ้านก็จะน้อยลง เหลือคันน้ำมันที่ยังต้องซ่อมอยู่ จะขายก็เสียดาย ราคาตกไปมาก เก็บไว้เป็นรถสำรอง หรือใช้ตอนเดินทางไกลๆ
13. ลุ้นๆ อยู่ว่า เมื่อไหร่จะได้ขายไฟให้การไฟฟ้า พอถึงเวลานั้นก็จะมีเงินเหลือใช้อีกหน่อย (แปลกที่บางเขตขายได้เร็ว น่าจะมีกำหนดการที่แน่นอน ติดตามได้ จะได้รู้สึกว่ามีความเป็นธรรม)
14. เอาเท่าที่นึกได้แค่นี้ก่อน ถ้ามีอะไรอื่นอีกจะเข้ามาแชร์เพิ่ม
สรุปว่ายังแฮปปี้ดี ไม่พยายามนึกถึงราคาขายต่อว่าจะเหลือเท่าใด ตราบใดที่ไม่ขายก็จะไม่รู้สึกขาดทุน ระยะทางที่จะลดลงยังไงก็คงเพียงพอใช้ในแต่ละวัน
และถ้ารถต้องพังเพราะไม่มีอะไหล่ ก็จะจ้างช่างเอาแบตออกมาเก็บไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์
เหตุที่ผมเปลี่ยนใจมาใช้รถไฟฟ้าอีวี ในแบบที่ไม่ได้ตั้งใจแต่แรก และผลกระทบจากผู้ใช้ที่สูงอายุ
ค่าไฟฟ้าก็เป็นส่วนหนึ่งของรายจ่ายในเปอร์เซนต์สูง ด้วยความที่เป็นคนที่ตามยุคแม้จะไม่ทันในบางเรื่องก็ตาม เลยดิ้นรนติดโซลาร์เซลล์ กว่าจะตัดสินใจเลือก ก็เกือบครึ่งปีทั้งศึกษา ทั้งหาร้านที่คิดว่าวางใจได้
ก็เลือกจากบริษัทที่โฆษณาในเฟสบุ้ค ติดหัวเหว่ย 5 KW ใช้แผง 12 แผง รวมเบ็ดเสร็จ 120K โดยคาดหวังว่าจะลดค่าไฟลงให้เหลือแค่หลักร้อย แต่กลับกลายเป็นลดได้หลักร้อย โดยที่ยังมีความหวังว่าเมื่อทำการขายไฟให้การไฟฟ้า(กฟน)แล้วรายจ่ายจะลดลงตามที่คาด บริษัทได้ยื่นขอขนานไฟและเสนอขายไฟตั้งแต่พ.ค.ปี 2564 (นับถึงตอนนี้ก็ยังไม่อนุมัติ)
เดือนแรกที่ติดตั้งโซลาร์เซลล์ มิเตอร์ไฟไม่ขยับเลย ในวันที่ 3 หลังติดตั้งพบว่าช่วงกลางวันมีไฟย้อนเข้าการไฟฟ้ามิเตอร์หมุนกลับด้าน จึงได้ติดต่อให้บริษัทปรับในระบบให้ไม่ย้อน การให้ย้อนไปไม่ดีทั้งอาจจะเป็นอันตรายต่อพนักงานการไฟฟ้าเมื่อทำการแก้ไขไฟนอกบ้าน และอีกอย่างถือเป็นการลักขโมยผิดศีลข้อ5 ด้วย
ดูค่าการได้ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ในมือถือมาตลอด ได้มากสุดตอนบ่าย 4.4 Kw ตัวเลขการประหยัดไม่ได้ดีขึ้น กลางคืนใช้ไฟเท่าเดิมเหมือนก่อนติด มีแต่กลางวันที่มิเตอร์ไม่ขยับเลย เพราะได้ไฟจากแดดมาใช้ ต้องปรับตัวเยอะพอสมควร ทุกอย่างที่กินไฟ ต้องพยายามใช้ในตอน 09.30-15.30 น. ซักผ้า หุงข้าว รีดผ้า ตอนไหนที่ไม่ใช้ไฟ ก็จะถือว่าเป็นการสูญเสีย
