ลองนึกภาพดูสิ...
วันแรกที่เข้าทำงาน: เราตั้งใจทำดี ทำงานตรงเวลา ไม่รับสินบน ไม่เล่นพรรคเล่นพวก
เดือนที่ 3: เห็นเพื่อนร่วมงานที่มาสาย แต่เก่งเจรจา ได้เลื่อนตำแหน่งก่อน
เดือนที่ 6: โครงการที่เราทำถุกปัดตก แต่โครงการที่มี "เส้นสาย" ผ่าน
เดือนที่ 12: เริ่มคิดว่า "ทำดีไม่คุ้ม" "ทุกคนทำกัน" "ถ้าไม่ทำจะอยู่ไม่ได้"
นี่คือ Survival Adaptation ที่เริ่มทำงาน
สมองเรามีระบบเตือนภัย เมื่อมันสังเกตว่า "พฤติกรรมดี = ผลลัพธ์แย่" มันจะเริ่มปรับ "แผนที่ความอยู่รอด" ใหม่ เพื่อป้องกันเราจากความล้มเหลวซ้ำๆ
กลไกนี้เดิมทีใช้เพื่อปกป้องตัวเอง แต่ด้วยระบบข้าราชการที่ล้มเหลว มันกลับทำให้เราต้องเลือกระหว่าง "หลักการ" กับ "ความอยู่รอด"
สุดท้าย สมองจะสร้างเหตุผลใหม่ให้เราเชื่อว่า "นี่คือทางเลือกที่ถูกต้อง" เพื่อลดความรู้สึกผิดและรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองไว้
เช่น การจ่ายใต้โต๊ะเพื่อให้งานผ่าน การใช้เส้นสายแทนความสามารถ หรือการเงียบเมื่อเห็นความผิด เพราะสมองเรียนรู้ว่า "การต่อสู้ = อันตราย"
.
พฤติกรรมเช่นนี้เกิดจากระบบที่สร้างแรงจูงใจผิดๆ ในสังคมที่ให้รางวัลกับคนที่เล่นตามกฎเกมผิดๆ มากกว่าคนที่ทำถูก
และสุดท้าย... เมื่อการ "ประนีประนอม" กลายเป็นทางเลือกเดียวที่ให้อยู่รอดได้ คนดีจำนวนมากก็ต้องเลือกระหว่าง "ยึดหลักการแล้วล้มเหลว" กับ "ประนีประนอมแล้วอยู่รอด"
.
แล้วพฤติกรรมแบบนี้แฝงอยู่ในข่าวอะไรบ้าง?
ผู้บริหารบริษัทดัง — ต้องจ่ายใต้โต๊ะเพื่อให้โครงการผ่าน
คุณครูดีเด่น — เงียบไม่แจ้งเมื่อเห็นการโกงข้อสอบ เพราะกลัวถูกไล่ออก
นักการเมืองหน้าใหม่ — หันมาเล่นตามกฎเก่าเพื่อความอยู่รอด
พนักงานซื่อสัตย์ — เริ่มปิดตาปิดหูกับความผิดในองค์กร
ผู้ประกอบการรายย่อย — ยอมจ่ายสินบนเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ
.
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของคนบางคน แต่มันคือ "ผลของระบบที่บีบให้คนดีต้องเปลี่ยน"
ทุกครั้งที่เราเงียบ "มันคือการที่เรายอมรับ"
เครดิต Facebook
การแยกแยะภาระหน้าที่ (Separation of Tasks): หัวใจสำคัญของแนวคิดนี้คือการแยกแยะว่าสิ่งใดเป็น "ภาระหน้าที่ของเรา" และสิ่งใดเป็น "ภาระหน้าที่ของคนอื่น สำหรับหน่วยงานตรวจสอบฯ ภาระหน้าที่ของตนคือการตรวจสอบและรายงานข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมาตามพยานหลักฐาน ส่วนการที่ผู้ถูกตรวจสอบจะรู้สึกพอใจ ไม่พอใจ หรือเกลียดชังนั้น ถือเป็น "ภาระหน้าที่ของเขา" การตระหนักในเรื่องนี้จะช่วยให้ผู้ตรวจสอบมุ่งเน้นที่งานของตนเองได้อย่างเต็มที่ โดยไม่นำอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นมาเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติงาน
ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน: การยึดติดกับความสัมพันธ์ในอดีตหรือกังวลกับความขัดแย้งในอนาคตอาจทำให้การตัดสินใจไขว้เขว เจ้าหน้าที่ตรวจสอบต้องมีสมาธิอยู่กับภารกิจ ณ ปัจจุบัน คือการตรวจสอบตามหลักฐานที่มีอย่างเที่ยงธรรมและปราศจากอคติ โดยไม่ปล่อยให้ความกังวลว่า "ใครจะคิดอย่างไร" มาบั่นทอนความเป็นกลางในการทำงาน ภายในโครงสร้าง หน่วยงานตรวจสอบภายในอย่าง กลุ่มตรวจสอบภายใน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนและบริหารความเสี่ยง มีภารกิจสำคัญในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต รวมถึงการรายงานความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นแก่ผู้บริหารระดับสูง ภารกิจนี้เรียกร้องให้ผู้ปฏิบัติงานต้องมีความเด็ดเดี่ยวและยึดมั่นในหลักการ โดยไม่หวั่นเกรงต่อความไม่พอใจหรือความเกลียดชังจากผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากการตรวจสอบ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดทางจิตวิทยาที่กล่าวว่า "กล้าที่จะถูกเกลียด"
ถ้าไม่โกง ก็ไม่โต (จริงกี่ %) และคุณกล้าที่จะถูกเกลียด !!??
