น้อมจิตเข้าสู่ “อมตธาตุ” คือธาตุที่ไม่ตาย ไม่แตกสลาย

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๙  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๑
ขุททกนิกาย มหานิทเทส

อนึ่ง นรชนบังคับจิตให้กลับจากสังขารธาตุอันเป็นไปในไตรภูมิทั้งปวง น้อมจิตเข้าไปในอมตธาตุว่าธรรมชาติใด คือ ความสงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนแห่งอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความสำรอกตัณหา ความดับตัณหา ความออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด ธรรมชาตินี้สงบ ประณีต

1. “อนึ่ง นรชนบังคับจิตให้กลับจากสังขารธาตุอันเป็นไปในไตรภูมิทั้งปวง”

→ อีกประการหนึ่ง มนุษย์ (นรชน) ฝึกหรือควบคุมจิตของตน ให้ถอนออกจากสังขารธาตุทั้งหลาย ซึ่งเกิดขึ้นและเป็นไปในไตรภูมิ (กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ)


2. “น้อมจิตเข้าไปในอมตธาตุว่าธรรมชาติใด”
→ แล้วน้อมจิตเข้าสู่ “อมตธาตุ” คือธาตุที่ไม่ตาย ไม่แตกสลาย พร้อมกำหนดพิจารณาว่าเป็นธรรมชาติใด


3. “คือ ความสงบแห่งสังขารทั้งปวง”
→ หมายถึง ภาวะที่สังขารทั้งปวง (สิ่งที่ถูกปรุงแต่งทั้งหลาย) สงบระงับลง

4. “ความสละคืนแห่งอุปธิทั้งปวง”
→ คือ การสละคืน (ละวาง) อุปธิทั้งหลาย — อุปธิ หมายถึง เครื่องยึดถือหรือสิ่งรองรับทุกข์ เช่น กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และความยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้


5. “ความสิ้นตัณหา”
→ หมายถึง การสิ้นไปของตัณหา (ความอยาก ความกระหายติดข้อง)


6. “ความสำรอกตัณหา”
→ คือ การถอนออกหรือขจัดตัณหาออกไปหมดสิ้น


7. “ความดับตัณหา”
→ คือ ภาวะที่ตัณหาดับสนิท ไม่เกิดขึ้นอีก


8. “ความออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด”
→ หมายถึง การหลุดพ้นจากการถูกร้อยรัดด้วยตัณหา (ไม่ถูกตัณหาผูกพันอีกต่อไป)


9. “ธรรมชาตินี้สงบ ประณีต”
→ ธรรมชาติหรือภาวะนี้ มีความสงบเยือกเย็น และมีความประณีตสูงสุด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่