มองโกลใช้คนตายเป็น “อาวุธชีวภาพ” กลายเป็นจุดเริ่มต้น "โรคห่า" ระบาดทั่วทวีปยุโรป


((( มองโกลใช้คนตายเป็น “อาวุธชีวภาพ” กลายเป็นจุดเริ่มต้น "โรคห่า" ระบาดทั่วทวีปยุโรป )))
ดินแดนแห่งทุ่งหญ้าสเตปป์คือบ้านเกิดของหนึ่งในจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์มนุษยชาตินั่นคือ “จักรวรรดิมองโกล” ชนเผ่าเร่ร่อนที่ครั้งหนึ่งเคยใช้ชีวิตอย่างอิสระกลางทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ กลับกลายเป็นกองทัพที่แทบไร้เทียมทานแห่งยุคโบราณ
.
มองโกลไม่ได้ครองแทบทั้งทวีปด้วยเพียงกำลังรบ พวกเขายังเชี่ยวชาญในสงครามจิตวิทยาและกลวิธีที่ไร้ความปรานี หนึ่งในกลยุทธ์ที่ทั้งน่าสะพรึงและยากจะจินตนาการ คือการใช้ “ศพผู้ติดโรค” เป็นอาวุธ โดยการโยนเข้าไปในเมืองของศัตรูที่ถูกปิดล้อม เพื่อให้โรคร้ายกระจายไปทั่ว จนขวัญเสียและสิ้นท่าด้วยโรคระบาด
.
และผลลัพธ์จากยุทธวิธีนี้อาจไม่ได้จบแค่สนามรบ แต่ยังมีนักประวัติศาสตร์จำนวนไม่น้อยเชื่อว่า นี่คือหนึ่งในจุดเริ่มต้นของการแพร่ระบาดของ “กาฬโรค หรือที่คนไทยสมัยก่อนเรียกว่า โรคห่า” สู่เมืองต่างๆ ในทวีปยุโรป ที่ได้คร่าชีวิตผู้คนหลายสิบล้านคนในเวลาเพียงไม่กี่ปี
.
บทความนี้จะพาท่านไปรู้จักเรื่องราวของ “อาวุธชีวภาพในยุคกลาง” ของกองทัพมองโกล ที่พวกเขาได้เปลี่ยน “ศพ” ให้กลายเป็นอาวุธชีวภาพแห่งยุคโบราณ
.
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการศึก...แต่มันอาจเป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์โลกเลยก็ว่าได้
_____________________________________
[img]https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t8/1/16/2694.png[/img] มองโกล: จักรวรรดิแห่งสงคราม
[img]https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t8/1/16/2694.png[/img] ความเข้าใจเรื่อง “โรค” ในศตวรรษที่ 14
[img]https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t8/1/16/2694.png[/img] หายนะของเมืองกาฟฟา
[img]https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t8/1/16/2694.png[/img] อาจเป็นจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์
_____________________________________
[img]https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t8/1/16/2694.png[/img] มองโกล: จักรวรรดิแห่งสงคราม
1. มองโกล พวกเขาเป็นชนเผ่าเร่ร่อนที่ใช้ชีวิตบนทุ่งหญ้าสเตปป์ของเอเชียกลางมานานหลายศตวรรษ วิถีชีวิตของพวกเขาต้องขี่ม้า ล่าสัตว์ เลี้ยงปศุสัตว์ และอพยพไปตามฤดูกาล ชีวิตแบบนี้ทำให้พวกมองโกลชินกับสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย ทำให้พวกเขาอดทนต่อความหนาว ความหิว และการเดินทางไกลเป็นพัน ๆ กิโลเมตรได้อย่างไม่ยากลำบาก