เลือกรถไฟฟ้าอีวีมาใช้งาน
จากการเสียดายไฟที่ผลิตได้ ลอยหายไปในอากาศ เลยเกิดมีความคิดว่าถ้าเป็นรถไฟฟ้าอีวี น่าจะมาเก็บพลังงานส่วนนี้ได้ แต่ถ้าซื้อรถใหม่ แน่นอนว่าทั้งแพงทั้งกลัวติดดอยหากวันข้างหน้าลดราคาลงมาอีก เลยคิดจะหามือสองมาใช้ ด้วยความบังเอิญไถในเฟสจนมาเจอรถคันที่อยากได้ คนขายปล่อยให้ผ่อนต่อไม่เอาเงินดาวน์เลย แต่ด้วยความล่าช้าระหว่างทำสัญญาทำให้ต้องจ่ายเงินเกือบ2งวดโดยที่ไม่ได้ใช้งาน จริงแล้วขั้นตอนควรเร็วกว่านี้แต่แน่ละ บ.ไฟแนนซ์ได้ค่าธรรมเนียมมาอีกนิดหน่อย(4พัน) จะให้เร็วเท่าปล่อยรถใหม่คงไม่ได้
ได้รถมาในราคาต่ำกว่าครึ่งราคาที่เจ้าของเก่าออกป้ายแดง คนซื้อก็ไม่ได้เสียดอก และถูกกว่าถ้าจะออกรถใหม่ป้ายแดงในขณะนั้น 2แสนบาทแถมผ่อนเองก็ไม่ได้ด้วย ต้องยืมชื่อลูกเป็นคนยื่น ตอนติดต่อซื้อก็ไปทดลองขับ ก็ไม่พบว่าจะมีข้อบกพร่องใดๆ (เจ้าของเดิมใช้มา 7หมื่นก.ม. ขายเพราะเปลี่ยนอีวีคันใหญ่ขึ้น) นอกจากสีรถที่ไม่ถูกใจภรรยา ตอนทดสอบก็ได้ไปเรียนรู้วิธีชาร์จที่สถานี เผื่อว่าได้รถยนต์ก่อนการติดตั้งเครื่องชาร์จ
ในระหว่างรอครอบครองรถ ก็เตรียมการเรื่องการติดตั้ง Wall Charger ที่บ้านมิเตอร์ 30/100 อยู่แล้ว ก็หาช่างเดินสายไฟ 4 เส้นจากแผงไฟในบ้านมายังจุดติดตั้ง WC. ตำแหน่งติดตั้งก็เลือกให้สามารถเห็นได้ง่ายในขณะชาร์จ ยอมรับเลยว่าไม่วางใจ 100% ตัวWC เจ้าของเก่าถอดให้มาด้วย จ่างช่างไฟฟ้าที่มาทำงานใกล้บ้านติดให้ ค่าแรง 5 พันบาท
วันรับรถก็นัดกันที่ขนส่ง มีการตรวจสภาพรถ ตามการนัดของไฟแนนซ์ เงินบางส่วนได้จ่ายให้เรียบร้อยแล้ว ณ วันโอนสัญญา
เมื่อได้รถมาครอบครอง ด้วยความเห่อและคิดว่าชาร์จรถฟรี เลยใช้รถบ่อยมาก ไปตลาด ไปกินก๊วยเตี๋ยวก็เอาไป สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากรถน้ำมันคือ
1. ออกรถได้เลย ไม่ต้องวอร์มรถให้ถึงความร้อนที่รถต้องการ ปกติจะขับช้าๆ รอจนพ้นปากซอย ออกถนนใหญ่และรอดูเกจ์ความร้อนถึงตรงกลางค่อยขับเร็ว
