
สาธิตการฝึกฝนบลู ในโซน The Predator Pavilion : ดินแดนนักล่าดึกดำบรรพ์
วันนี้กรุงเทพฯ มีหมุดหมายทางการท่องเที่ยวระดับโลกแห่งใหม่เกิดขึ้นริมแม่น้ำเจ้าพระยา คือ “Jurassic World: The Experience” ที่นอกจากจะจำลองดินแดนไดโนเสาร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นมาแล้ว ยังเนรมิตให้ไดโนเสาร์เหล่านี้ดูเสมือน “มีชีวิต” สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้เข้าชมได้เป็นอย่างดี
“Jurassic World: The Experience” ตั้งอยู่ที่ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น โครงการนี้เกิดจากความร่วมมือกันระหว่าง “แอสเสท เวิลด์ คอร์ปอเรชั่น” หรือ AWC, NEON, และ Universal Live Events & Location Based Entertainment ที่ร่วมกันสร้างจุดหมายปลายทางใหม่ระดับโลกขึ้นริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยทางผู้จัดได้ระบุว่าโครงการนี้มีพื้นที่ 6,000 ตารางเมตร ถือเป็นธีมปาร์คไดโนเสาร์ของยูนิเวอร์แซลที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยทีเดียว

Jurassic World: The Experience วันเปิดตัว 8 ส.ค. 68
Jurassic World: The Experience เป็นธีมปาร์คที่ได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ไดโนเสาร์ชื่อดัง Jurassic World ด้วยการจำลอง
“เกาะอิสลา นูบลาร์” (Isla Nublar) ที่เดิมเป็นที่ตั้งของ
“จูราสสิก พาร์ค” ที่มีการชุบชีวิตไดโนเสาร์จากการโคลนนิ่งมาไว้เต็มเกาะ ให้ผู้สนใจได้เข้าไปสัมผัสกับบรรยากาศของดินแดนไดโนเสาร์อันน่าตื่นตาตื่นใจ พร้อมจัดเต็มเทคนิคการจัดแสดงที่หลากหลาย นำโดยอิมเมอร์ซีฟ แสง สี เสียง ฉากจำลองเสมือนจริงจากในภาพยนตร์
โดยเฉพาะการเนรมิตไดโนเสาร์หลากหลายสายพันธุ์ขนาดเท่าตัวจริง ให้ดู (เสมือน) มีชีวิต เคลื่อนไหวได้ ส่งเสียงได้ มาให้เราได้ชมกันอย่างใกล้ชิด ไดโนเสาร์บางตัวก็ช่างน่ารักชวนโอบกอด ขณะที่ไดโนเสาร์บางตัวก็ช่างน่ากลัวดุร้าย ชนิดที่แค่เห็นเงาไหว ๆ หรือได้ยินเสียงแว่วแต่ไกล ก็ต้องหลีกลี้หนีห่างโดยพลัน

โซนแรก Origins of Wonder (ต้นกำเนิดแห่งความมหัศจรรย์)
สำหรับผู้เข้าชม Jurassic World: The Experience จะได้สัมผัสกับประสบการณ์แปลกใหม่น่าตื่นตาตื่นใจหลากหลาย เริ่มจาก โซนแรก
“Origins of Wonder : ต้นกำเนิดแห่งความมหัศจรรย์" ที่มีการจัดแสดงก้อนอำพันท่ามกลางวิดีโอเรื่องราวไดโนเสาร์ที่มีอยู่เกือบรอบทิศทาง พร้อมกับจุดถ่ายรูปเป็นที่ระลึกให้ไปรับกันภายหลัง
จากนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของความระทึกกับบรรยากาศ (จำลอง) การนั่งเรือสู่เกาะอิสลา นูบลาร์ ท่ามกลางสายฝนและกลิ่นอายทะเล พร้อมมีวาฬยักษ์กระโจนขึ้นมามาทักทายอยู่ข้าง ๆ ก่อนที่เรือจะนำส่งมาถึงเกาะอิสลา นูบลาร์ ในโซน
