[#Review] F1: The Movie - หนังที่ทำให้ Adrenaline หลั่งตั้งแต่ต้นจนจบ

[img]https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t6d/1/16/1f3ce.png[/img][img]https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t6d/1/16/1f3ce.png[/img][img]https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t6d/1/16/1f3ce.png[/img]

เพิ่งมีโอกาสได้ดูหนังที่มาด้วยความนิยมของ F1 กับ ทีมสร้างสุดโหดที่ทำให้หนังเรื่องนี้กระแสดีมาก พูดถึงกีฬามอเตอร์สปอร์ตที่ทำให้หัวใจเต้นแรงที่สุดในโลก คงหนีไม่พ้น Formula 1 เสียงเครื่องยนต์คำราม ความเร็วเกิน 300 km/h และดราม่าข้างสนามที่แซ่บไม่แพ้ซีรีส์น้ำเน่า คราวนี้ความมันส์ถูกยกมาขึ้นจอใหญ่โดยโปรดิวเซอร์ตัวพ่อ Jerry Bruckheimer เจ้าพ่อหนังแอ็กชันระเบิดภูเขาเผากระท่อม แถมได้ Brad Pitt มานั่งแท่น co-producer และเล่นเอง พร้อม “โค้ชกิตติมศักดิ์” อย่างแชมป์โลกตัวจริง Lewis Hamilton ที่ช่วยดูให้ทุกฉากซิ่งสมจริงแบบนักแข่งต้องพยักหน้าให้

เรื่องเล่าเกี่ยวกับนักแข่งรุ่นเก๋าที่กำลังจะรีไทร์ (Brad Pitt) แต่ดันถูกดึงตัวกลับมาช่วยทีมเล็ก ๆ ที่กำลังจะปิดตัว เพื่อปั้นดาวรุ่งหน้าใหม่ให้ขึ้นไปชิงชัยในสนามแข่งระดับโลก จากการซ้อมข้างสนามสู่การดวลกันใน Grand Prix ที่เดิมพันไม่ใช่แค่ถ้วย แต่คือศักดิ์ศรีและอนาคตของทั้งทีม

หนังเปิดมาก็แทบไม่มีช่วงให้หายใจ เสียงเครื่องยนต์ดังสะใจ ฉากแข่งถ่ายแบบติดขอบสนามจนรู้สึกว่าลมปะทะหน้าเอง เอฟเฟกต์และภาพสโลว์โมชั่นทำให้ทุกจังหวะโอเวอร์เทคดูเท่แบบโปสเตอร์ได้เลย แถมยังรู้สึกถึงกลิ่นความเป็นหนังของ Jerry Bruckheimer ได้เป็นอย่างดี แถมยังมีฉากหลังเวทีที่โชว์ทั้งกลยุทธ์ทีม ความสัมพันธ์ของนักแข่ง และดราม่าข้างสนามที่เพิ่มรสชาติได้พอดี ความดีงามคือหนังทำให้ “คนที่ไม่เคยดู F1 มาก่อน” ก็เข้าใจและลุ้นได้ ส่วนคนที่เป็นแฟนอยู่แล้ว…เตรียมให้ Adrenaline หลั่งตั้งแต่ต้นจนจบได้เลย

จุดด้อยของหนัง เนื้อเรื่องหลักยังคงตามสูตรหนังแข่งรถ—ตัวเก๋าปั้นดาวรุ่ง เจออุปสรรค แล้วก็ปิดด้วยศึกใหญ่ในสนามสุดท้าย คนดูเดาได้ว่าผลลัพธ์จะออกมายังไง บวกกับบางฉากดราม่าอาจจะเน้นตามใจคนดูมากกว่าความสมจริงในวงการ F1 แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เสียอรรถรส

โดยรวม F1: The Movie คือหนังที่เปิดให้ความเร็ววิ่งเข้าสู่เส้นเลือด ใครชอบความมันส์ เสียงเครื่องกระหึ่ม และฉากแข่งที่ถ่ายแบบโคตรสมจริง ไม่ควรพลาด เสน่ห์ของ Brad Pitt บวกประสบการณ์ของ Lewis Hamilton และฝีมือการเล่าเรื่องแบบ Jerry Bruckheimer ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นเหมือน “สนามแข่งจำลอง” ที่คุณได้อยู่แถวหน้า โดยไม่ต้องสวมหมวกกันน็อกเองเลย