2.หลังจากกลับเข้าบ้าน สิ่งที่ต้องทำคือเสียบสายชาร์จ โดยจะตั้งชาร์จในเวลากลางวันเท่านั้น เว้นแต่คิดว่าจะเอาไปไหนไกลแล้วคิดว่าไฟไม่พอแน่ๆ ค่อยชาร์จกลางคืนร่วมด้วย
3.หากวันไหน ที่มีฝนตก และไม่มีแดด ก็เลือกที่จะไม่ชาร์จ เวลาชาร์จ 7Kw (7,000วัตต์ คิดเป็นแอมป์ก็เอา 220โวลต์ไปหาร ได้เท่ากับ 31.8แอมป์ (ปัดเศษเป็น 32แอมป์) ได้ไฟจากแดดเพียง 4.2 แอมป์ เลยต้องเลือกเอาตัวชาร์จติดรถมาใช้แทน ซึ่งจะชาร์จที่ 16 แอมป์ เท่ากับยังใช้ไฟบ้านร่วมอีก 11-12แอมป์
จนวันหนึ่งไปเจอ Portable Charger ในแอป Shopee สามารถตั้งค่าการชาร์จได้ต่ำกว่าเดิม WC ที่ติดตามบ้าน จะมี 2 ขนาด 22 Kwใช้ไฟ 3 Phase และ 7Kw (32แอมป์) ไฟ 1 Phase แต่ Portable สามารถตั้งได้ที่ 8-16 แอมป์ (8 แอมป์คูณกับไฟ 220โวลท์ เท่ากับ 1,760 วัตต์ ถ้าตั้ง 10 แอมป์ก็จะเท่ากับ 2,220 วัตต์
จากที่จดบันทึกไว้ต่อวัน โดยการจดเลขมิเตอร์ เช้า และเย็น แล้วหักลบกันก็จะได้ว่า ช่วงกลางคืนใช้ไฟเฉลี่ย 10-12 หน่วย กลางวัน 1-3 หน่วย กลางวันอยู่บ้านก็เปิดแอร์อินเวอร์ตเตอร์ 12,000BTU 8.30-16.00 น. และช่วงค่ำก็เปิด 19.00-05.30 น.ทุกคืน
4.เดิมต้องใช้น้ำมันรถ 1-2 พันบาท แล้วแต่ธุระความจำเป็น พอมีรถไฟฟ้าอีวี นานมากเลยกว่าจะเติม 1 พันบาท รถน้ำมัน จอดเป็นส่วนใหญ่ เลยลดการทำประกันภัยจากชั้น 2+ เป็น ประกัน 3+ แทน ลดรายจ่ายไป 4-5 พันบาท แต่ไปโดนค่าประกันรถอีวี 22,000 บาท (ปีแรกที่ใช้ เคลมเปลี่ยนกระจกหน้าไป 14K ขับตาม 10 ล้อโดนหินดีดกระจกร้าว
5. หลังจากรับมาและใช้งานมาได้ 3.8 หมื่นก.ม. เสียงยางดังขึ้นมาก ทั้งที่สลับยางทุกหมื่นก.ม. ยางก็เริ่มหมดสภาพ เปลี่ยนใหม่ เลือกยางของรถ SUV มาใส่แทนเพราะน้ำหนักรถใกล้เคียงกัน โดนไป 14,000 บาท
6.เข้าศูนย์ไปตรวจตามรอบทุก 15,000 โดนไป 2 พันกว่าบาทต่อครั้ง เมื่อครบ 90,000 ก.ม. เป็นค่าเปลี่ยนน้ำมันเบรคและกรองแอร์ สลับยาง ครั้งหน้ามีเพิ่มน้ำยาหล่อเย็น
7.เมื่อนั่งอยู่ในรถ ระหว่างรอคน สามารถเปิดแอร์ได้โดยไม่ต้องติดเครื่องยนต์ ไม่มีกลิ่นควันรบกวน มีไอร้อนออกมาเล็กน้อย ถ้าที่จอดรถไม่เป็นที่อับลมก็แทบจะไม่รบกวนใคร