2.กองทัพมองโกลไม่ต้องพึ่งอาวุธล้ำสมัย แต่กลับสร้างฝันร้ายให้กับอารยธรรมต่าง ๆ ได้ ด้วยความเป็นระเบียบของกองทัพ ความกล้าหาญแบบไม่กลัวตาย การวางแผนที่แม่นยำ และความเข้าใจกลยุทธ์ศัตรูชนิดรู้ใส่รู้พุง พวกเขารู้จักใช้ทั้งภูมิประเทศ ความเร็ว และจิตวิทยาเป็นอาวุธ จนแทบไม่มีอาณาจักรใดต้านทานกองทัพมองโกลได้
3. มองโกลให้ความสำคัญกับการฝึกทหารตั้งแต่ยังเยาว์วัย เด็กชายจะเริ่มฝึกการขี่ม้า ยิงธนู และเรียนรู้การเอาตัวรอดในธรรมชาติอย่างจริงจัง ทักษะเหล่านี้หล่อหลอมให้พวกเขาเติบโตขึ้นเป็นนักรบที่ทรหด อดทน คล่องแคล่ว และพร้อมรบในทุกสภาพแวดล้อม
4. ในช่วงเริ่มต้นของการรวมเผ่าต่างๆ ภายใต้การนำของเตมูจิน (ซึ่งต่อมาจะเป็นที่รู้จักในนามเจงกิสข่าน) ชาวมองโกลได้พัฒนาโครงสร้างกองทัพอย่างมีระบบ โดยแบ่งหน่วยทหารเป็นหน่วยต่างๆแบบ 10–100–1,000–10,000 คน เพื่อให้ง่านต่อการควบคุม สั่งการ และเพื่อให้จัดระเบียบกองทัพได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบกองทัพ ตามสถานการณ์ในสนามรบได้อย่างยืดหยุ่นและคล่องตัวที่สุด
5. หนึ่งในเทคนิคที่โดดเด่นมากของมองโกลคือ “การถอยลวง” คือการแสร้งทำเป็นถอยอย่างตื่นตระหนกเพื่อหลอกล่อให้ศัตรูไล่ตาม จากนั้นเมื่อศัตรูเริ่มแตกกระบวนทัพ กองทัพมองโกลจะหันกลับมาล้อมทัพศัตรูและจู่โจมอย่างรวดเร็ว กลยุทธ์นี้ใช้ได้ผลอย่างมากกับกองทัพที่ตั้งแนวป้องกันเป็นแถวหน้ากระดาน เพราะเมื่อเสียกระบวนทัพก็จะแตกพ่ายได้อย่างง่ายดาย
6. มองโกลยังเก่งเรื่องการใช้ “ความกลัว” เป็นอาวุธ พวกเขาโจมตีเมืองหนึ่งอย่างโหดเหี้ยม ตัดหัวชาวบ้าน เผาเมือง จากนั้นก็ปล่อยข่าวให้เมืองอื่น ๆ หวาดกลัว จนบางเมืองยอมแพ้โดยไม่ต้องสู้รบกันให้เสียเลือดเนื้อ
7. พวกเขาเรียนรู้เทคนิคจากศัตรูด้วย เช่น เมื่อบุกจีน ก็เอาวิชาการปิดล้อม ปืนใหญ่ และวิศวกรรมจากจีนมาใช้กับอาหรับหรือยุโรปต่อ มีการสร้างเครื่องยิงหิน เครื่องทุบกำแพง และใช้แผนที่ในการวางกำลังอย่างมีแบบแผน ไม่ใช่การบุกแบบสุ่มสี่สุ่มห้า
8. ทั้งหมดนี้ทำให้กองทัพมองโกลไม่ได้ดูน่ากลัวแค่เพราะจำนวนคนหรือความโหดเหี้ยม แต่เพราะพวกเขา “ชาญฉลาด” และ “เรียนรู้เร็ว” เป็นกองทัพที่มีวิวัฒนาการทางการทหารอันรวดเร็วอย่างน่าตกใจ โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษ ดังนั้นจึงน่าไม่แปลกใจเลยหากพวกมองโกลจะมีกลยุทธ์ที่เกินกว่าจินตนการอยู่เสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งศพของผู้เสียชีวิตที่ติดโรค เพื่อหวังให้เกิดโรคระบาดโดยเฉพาะ...
