Move on อีกครั้งแล้วไปต่อกับชีวิตเถอะค่ะ

Men can be destroyed but not defeated.
                          Ernest HEMINGWAY

มนุษย์อาจถูกทำลายจนย่อยยับ แต่ไม่อาจถูกบังคับให้ปราชัย
                                                       เออเนสต์ เฮมิงเวย์


จากการตามอ่านกระทู้ในพันทิปมายาวนาน ดิฉันพบว่า หนึ่งในความทุกข์ที่ผู้คนประสบมากที่สุด คือ การ “ก้าวต่อไป” ในชีวิต หลังจากการจบสิ้นของอะไรบางอย่างที่สำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะในฐานะคนรัก เพื่อน รุ่นพี่รุ่นน้องที่เคารพ หลายคนยังตัดใจไม่ได้ ตัดไม่ขาด หรือคิดว่าตัดแล้ว แต่ความเสียใจ ผิดหวัง อาฆาตเจ็บใจ ความรู้สึกผิด  ความยึดติด  ยังคงตามมาหลอกหลอนเหมือนผีที่ไล่ไม่รู้จักไป เหมือนปลาดาวที่ยิ่งตัดยิ่งแบ่งตัว เพราะความรู้สึกหลายอย่างมันแตกกอต่อยอดออกไปอีกมาก เดี๋ยวก็รัก เดี๋ยวก็แค้น เดี๋ยวก็โทษตัวเอง เดี๋ยวก็แช่งอีกฝ่าย เดี๋ยวก็โทษสังคม สิ่งแวดล้อม โทษโน่น นั่น นี่ สลับไปมาและขังให้เราอยู่ในวังวนเขาวงกตแห่งทุกข์ที่หาทางออกไม่ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด



ออกตัวนะคะว่า ดิฉันไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเทศนาสั่งสอนใครได้  แค่อยากมาแบ่งปันว่า ทั้งหลายทั้งปวงนี่แหละที่ทำให้เห็นและซาบซึ้งถึงคำว่า อนิจจัง หรือ ความ “ไม่เที่ยง” ได้ชัดเจนที่สุด


และในฐานะที่แก่ลงเรื่อย ๆ ฟังเรื่องต่าง ๆ มาเยอะ จะขอเล่าเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาประกอบ เพื่อให้ประเด็นชัดเจนขึ้นและแบ่งปันกับเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ หลาน ๆ ว่า มีคนอื่นที่ผ่านเรื่องพวกนี้ในเฉด ในโทนที่ต่างกันออกไป แต่ฉากสุดท้ายคือ การจากลาเหมือนกันหมด  แต่จะทำอย่างไรให้การจากลานั้นไม่ทำให้เราต้องยอมแพ้กับชีวิต และทำอย่างไร เราจึงจะไม่ “จม” อยู่ในปลักโคลนแห่งความทุกข์นั้นจนถอนตัว ถอนใจไม่ขึ้น บางคนอาจถึงขั้นติดเหล้า ป่วย คิดฆ่าตัวตายหรือกินยาต้านเศร้ากันแทบไม่ทันเลยทีเดียว



ขอบอกไว้เป็น disclaimer นิดนึงว่า เนื้อหาหลักเป็นไปตามที่เล่า แต่อาจมีการเปลี่ยนรายละเอียดเล็กน้อย เช่น อาชีพ สถานที่ที่เกิด  เพื่อไม่ให้ตัวจริง (ถ้าเกิดได้มาอ่าน) รู้สึกโป๊ะหรือตะขิดตะขวงว่าเป็นเรื่องของตัวเองรึเปล่า ? เพราะนี่ไม่ได้มุ่งจะเม้าเอาเป็นเอาตายกับรายละเอียดเพื่อให้ไปตามรอยว่าเป็นใคร มุ่งจะใช้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นตัวอย่างประกอบเท่านั้น



อาการของการก้าวไปข้างหน้าต่อไปไม่ได้

1.เฝ้าวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องเก่า และเฝ้าแต่ตั้งคำถามว่า “ถ้าหาก...” ถ้าฉันไม่ทำอย่างนั้น ถ้าเธอไม่ทำอย่างนี้ ...

2.สลับขั้วไปมาระหว่างความรัก ความแค้น  ความเสียดาย และความอยากได้กลับคืน  นึกแค้นขึ้นมาก็สาปแช่ง ปรุงแต่งเรื่อยไป พอได้ที่ก็ตามไปส่อง ตามไปหลอน ตามไปด่า หรือทำอะไรไม่ได้ก็หมกมุ่นวกวน ทนไม่ไหว ลืมไม่ได้ ก็ดื่มบ้าง เที่ยวหัวราน้ำให้ลืม ๆ นึกรัก นึกเสียดายขึ้นมาก็คร่ำครวญ ทำทุกอย่างได้ตั้งแต่ตามไปง้อ เกาะขา กราบเท้า ฯลฯ

3.หน้าเขา ภาพเธอ เรื่องที่เคยทำระหว่างกันลอยมาหลอนเรื่อย ๆ ยิ่งพยายามตัด ยิ่งโผล่ และคุณจะขยาย “ความดีงาม” ของคนที่คุณเสียไปอย่างเกินจริง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ คุณต้องเยาะเย้ย สมน้ำหน้าและลงโทษตัวเองในส่วนที่คุณคิดว่าคุณทำผิดไป

4.มีฉากทัศน์ลอยอยู่ในหัวเต็มไปหมดเกี่ยวกับความเป็นไปของเขาหรือเธอที่จากกันไป พร้อมจินตนาการว่า สิ่งที่คุณเคยมีร่วมกัน ทำร่วมกัน เค้าจะทำสิ่งนั้นกับคนใหม่ไหม ? เค้าจะให้คนใหม่มากกว่าที่เคยให้คุณรึเปล่า ?

5.เฝ้าแต่ตั้งคำถามว่า ทำไม ? ทำไม ? ทำไม ? แล้วส่วนใหญ่จะนึกถึงแต่สิ่งดี ๆ ที่ตัวเองทำ และคิดว่า “ฉันทำขนาดนี้แล้ว ทำไมเรื่องนี้มันถึงยังเกิดขึ้นได้”

6.หาคนถูก คนผิด เพราะคิดว่า จะหาความสงบในใจจากข้อสรุปถูกผิดได้ วนเวียนกับการสลับไปมาระหว่างการโทษตัวเอง และโทษอีกฝ่าย แต่ส่วนใหญ่คนที่ไปต่อไม่ได้มักเป็นคนที่เอาแต่วนเวียน “โทษตัวเอง” และคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองทั้งหมด  

7.สูญเสียความนับถือตัวเองลงไปเรื่อย ๆ เอาคุณค่าชีวิตทั้งหมดของเราไปฝากกับคนที่จากไปแล้ว สิ่งที่จบไปแล้ว และคิดว่า ชีวิตปัจจุบันหมดสิ้นคุณค่าและความหมาย


ขอเล่าพอสังเขป สักสองสามตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่อง “ความสูญเสีย” และ เสียดายใจแทบขาดกับสิ่งที่หลุดมือไปนะคะ

ตอนหลังจะมาเฉลยว่า เมื่อเวลาผ่านไป  “ใจ” ที่เคยคิดว่าสลายสิ้นไปแล้ว มันกลายเป็นอย่างไร
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่