ว่าที่เสือตัวที่ 5 สู่คนป่วยแห่งเอเชีย แรงบีบปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไทย
เศรษฐกิจไทยที่เคยถูกจับตามองในฐานะ “ว่าที่เสือเศรษฐกิจตัวที่ 5 ของเอเชีย” นั้น กำลังเผชิญกับภาวะถดถอยจนกลายเป็นประเทศที่มีการเติบโตต่ำที่สุดในอาเซียน โดยมี GDP เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีไม่เกิน 2% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าศักยภาพและทำให้ไทยกลายเป็น “คนป่วยแห่งเอเชีย” ที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ธนาคารโลกจัดให้ไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนารายได้ปานกลางระดับต่ำ (รายได้ต่อหัวเกิน 1,036 ดอลลาร์) เมื่อปี 2531 พร้อมความคาดหวังของไทยที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชียต่อจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวันและสิงคโปร์ เพื่อเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ แต่ไทยไปไม่ถึงเมื่อต้องเผชิญวิกฤติการเมืองและวิกฤติเศรษฐกิจในทศวรรษ 1990
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ที่ผ่านมามีปัจจัยหลักที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจและภาคการผลิตของไทย ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและโครงสร้างอุตสาหกรรม เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการสินค้าของตลาดโลก
ทั้งนี้ มีหลายสาเหตุหลักที่ทำให้ไทยตกอยู่ในสถานการณ์เศรษฐกิจจากว่าที่เสือเศรษฐกิจตัวที่ 5 ของเอเชีย มาเป็นคนป่วยของเอเชียในปัจจุบัน ได้แก่
1. การปรับตัวที่ไม่ทันต่อโลก ที่ไทยไม่สามารถปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Digital Disruption) ซึ่งกระทบอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่พึ่งพาการผลิตแบบ OEM (รับจ้างผลิต) ทำให้สินค้าหลักถูกทดแทนด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เข้ามาแทนที่รถยนต์สันดาป ทำให้ชิ้นส่วนยานยนต์หลายหมื่นชิ้นที่ไทยผลิตอยู่ต้องหายไป
2. ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ด้วยภาคแรงงานที่มีการปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไทยสูญเสียความได้เปรียบด้านต้นทุนเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งมีค่าแรงและค่าพลังงานที่ถูกกว่า
3. สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ จากการที่ไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุ ทำให้ขาดแคลนแรงงานวัยทำงาน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น และยังต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้น
4. ติดกับดักประเทศรายได้ปานกลาง จากการที่ไทยยังคงเป็นประเทศที่อยู่ในกลุ่มรายได้ปานกลางมานานกว่า 30 ปี และไม่ขยับไปไหนเลยเพราะไทยเป็นประเทศ OEM
(ลิงก์อ่านต่อ)
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1193814?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR472WNHSgXcLYuJk7KczNfeWthDqyNK2zYqkPxpMFa2-vXdTMEW5IQtAtsU8w_aem_zUQWg5j1TOENbtVWzjXhyw
เอาใจช่วยประเทศไทยให้กลับมายืนในแนวหน้า ให้ฟื้นจาก คำว่าที่เสือตัวที่ 5 สู่คนป่วยแห่งเอเชีย
เศรษฐกิจไทยที่เคยถูกจับตามองในฐานะ “ว่าที่เสือเศรษฐกิจตัวที่ 5 ของเอเชีย” นั้น กำลังเผชิญกับภาวะถดถอยจนกลายเป็นประเทศที่มีการเติบโตต่ำที่สุดในอาเซียน โดยมี GDP เฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีไม่เกิน 2% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าศักยภาพและทำให้ไทยกลายเป็น “คนป่วยแห่งเอเชีย” ที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ธนาคารโลกจัดให้ไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนารายได้ปานกลางระดับต่ำ (รายได้ต่อหัวเกิน 1,036 ดอลลาร์) เมื่อปี 2531 พร้อมความคาดหวังของไทยที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชียต่อจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวันและสิงคโปร์ เพื่อเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ แต่ไทยไปไม่ถึงเมื่อต้องเผชิญวิกฤติการเมืองและวิกฤติเศรษฐกิจในทศวรรษ 1990
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ที่ผ่านมามีปัจจัยหลักที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจและภาคการผลิตของไทย ซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและโครงสร้างอุตสาหกรรม เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการสินค้าของตลาดโลก
ทั้งนี้ มีหลายสาเหตุหลักที่ทำให้ไทยตกอยู่ในสถานการณ์เศรษฐกิจจากว่าที่เสือเศรษฐกิจตัวที่ 5 ของเอเชีย มาเป็นคนป่วยของเอเชียในปัจจุบัน ได้แก่
1. การปรับตัวที่ไม่ทันต่อโลก ที่ไทยไม่สามารถปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (Digital Disruption) ซึ่งกระทบอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่พึ่งพาการผลิตแบบ OEM (รับจ้างผลิต) ทำให้สินค้าหลักถูกทดแทนด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เข้ามาแทนที่รถยนต์สันดาป ทำให้ชิ้นส่วนยานยนต์หลายหมื่นชิ้นที่ไทยผลิตอยู่ต้องหายไป
2. ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ด้วยภาคแรงงานที่มีการปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไทยสูญเสียความได้เปรียบด้านต้นทุนเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งมีค่าแรงและค่าพลังงานที่ถูกกว่า
3. สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ จากการที่ไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสังคมผู้สูงอายุ ทำให้ขาดแคลนแรงงานวัยทำงาน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น และยังต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้น
4. ติดกับดักประเทศรายได้ปานกลาง จากการที่ไทยยังคงเป็นประเทศที่อยู่ในกลุ่มรายได้ปานกลางมานานกว่า 30 ปี และไม่ขยับไปไหนเลยเพราะไทยเป็นประเทศ OEM
(ลิงก์อ่านต่อ)
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1193814?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR472WNHSgXcLYuJk7KczNfeWthDqyNK2zYqkPxpMFa2-vXdTMEW5IQtAtsU8w_aem_zUQWg5j1TOENbtVWzjXhyw