_____________________________________
[img]https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t8/1/16/2694.png[/img] ความเข้าใจเรื่อง “โรค” ในศตวรรษที่ 14
9. ในยุคกลาง มนุษย์ยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับแบคทีเรียหรือไวรัสแบบที่เรารู้จักในยุคปัจจุบัน ไม่มีกล้องจุลทรรศน์ ไม่มีวิทยาศาสตร์ หรือการแพทย์ที่สมัยใหม่ แต่ผู้คนสมัยนั้นเริ่มสังเกตเห็นรูปแบบของการแพร่กระจายของโรคได้ เช่น หากมีผู้ป่วยอยู่ในหมู่บ้าน ไม่นานก็มักจะมีคนใกล้ชิดป่วยตามไปด้วย หรือถ้ามีศพเน่าอยู่ในเมือง ก็มักจะเกิดโรคระบาดตามมาในเมืองในเวลาไม่นาน
10. ความเข้าใจในโรคของคนสมัยนั้นจึงเชื่อมโยงกับสิ่งที่จับต้องได้ เช่น กลิ่นเหม็น ความสกปรก และ “อากาศเสีย” ซึ่งกลายเป็นแนวคิดที่เรียกว่า “ทฤษฎีอากาศเน่า” (miasma theory) โดยเชื่อว่าโรคระบาดเกิดจากการสูดเอาอากาศเน่าเสียเข้าไปในร่างกาย ดังนั้นกลิ่นจากศพ ซากสัตว์ หรือแม้แต่กลิ่นเน่าเหม็น เหล่านี้ถูกมองว่าเป็นต้นตอของโรคร้ายต่างๆที่เกิดขึ้น
11. แม้จะยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ แต่วิธีคิดแบบนี้ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มนุษย์เริ่มระมัดระวังตัว เริ่มมีการกักตัวผู้ป่วย หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีคนตาย และพยายามป้องกันตัวจากสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็น “ต้นตอของโรค”
_____________________________________
[img]https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t8/1/16/2694.png[/img] หายนะของเมืองกาฟฟา
12. การโยนศพผู้เสียชีวิตไม่ใช่เรื่องใหม่ในหน้าประวัติศาสตร์ ทว่า เหตุการณ์ที่เมืองกาฟฟา ในปี 1346 เป็นหนึ่งใน กรณีแรกที่มีบันทึกชัดเจนว่า “ศพที่ติดโรค” ถูกใช้เป็นกลยุทธ์เพื่อแพร่โรคโดยเจตนา และถือเป็นต้นแบบของ “อาวุธชีวภาพ” ในยุคกลางที่ถูกพูดถึงอย่างแพร่หลายในหมู่นักประวัติศาสตร์
13. ในช่วงกลางศตวรรษที่ 14 โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งด้านการค้า การแพร่ศาสนาเมือง กาฟฟา หรือ ธีโอโดเซียในปัจจุบัน ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลดำในแหลมไครเมีย มีสถานะเป็นเมืองท่าค้าขายที่สำคัญของพ่อค้าชาวเจนัวจากอิตาลี เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการค้าที่เชื่อมตะวันออกและตะวันตก
14. ในตอนนั้น ดินแดนแถบนี้อยู่ภายใต้อำนาจของอาณาจักรโกลเดนฮอร์ด (Golden Horde) ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ส่วนของจักรวรรดิมองโกลที่แยกอำนาจการปกครองหลังการสิ้นพระชนม์ของ เจงกิสข่าน โดยมีข่านนามว่า จานี เบก (Jani Beg) เป็นผู้นำของอาณาจักร
15. บริบทในขณะนั้นอาณาจักรโกลเดนฮอร์ด ได้เปลี่ยนศาสนาประจำอาณาจักรเป็นศาสนาอิสลาม ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 14 ดังนั้นความขัดแย้งครั้งนี้มีเรื่องความแตกต่างของศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
16. ความขัดแย้งเกิดขึ้นเมื่อชาวเจนัวและพ่อค้าชาวยุโรป (ชาวเจนัวเป็นคริสต์) บางส่วนทะเลาะกับชาวมุสลิมในบริเวณใกล้เคียง มีเหตุปะทะถึงขั้นนองเลือดและเสียชีวิตกันทั้งสองฝ่าย ทำให้ข่านจานีเบกมองว่าชาวคริสต์จากฝั่งยุโรปเป็นภัยกับอาณาจักร เขาจึงรวบรวมกองทัพเข้าปิดล้อมเมืองกาฟฟา โดยหวังจะยึดเมืองคืนจากการควบคุมของชาวเจนัว