"Arrival at Isla Nublar : เดินทางสู่เกาะ อิสลา นูบลาร์" อย่างปลอดภัยให้เราได้ไปผจญภัยกันในลำดับต่อไป

แบรคิโอซอรัส ยักษ์ใหญ่ใจดีแห่งโซน A Close Encounter with Giants (เผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่แห่งโลกล้านปี)
พลันที่เดินออกจากเรือ เราจะได้พบกับบรรยากาศของป่าดึกดำบรรพ์ในโซน
“A Close Encounter with Giants : เผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่แห่งโลกล้านปี" ที่สร้างความว้าวด้วยเจ้า
“แบรคิโอซอรัส” (Brachiosaurus) ไดโนเสาร์กินพืชยักษ์ใหญ่ใจดี ที่มีทั้งตัวใหญ่น้อยชูคอยาวสลอน ซึ่งเราสามารถขึ้นไปบนระเบียงชั้น 2 เพื่อถ่ายรูปคู่กับเจ้า แบรคิโอซอรัสตัวใหญ่ได้อย่างใกล้ชิด รวมถึงชมเจ้าหน้าที่ให้อาหาร (ใบไม้) แก่เจ้ายักษ์ใหญ่คอยาวตัวนี้ได้

แองคิโลซอรัส
เมื่อเดินต่อไปจะเป็นโซน
“The Petting Zoo : สัมผัสไดโนเสาร์รุ่นเยาว์” จุดนี้เราจะได้พบกับ
“แองคิโลซอรัส” (Ankylosaurus) ไดโนเสาร์หุ้มเกราะหลังหนาม ซึ่งเป็นไดโนเสาร์กินพืชมายืนส่ายหัว ส่ายหาง พร้อมส่งเสียงทักทายนักท่องเที่ยวอย่างน่ารัก
ในโซนนี้ยังมีน้อง
“พาราซอโรโลฟัส" (Parasaurolophus) หรือ
“น้องพารา” ตัวน้อย มีเจ้าหน้าที่ยืนอุ้มกระเตง แสดงความผูกพันระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตยุคโบราณได้อย่างน่าประทับใจ

แรปเตอร์ ถูกจับใส่ที่ครอบปาก
จากโซนไดโนเสาร์กินพืชสุดน่ารัก จุดถัดไปเป็นเขตอันตรายในโซน
“The Predator Pavilion : ดินแดนนักล่าดึกดำบรรพ์" ที่จัดแสดงบรรดา
“แรปเตอร์” (Raptor) ที่ดูเหมือนมีชีวิตมาก ทั้งรายละเอียดลวดลาย และดวงตาที่กระพริบได้ โดยไดโนเสาร์นักล่าถูกจับใส่ที่ครอบปากในนี้ พวกมันต่างมีหน้าตาดุดัน ส่งเสียงคำราม ทั้งยังสะบัดและกระแทกที่ครอบปากอย่างไม่สบอารมณ์ ชนิดที่ถ้าหลุดมาเมื่อไหร่คนในห้องนี้เสร็จแน่
นอกจากนี้ในโซนแรปเตอร์นักล่ายังมีไฮไลต์ห้ามพลาดคือ การโชว์ตัวของ
“บลู” เวโลซิแรปเตอร์ที่ปรากฏครั้งแรกใน Jurassic World 2015 ถือเป็นแรปเตอร์ดาวดังตัวพิเศษที่
“โอเวน เกรดี้” (พระเอกคนหนึ่งของจักรวาลหนัง Jurassic แสดงโดย คริส แพร็ตต์) สามารถฝึกฝนได้จนเชื่อฟัง

อินโดไมนัส เร็กซ์ (ตัวหน้า)
งานนี้เจ้าหน้าที่ของที่นี่จะสาธิตการฝึกบลู พร้อมเชิญชวนอาสาสมัครนักท่องเที่ยวไปร่วมใช้คำสั่งฝึกบลูด้วยกันอย่างสนุกสนาน
อีกจุดถัดไปเป็นโซน
“The Observation Deck : หอสังเกตการณ์" นำเสนอความน่าเกรงขามของ