รถผมจะมีไฟเดย์ไลท์ติดตลอด บางคันที่ไม่รู้ก็จะคิดว่าผมเตรียมที่จะออกรถ ต้องโบกไม้โบกมือ สุดท้ายผมเลือกที่จะเปิดไฟเก๋งแล้วปรับที่นั่งให้นอนราบจะได้เห็นว่าไม่มีคนในตำแหน่งคนขับ
8.ตอนขับในซอย ด้วยเสียงที่เงียบ ต้องเปิดเสียงสังเคราะห์ให้ดัง สงสารคนเดินถนนเพลินๆ รถเข้าใกล้ไม่ทันรู้ตัว
9. ต้องเรียนรู้ที่จะใช้แอปในการชาร์จไฟตามสถานี หลายหลายยี่ห้อ แทนที่จะใช้เหมือนๆกัน บางสถานี มีการจองชาร์จล่วงหน้า ต้องระวังไม่ใช้อันที่มีคนจองมา ผมชอบแบบที่ไม่จองครับ มาก่อนได้ก่อน การจอง ต้องมีการเผื่อเวลา อาจจะหงุดหงิดถ้าไปตามเวลาที่จองไม่ได้ เช่นมีอุบัติเหตุระหว่างทาง
10. พอไม่มีค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมัน ก็จะมีการหยิบยืมใช้จากญาติพี่น้อง ดีที่ตัดใจได้เมื่อสูงอายุมากขึ้นว่าเป็นของนอกกาย เสียก็ซ่อม พังก็ซื้อใหม่ ตอนหนุ่มๆ หวงรถมาก
11.ช่วงเที่ยงต้องหาของกินไกลๆ ใกล้บ้านกินเบื่อแล้ว ขากลับต้องแวะกินกาแฟ น่าจะเปลืองก็ข้อนี้
12. รถไม่ค่อยจะเสีย ถ้าเรียนรู้ในข้อด้อยของแต่ละยี่ห้อ เข้าไปฝังตัวอยู่ตามคลับของคนใช้รถรุ่นนั้นๆ อะไรไม่ดีก็เปลี่ยนแปลงแก้ไข อาทิ แผ่นปิดกันหนู เปลี่ยนโช๊คเพื่อไม่ให้โยนตัวหรือย้วย มีของให้แต่งรถพอสมควร อันนี้ก็แล้วแต่รสนิยม สั่งออนไลน์ก็มี พอรถไม่ค่อยจะเสีย ข้ออ้างในการออกจากบ้านก็จะน้อยลง เหลือคันน้ำมันที่ยังต้องซ่อมอยู่ จะขายก็เสียดาย ราคาตกไปมาก เก็บไว้เป็นรถสำรอง หรือใช้ตอนเดินทางไกลๆ
13. ลุ้นๆ อยู่ว่า เมื่อไหร่จะได้ขายไฟให้การไฟฟ้า พอถึงเวลานั้นก็จะมีเงินเหลือใช้อีกหน่อย (แปลกที่บางเขตขายได้เร็ว น่าจะมีกำหนดการที่แน่นอน ติดตามได้ จะได้รู้สึกว่ามีความเป็นธรรม)
14. เอาเท่าที่นึกได้แค่นี้ก่อน ถ้ามีอะไรอื่นอีกจะเข้ามาแชร์เพิ่ม
สรุปว่ายังแฮปปี้ดี ไม่พยายามนึกถึงราคาขายต่อว่าจะเหลือเท่าใด ตราบใดที่ไม่ขายก็จะไม่รู้สึกขาดทุน ระยะทางที่จะลดลงยังไงก็คงเพียงพอใช้ในแต่ละวัน
และถ้ารถต้องพังเพราะไม่มีอะไหล่ ก็จะจ้างช่างเอาแบตออกมาเก็บไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์