17. กองทัพมองโกล เข้าปิดล้อมอย่างยืดเยื้ออยู่กว่า 9 เดือนแต่เมืองแห่งนี้ยังคงแข็งแกร่งและทนทานต่อการปิดล้อมต่อไปได้ แต่กลับกลายเป็นพวกมองโกลเองที่เริ่มเกิดปัญหาขึ้น เมื่อมีโรคประหลาดเริ่มแพร่ระบาดในหมู่ทหารอย่างรวดเร็ว
18. อาการของโรคคือมีไข้สูง หนาวสั่น ต่อมน้ำเหลืองบวมโตจนปูดออกมา บางรายมีเลือดออกตามผิวหนัง หายใจลำบาก และเสียชีวิตภายในเวลาไม่กี่วัน
19. นักประวัติศาสตร์และแพทย์ในยุคหลังเชื่อว่าโรคนี้คือ กาฬโรค (คนไทยเรียกว่า “โรคห่า”) ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียและแพร่ผ่านหมัดที่ติดเชื้อจากหนู แต่ ณ ช่วงเวลานั้นมนุษย์ยังไม่รู้จักคำว่า “แบคทีเรีย” หรือพาหะอะไรทั้งนั้น สิ่งที่ทหารมองโกลรู้ก็คือ “มีคนล้มตายกองเป็นเบือ อย่างไม่มีสิ้นสุด”
20. เมื่อกองทัพเริ่มเสียกำลังคนมากขึ้นทุกวัน ทหารเสียชีวิตทีละร้อยทีละพันคน ข่านจานีเบกต้องตัดสินใจว่าจะยอมถอยหรือไม่ แต่แทนที่จะยอมถอยทัพ เขาเลือก “ใช้ศพของทหารตัวเองเป็นอาวุธ”
21. พวกมองโกลใช้ศพของเพื่อนทหารที่ตายจากโรคระบาด ซึ่งมีสภาพเน่าเปื่อยและเต็มไปด้วยตุ่มหนอง ผูกศพไว้กับเครื่องยิงหินยิงศพข้ามกำแพงเข้าไปในเมืองกาฟฟา โดยไม่สนใจว่ามันจะพุ่งเข้าที่จุดไหนของเมือง แต่เพียงหวังว่าโรคจะติดเข้าไปในเมืองถ้าชาวเมืองจับศพไปฝัง หรือนำออกจากเมือง พวกเขาอาจจะสัมผัสกับศพโดยตรงและติดโรคไปด้วย
22. หลังจากนั้นไม่นาน ชาวเมืองกาฟฟาก็เริ่มล้มป่วยจำนวนมาก ด้วยอาการแบบเดียวกับทหารของมองโกล เมืองเข้าสู่ภาวะวิกฤตครั้งใหญ่ทั้งการโดนปิดล้อมและโรคระบาด ความอ่อนแอจากการปิดล้อมยาวนาน ทำให้เมืองเสื่อมสภาพลงจนไม่สามารถต่อต้านต่อไปได้
23. ทว่าโรคร้ายได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากมายไม่เว้นแม้กระทั่งพวกมองโกลเอง ไม่มีบันทึกใดระบุว่ามองโกลบุกเข้ายึดเมืองสำเร็จ และข้อมูลส่วนใหญ่บ่งชี้ว่า การปิดล้อมยุติลงเมื่อโรคระบาดเริ่มแพร่ในกองทัพของมองโกลเอง และต้องถอนทัพกลับในที่สุด
_____________________________________
[img]https://static.xx.fbcdn.net/images/emoji.php/v9/t8/1/16/2694.png[/img] อาจเป็นจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์
24. ในช่วงระหว่างการปิดล้อม มีชาวเมืองหลายคนรวมถึงพ่อค้าชาวเจนัวบางส่วนตัดสินใจหลบหนีทางเรือออกจากเมือง เพื่อหาทางหนีกลับไปยังยุโรป
25. เชื่อกันว่า ผู้ที่หลบหนีจากเมืองกาฟฟาหลายคนติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว เรือเหล่านี้เดินเรือข้ามทะเลดำเข้าสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แล้วไปเทียบท่าในเมืองต่าง ๆ ทั่วยุโรป เช่น เกาะซิซิลี เจนัว มาร์กเซย เวนิส และอื่นๆ โดยมีหนูและหมัดที่ติดมากับสินค้าและเสบียงเป็นพาหะสำคัญของเชื้อกาฬโรค
26. จากจุดเล็กๆ กาฬโรคจึงค่อยๆ ลุกลามเข้าไปทั่วทวีปในช่วงเวลาสั้น ๆ ภายในเวลาเพียงไม่ถึง 5 ปี ผู้คนล้มตายด้วยโรคระบาดที่ผู้คนไม่เข้าใจมันเลย แม้จะมีความพยายามในการกักตัว ตัดเส้นทางการค้า หรือหนีออกจากเมืองที่มีผู้ติดเชื้อแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งการล้มตายที่เกิดขึ้นทั่วทั้งทวีปยุโรปได้
27. เหตุการณ์กาฬโรคระบาดครั้งใหญ่นี้ได้รับการขนานนามว่า “Black Death” (ความตายสีดำ) คร่าชีวิตผู้คนในยุโรปไปประมาณ 25–50 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งทวีปยุโรปในขณะนั้น
28. เหตุการณ์ที่เมืองกาฟฟาอาจไม่ใช่แค่การศึกหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษย์ แต่นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของหายน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่