“อินโดไมนัส เร็กซ์” (Indominus Rex) ไดโนเสาร์ตัดต่อพันธุกรรม ที่ช่วงแรกโผล่ออกมาให้เห็นแบบแว็บ ๆ ให้ลุ้นระทึกก่อนที่จะโผล่มาแบบจัดเต็มกับเสียงคำรามลั่น พร้อม ๆ กับการโจมตีหอสังเกตการณ์ แล้วต่อด้วยการปรากฏตัวของ “คาร์โนทอรัส” (Carnotaurus) ที่โผล่มาเพื่อปะทะกับเจ้าอินโดไมนัส เร็กซ์ โดยเฉพาะ

ไดโลโฟซอรัส
ทั้งคู่ฟัดกันจนโครงสร้างอาคารพังทลาย ปิดจบความตื่นเต้นของโซนนี้ ที่เจ้าหน้าที่ได้ (สร้างสถานการณ์) พาผู้ชมหนีออกสู่โซนถัดไป คือ
“A Fight for Survival : ผจญภัยเพื่อเอาชีวิตรอด" ในโกดังสูงใหญ่ที่มีซากของรถจิ๊ปเก่าตั้งแต่ยุคจูราสสิก พาร์ค จอดทิ้งอยู่
ก่อนที่จะถูก เจ้าคาร์โนทอรัสที่หายออกไปจากกรงกักกันมุ่งหน้าเข้ามาโจมตี ทำให้เจ้าหน้าที่ (ต้องสร้างสถานการณ์อีกครั้ง) ด้วยการพานักท่องเที่ยวหนีออกจากโกดังไปยังโซน
“Lost in the Jungle : หลงในป่าดงดิบ" เพื่อพักเบรกอารมณ์ ในพื้นที่ป่าดิบชื้นที่ระหว่างทางเต็มมี
“ไดโลโฟซอรัส” (Dilophosaurus) ไดโนเสาร์ที่มีแผงคอและพ่นพิษได้กลุ่มหนึ่ง มาชูคอและส่งเสียงร้องขู่อยู่ไม่ห่าง

น้องพาราซอโรโลฟัสนอนหลับปุ๋ย
จากนั้นเป็นโซน
“Caged up : กรงปริศนา" กับเส้นทางเดินภายในอุโมงค์ มองเห็น “
เทอราโนดอน” (Pteranodon) 2 ตัว ตัวแรกทิ่มปากทะลุกรงเหล็กจนเป็นรูโหว่แล้ว ส่วนอีกตัวสยายปีกอ้าปากกว้างอยู่เบื้องบน
ต่อมาเป็นโซน
“The Final Escape : การหลบหนีครั้งสุดท้าย" จำลองห้องวิจัยมาให้ชมกัน พร้อมกับอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงไข่ไดโนเสาร์ที่ยังเต้นตุบ ๆ อยู่ข้าง ๆ กับ ตู้นอนของน้องพาราซอโรโลฟัส ตัวน้อยแรกเกิดที่นอนหลับปุ๋ยตาพริ้มดูน่ารักมาก ๆ

ทีเร็กซ์มาสร้างความน่ากลัวปิดท้าย
เมื่อออกจากห้องวิจัยก็พบกับบรรยากาศของป่าอีกครั้ง ที่มาพร้อมกับเสียงคำรามของ
“ทีเร็กซ์” (ไทแรนโนซอรัส) ไดโนเสาร์กินเนื้อจอมโหดของจักรวาลหนังไดโนเสาร์หลาย ๆ ภาค ซึ่งมันค่อย ๆ เดินย่างสามขุมเข้ามาแบบไม่เกรงกลัวผู้ใด ถือเป็นไฮไลต์ส่งท้ายที่ลุ้นระทุกสุด ๆ
ก่อนจะปิดท้ายด้วยการหลบหนีออกจากบริเวณนี้ไปสู่โซนสุดท้ายให้ละลายทรัพย์กับสินค้าที่ระลึกต่าง ๆ ในโซน
“Jurassic World: The Experience – Retail Store” ที่ถือเป็นการปิดจบประสบการณ์ท่องเที่ยวธีมปาร์คไดโนเสาร์ของยูนิเวอร์แซลที่ใหญ่ที่สุดในโลก

โซน Lost in the Jungle : หลงในป่าดงดิบ
งานนี้ใครที่ชื่นชอบไดโนเสาร์ เป็นแฟนหนังจักรวาล Jurassic หรืออยากสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แปลกใหม่ในบ้านเรา “Jurassic World: The Experience” นับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกชั้นดีที่รอคอยให้ผู้สนใจได้ไปสัมผัสกัน
.
.
.