ลองนึกภาพดูสิ...
วันแรกที่เข้าทำงาน: เราตั้งใจทำดี ทำงานตรงเวลา ไม่รับสินบน ไม่เล่นพรรคเล่นพวก
เดือนที่ 3: เห็นเพื่อนร่วมงานที่มาสาย แต่เก่งเจรจา ได้เลื่อนตำแหน่งก่อน
เดือนที่ 6: โครงการที่เราทำถุกปัดตก แต่โครงการที่มี "เส้นสาย" ผ่าน
เดือนที่ 12: เริ่มคิดว่า "ทำดีไม่คุ้ม" "ทุกคนทำกัน" "ถ้าไม่ทำจะอยู่ไม่ได้"
นี่คือ Survival Adaptation ที่เริ่มทำงาน
สมองเรามีระบบเตือนภัย เมื่อมันสังเกตว่า "พฤติกรรมดี = ผลลัพธ์แย่" มันจะเริ่มปรับ "แผนที่ความอยู่รอด" ใหม่ เพื่อป้องกันเราจากความล้มเหลวซ้ำๆ
กลไกนี้เดิมทีใช้เพื่อปกป้องตัวเอง แต่ด้วยระบบข้าราชการที่ล้มเหลว มันกลับทำให้เราต้องเลือกระหว่าง "หลักการ" กับ "ความอยู่รอด"
สุดท้าย สมองจะสร้างเหตุผลใหม่ให้เราเชื่อว่า "นี่คือทางเลือกที่ถูกต้อง" เพื่อลดความรู้สึกผิดและรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองไว้
เช่น การจ่ายใต้โต๊ะเพื่อให้งานผ่าน การใช้เส้นสายแทนความสามารถ หรือการเงียบเมื่อเห็นความผิด เพราะสมองเรียนรู้ว่า "การต่อสู้ = อันตราย"
.
พฤติกรรมเช่นนี้เกิดจากระบบที่สร้างแรงจูงใจผิดๆ ในสังคมที่ให้รางวัลกับคนที่เล่นตามกฎเกมผิดๆ มากกว่าคนที่ทำถูก
และสุดท้าย... เมื่อการ "ประนีประนอม" กลายเป็นทางเลือกเดียวที่ให้อยู่รอดได้ คนดีจำนวนมากก็ต้องเลือกระหว่าง "ยึดหลักการแล้วล้มเหลว" กับ "ประนีประนอมแล้วอยู่รอด"
.
แล้วพฤติกรรมแบบนี้แฝงอยู่ในข่าวอะไรบ้าง?
ผู้บริหารบริษัทดัง — ต้องจ่ายใต้โต๊ะเพื่อให้โครงการผ่าน
คุณครูดีเด่น — เงียบไม่แจ้งเมื่อเห็นการโกงข้อสอบ เพราะกลัวถูกไล่ออก
นักการเมืองหน้าใหม่ — หันมาเล่นตามกฎเก่าเพื่อความอยู่รอด
พนักงานซื่อสัตย์ — เริ่มปิดตาปิดหูกับความผิดในองค์กร
ผู้ประกอบการรายย่อย — ยอมจ่ายสินบนเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ
.
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของคนบางคน แต่มันคือ "ผลของระบบที่บีบให้คนดีต้องเปลี่ยน"
ทุกครั้งที่เราเงียบ "มันคือการที่เรายอมรับ"
เครดิต Facebook
การแยกแยะภาระหน้าที่ (Separation of Tasks): หัวใจสำคัญของแนวคิดนี้คือการแยกแยะว่าสิ่งใดเป็น "ภาระหน้าที่ของเรา" และสิ่งใดเป็น "ภาระหน้าที่ของคนอื่น สำหรับหน่วยงานตรวจสอบฯ ภาระหน้าที่ของตนคือการตรวจสอบและรายงานข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมาตามพยานหลักฐาน ส่วนการที่ผู้ถูกตรวจสอบจะรู้สึกพอใจ ไม่พอใจ หรือเกลียดชังนั้น ถือเป็น "ภาระหน้าที่ของเขา" การตระหนักในเรื่องนี้จะช่วยให้ผู้ตรวจสอบมุ่งเน้นที่งานของตนเองได้อย่างเต็มที่ โดยไม่นำอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นมาเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติงาน
ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน: การยึดติดกับความสัมพันธ์ในอดีตหรือกังวลกับความขัดแย้งในอนาคตอาจทำให้การตัดสินใจไขว้เขว เจ้าหน้าที่ตรวจสอบต้องมีสมาธิอยู่กับภารกิจ ณ ปัจจุบัน คือการตรวจสอบตามหลักฐานที่มีอย่างเที่ยงธรรมและปราศจากอคติ โดยไม่ปล่อยให้ความกังวลว่า "ใครจะคิดอย่างไร" มาบั่นทอนความเป็นกลางในการทำงาน ภายในโครงสร้าง หน่วยงานตรวจสอบภายในอย่าง กลุ่มตรวจสอบภายใน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนและบริหารความเสี่ยง มีภารกิจสำคัญในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต รวมถึงการรายงานความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นแก่ผู้บริหารระดับสูง ภารกิจนี้เรียกร้องให้ผู้ปฏิบัติงานต้องมีความเด็ดเดี่ยวและยึดมั่นในหลักการ โดยไม่หวั่นเกรงต่อความไม่พอใจหรือความเกลียดชังจากผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากการตรวจสอบ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดทางจิตวิทยาที่กล่าวว่า "กล้าที่จะถูกเกลียด"