ที่มา :
https://mgronline.com/travel/detail/9680000075770
“Jurassic World: The Experience” ท่องแดนไดโนเสาร์ (เหมือน) มีชีวิตใหญ่ที่สุดในโลก ที่ “เอเชียทีค”
สาธิตการฝึกฝนบลู ในโซน The Predator Pavilion : ดินแดนนักล่าดึกดำบรรพ์
วันนี้กรุงเทพฯ มีหมุดหมายทางการท่องเที่ยวระดับโลกแห่งใหม่เกิดขึ้นริมแม่น้ำเจ้าพระยา คือ “Jurassic World: The Experience” ที่นอกจากจะจำลองดินแดนไดโนเสาร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นมาแล้ว ยังเนรมิตให้ไดโนเสาร์เหล่านี้ดูเสมือน “มีชีวิต” สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้เข้าชมได้เป็นอย่างดี
“Jurassic World: The Experience” ตั้งอยู่ที่ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น โครงการนี้เกิดจากความร่วมมือกันระหว่าง “แอสเสท เวิลด์ คอร์ปอเรชั่น” หรือ AWC, NEON, และ Universal Live Events & Location Based Entertainment ที่ร่วมกันสร้างจุดหมายปลายทางใหม่ระดับโลกขึ้นริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยทางผู้จัดได้ระบุว่าโครงการนี้มีพื้นที่ 6,000 ตารางเมตร ถือเป็นธีมปาร์คไดโนเสาร์ของยูนิเวอร์แซลที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยทีเดียว
Jurassic World: The Experience วันเปิดตัว 8 ส.ค. 68
Jurassic World: The Experience เป็นธีมปาร์คที่ได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ไดโนเสาร์ชื่อดัง Jurassic World ด้วยการจำลอง “เกาะอิสลา นูบลาร์” (Isla Nublar) ที่เดิมเป็นที่ตั้งของ “จูราสสิก พาร์ค” ที่มีการชุบชีวิตไดโนเสาร์จากการโคลนนิ่งมาไว้เต็มเกาะ ให้ผู้สนใจได้เข้าไปสัมผัสกับบรรยากาศของดินแดนไดโนเสาร์อันน่าตื่นตาตื่นใจ พร้อมจัดเต็มเทคนิคการจัดแสดงที่หลากหลาย นำโดยอิมเมอร์ซีฟ แสง สี เสียง ฉากจำลองเสมือนจริงจากในภาพยนตร์
โดยเฉพาะการเนรมิตไดโนเสาร์หลากหลายสายพันธุ์ขนาดเท่าตัวจริง ให้ดู (เสมือน) มีชีวิต เคลื่อนไหวได้ ส่งเสียงได้ มาให้เราได้ชมกันอย่างใกล้ชิด ไดโนเสาร์บางตัวก็ช่างน่ารักชวนโอบกอด ขณะที่ไดโนเสาร์บางตัวก็ช่างน่ากลัวดุร้าย ชนิดที่แค่เห็นเงาไหว ๆ หรือได้ยินเสียงแว่วแต่ไกล ก็ต้องหลีกลี้หนีห่างโดยพลัน
โซนแรก Origins of Wonder (ต้นกำเนิดแห่งความมหัศจรรย์)
สำหรับผู้เข้าชม Jurassic World: The Experience จะได้สัมผัสกับประสบการณ์แปลกใหม่น่าตื่นตาตื่นใจหลากหลาย เริ่มจาก โซนแรก “Origins of Wonder : ต้นกำเนิดแห่งความมหัศจรรย์" ที่มีการจัดแสดงก้อนอำพันท่ามกลางวิดีโอเรื่องราวไดโนเสาร์ที่มีอยู่เกือบรอบทิศทาง พร้อมกับจุดถ่ายรูปเป็นที่ระลึกให้ไปรับกันภายหลัง
จากนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของความระทึกกับบรรยากาศ (จำลอง) การนั่งเรือสู่เกาะอิสลา นูบลาร์ ท่ามกลางสายฝนและกลิ่นอายทะเล พร้อมมีวาฬยักษ์กระโจนขึ้นมามาทักทายอยู่ข้าง ๆ ก่อนที่เรือจะนำส่งมาถึงเกาะอิสลา นูบลาร์ ในโซน "Arrival at Isla Nublar : เดินทางสู่เกาะ อิสลา นูบลาร์" อย่างปลอดภัยให้เราได้ไปผจญภัยกันในลำดับต่อไป
แบรคิโอซอรัส ยักษ์ใหญ่ใจดีแห่งโซน A Close Encounter with Giants (เผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่แห่งโลกล้านปี)
พลันที่เดินออกจากเรือ เราจะได้พบกับบรรยากาศของป่าดึกดำบรรพ์ในโซน “A Close Encounter with Giants : เผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่แห่งโลกล้านปี" ที่สร้างความว้าวด้วยเจ้า “แบรคิโอซอรัส” (Brachiosaurus) ไดโนเสาร์กินพืชยักษ์ใหญ่ใจดี ที่มีทั้งตัวใหญ่น้อยชูคอยาวสลอน ซึ่งเราสามารถขึ้นไปบนระเบียงชั้น 2 เพื่อถ่ายรูปคู่กับเจ้า แบรคิโอซอรัสตัวใหญ่ได้อย่างใกล้ชิด รวมถึงชมเจ้าหน้าที่ให้อาหาร (ใบไม้) แก่เจ้ายักษ์ใหญ่คอยาวตัวนี้ได้
แองคิโลซอรัส
เมื่อเดินต่อไปจะเป็นโซน “The Petting Zoo : สัมผัสไดโนเสาร์รุ่นเยาว์” จุดนี้เราจะได้พบกับ “แองคิโลซอรัส” (Ankylosaurus) ไดโนเสาร์หุ้มเกราะหลังหนาม ซึ่งเป็นไดโนเสาร์กินพืชมายืนส่ายหัว ส่ายหาง พร้อมส่งเสียงทักทายนักท่องเที่ยวอย่างน่ารัก
ในโซนนี้ยังมีน้อง “พาราซอโรโลฟัส" (Parasaurolophus) หรือ “น้องพารา” ตัวน้อย มีเจ้าหน้าที่ยืนอุ้มกระเตง แสดงความผูกพันระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตยุคโบราณได้อย่างน่าประทับใจ
แรปเตอร์ ถูกจับใส่ที่ครอบปาก
จากโซนไดโนเสาร์กินพืชสุดน่ารัก จุดถัดไปเป็นเขตอันตรายในโซน “The Predator Pavilion : ดินแดนนักล่าดึกดำบรรพ์" ที่จัดแสดงบรรดา “แรปเตอร์” (Raptor) ที่ดูเหมือนมีชีวิตมาก ทั้งรายละเอียดลวดลาย และดวงตาที่กระพริบได้ โดยไดโนเสาร์นักล่าถูกจับใส่ที่ครอบปากในนี้ พวกมันต่างมีหน้าตาดุดัน ส่งเสียงคำราม ทั้งยังสะบัดและกระแทกที่ครอบปากอย่างไม่สบอารมณ์ ชนิดที่ถ้าหลุดมาเมื่อไหร่คนในห้องนี้เสร็จแน่
นอกจากนี้ในโซนแรปเตอร์นักล่ายังมีไฮไลต์ห้ามพลาดคือ การโชว์ตัวของ “บลู” เวโลซิแรปเตอร์ที่ปรากฏครั้งแรกใน Jurassic World 2015 ถือเป็นแรปเตอร์ดาวดังตัวพิเศษที่ “โอเวน เกรดี้” (พระเอกคนหนึ่งของจักรวาลหนัง Jurassic แสดงโดย คริส แพร็ตต์) สามารถฝึกฝนได้จนเชื่อฟัง
อินโดไมนัส เร็กซ์ (ตัวหน้า)
งานนี้เจ้าหน้าที่ของที่นี่จะสาธิตการฝึกบลู พร้อมเชิญชวนอาสาสมัครนักท่องเที่ยวไปร่วมใช้คำสั่งฝึกบลูด้วยกันอย่างสนุกสนาน
อีกจุดถัดไปเป็นโซน “The Observation Deck : หอสังเกตการณ์" นำเสนอความน่าเกรงขามของ “อินโดไมนัส เร็กซ์” (Indominus Rex) ไดโนเสาร์ตัดต่อพันธุกรรม ที่ช่วงแรกโผล่ออกมาให้เห็นแบบแว็บ ๆ ให้ลุ้นระทึกก่อนที่จะโผล่มาแบบจัดเต็มกับเสียงคำรามลั่น พร้อม ๆ กับการโจมตีหอสังเกตการณ์ แล้วต่อด้วยการปรากฏตัวของ “คาร์โนทอรัส” (Carnotaurus) ที่โผล่มาเพื่อปะทะกับเจ้าอินโดไมนัส เร็กซ์ โดยเฉพาะ
ไดโลโฟซอรัส
ทั้งคู่ฟัดกันจนโครงสร้างอาคารพังทลาย ปิดจบความตื่นเต้นของโซนนี้ ที่เจ้าหน้าที่ได้ (สร้างสถานการณ์) พาผู้ชมหนีออกสู่โซนถัดไป คือ “A Fight for Survival : ผจญภัยเพื่อเอาชีวิตรอด" ในโกดังสูงใหญ่ที่มีซากของรถจิ๊ปเก่าตั้งแต่ยุคจูราสสิก พาร์ค จอดทิ้งอยู่
ก่อนที่จะถูก เจ้าคาร์โนทอรัสที่หายออกไปจากกรงกักกันมุ่งหน้าเข้ามาโจมตี ทำให้เจ้าหน้าที่ (ต้องสร้างสถานการณ์อีกครั้ง) ด้วยการพานักท่องเที่ยวหนีออกจากโกดังไปยังโซน “Lost in the Jungle : หลงในป่าดงดิบ" เพื่อพักเบรกอารมณ์ ในพื้นที่ป่าดิบชื้นที่ระหว่างทางเต็มมี “ไดโลโฟซอรัส” (Dilophosaurus) ไดโนเสาร์ที่มีแผงคอและพ่นพิษได้กลุ่มหนึ่ง มาชูคอและส่งเสียงร้องขู่อยู่ไม่ห่าง
น้องพาราซอโรโลฟัสนอนหลับปุ๋ย
จากนั้นเป็นโซน “Caged up : กรงปริศนา" กับเส้นทางเดินภายในอุโมงค์ มองเห็น “เทอราโนดอน” (Pteranodon) 2 ตัว ตัวแรกทิ่มปากทะลุกรงเหล็กจนเป็นรูโหว่แล้ว ส่วนอีกตัวสยายปีกอ้าปากกว้างอยู่เบื้องบน
ต่อมาเป็นโซน “The Final Escape : การหลบหนีครั้งสุดท้าย" จำลองห้องวิจัยมาให้ชมกัน พร้อมกับอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงไข่ไดโนเสาร์ที่ยังเต้นตุบ ๆ อยู่ข้าง ๆ กับ ตู้นอนของน้องพาราซอโรโลฟัส ตัวน้อยแรกเกิดที่นอนหลับปุ๋ยตาพริ้มดูน่ารักมาก ๆ
ทีเร็กซ์มาสร้างความน่ากลัวปิดท้าย
เมื่อออกจากห้องวิจัยก็พบกับบรรยากาศของป่าอีกครั้ง ที่มาพร้อมกับเสียงคำรามของ “ทีเร็กซ์” (ไทแรนโนซอรัส) ไดโนเสาร์กินเนื้อจอมโหดของจักรวาลหนังไดโนเสาร์หลาย ๆ ภาค ซึ่งมันค่อย ๆ เดินย่างสามขุมเข้ามาแบบไม่เกรงกลัวผู้ใด ถือเป็นไฮไลต์ส่งท้ายที่ลุ้นระทุกสุด ๆ
ก่อนจะปิดท้ายด้วยการหลบหนีออกจากบริเวณนี้ไปสู่โซนสุดท้ายให้ละลายทรัพย์กับสินค้าที่ระลึกต่าง ๆ ในโซน “Jurassic World: The Experience – Retail Store” ที่ถือเป็นการปิดจบประสบการณ์ท่องเที่ยวธีมปาร์คไดโนเสาร์ของยูนิเวอร์แซลที่ใหญ่ที่สุดในโลก
โซน Lost in the Jungle : หลงในป่าดงดิบ
งานนี้ใครที่ชื่นชอบไดโนเสาร์ เป็นแฟนหนังจักรวาล Jurassic หรืออยากสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แปลกใหม่ในบ้านเรา “Jurassic World: The Experience” นับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกชั้นดีที่รอคอยให้ผู้สนใจได้ไปสัมผัสกัน
.
.
.
ที่มา : https://mgronline.com/travel/detail/9680000075770