JJNY : ประกันสังคมก้าวหน้าปูดกลุ่มแพ้เลือกตั้ง│อ.ปวินกังวลตั้งบุ๋มปนัดดา│ผู้ส่งออกข้าวจี้พณ.│ยูเอ็นพอใจไทย-กัมพูชายุติ

ประกันสังคมก้าวหน้า ปูด กลุ่มแพ้เลือกตั้ง ชงยกเลิกเลือกตั้งบอร์ด เสนอระบบใหม่คล้ายเลือกส.ว.
.
.
ประกันสังคมก้าวหน้า ปูด กลุ่มแพ้เลือกตั้ง ชงยกเลิกเลือกตั้งบอร์ด เสนอระบบใหม่คล้ายเลือกส.ว.
.
เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม เฟซบุ๊กของ ประกันสังคมก้าวหน้า ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
.
กลุ่มแพ้เลือกตั้งประกันสังคมรวมตัวกันตั้งอนุกรรมการในสภา สว. เสนอยกเลิกเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมทางตรงแบบเดิม มาใช้ระบบเลือกตั้งแบบ สว. เพื่อกันทีมประกันสังคมก้าวหน้าลงเลือกตั้ง
.
ทั้งนี้ ยังได้แนบเอกสารสรุปการประชุม คณะอนุกรรมาธิการด้านการประกันสังคม ในคณะกรรมาธิการแรงงาน วุฒิสภา ซึ่งได้เผยแพร่ในเว็บไซต์ของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ที่มีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการเลือกตั้งคณะกรรมการประกันสังคม เป็นครั้งแรก เมื่อ 24 ธันวาคม 2566
.
โดยมติที่ประชุม ได้พิจารณาหลักเกณฑ์ วิธีการเลือกตั้งผู้แทนฝ่ายนายจ้างและ ผู้แทนฝ่ายประกันตน เป็นกรรมการในคณะกรรมาธิการประกันสังคม 4 หลักเกณฑ์ใหม่ ได้แก่
.
1. เลือกตั้งคนเดียวได้ 7 คน เสนอให้ผู้ใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกผู้แทนได้เพียง 1 คน จากผู้สมัครทั้งหมด โดยจัดอันดับคะแนนจากมากไปน้อย คัดเลือกผู้ได้รับคะแนนสูงสุด 7 คน เป็นกรรมการ เพื่อลดการแทรกแซงทางการเมือง และ ลดต้นทุนในการเลือกตั้ง
.
2. เลือกตั้ง 2 ขั้นตอน ผู้ประกันตนใช้สิทธิเลือกตั้งเพื่อคัดเลือกผู้แทน 200 คนก่อน จากนั้นให้ผู้แทน 200 คน ดังกล่าวมาเลือกกันอีกครั้งจนได้ 7 คน ทั้งฝ่ายลูกจ้างและนายจ้าง คล้ายกับระบบได้มาของส.ว. เพื่อสร้างกระบวนการคัดครองที่รอบคอย หลากหลายทางภูมิภาค
.
3. เลือกตั้ง ผู้แทนระดับจังหวัดแล้วเลือกกันเองระดับประเทศ
.
4. เลือกตั้งโดยเป็นการเสนอกระบวนการเลือกตั้งผู้แทนนายจ้างและผู้ประกันตนเป็นกรรมการในคณะกรรมการประกันสังคม โดยใช้ เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง ผู้แทนแต่ละฝ่ายมาจากการเลือกตั้งตามสัดส่วนสมาชิก
.
โดย ที่ประชุม มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การเลือกตั้งกรรมการประกันสังคมทั้ง 4 หลักเกณฑ์ ได้นำเสนอหลักเกณฑ์การเลือกตั้งกรรมการประกันสังคม ต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการต่อไป
.
อ่านสรุปการประชุมทั้งหมดวันที่ 6 ส.ค. 
.
.

.
อ.ปวิน กังวล บิ๊กเล็กตั้ง บุ๋มปนัดดา เป็นโฆษกจิตอาสา เกรงใช้อารมณ์ เพิ่มความขัดแย้ง
https://www.matichon.co.th/social/news_5313823
.
อ.ปวิน กังวล บิ๊กเล็กตั้ง บุ๋มปนัดดา เป็นโฆษกจิตอาสา เกรงใช้อารมณ์ เพิ่มความขัดแย้ง
.
วันที่ 8 สิงหาคม นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ อาจารย์สถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ม.เกียวโต โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุถึงการแต่งตั้งปนัดดา วงศ์ผู้ดี เป็นโฆษก ศบ.ทก. จิตอาสา ว่า
.
บอกเลยดิชั้นกังวลใจมาก และอาจนำมาซึ่งผลเสียมากกว่าผลดีค่ะ
.
1. การที่พลเอกณัฐพลบอกว่าปนัดดาจะมาทำหน้าที่ “ปะทะ” กับโฆษกของกัมพูชา และมีการพูดถึงเรื่อง “ความสวย” ที่เหนือกว่าอย่างมั่นใจด้วย แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจที่ผิดพลาดอย่างสิ้นเชิงต่อหน้าที่ของโฆษก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ หน้าที่ของโฆษกไม่ใช่การ “ชน” หรือ “ปะทะ” กับคู่กรณี แต่คือการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ การสื่อสารข้อเท็จจริงอย่างเป็นทางการ และการควบคุมสถานการณ์ไม่ให้บานปลาย การใช้ถ้อยคำที่มุ่งเน้นการเอาชนะหรือการเปรียบเทียบในลักษณะที่ไม่เป็นทางการเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ส่งเสริมแนวทางการทูตเชิงสันติ แต่ยังอาจสร้างความขุ่นเคืองให้กับอีกฝ่ายและยิ่งเพิ่มความตึงเครียดให้มากขึ้น นี่ทำไมฝ่ายเราถึงคิดไม่ได้ ทำไมฝ่ายเราถึง “ไม่โต” คะ?
.
2. นี่ยังเป็นการเลือกใช้กลยุทธ์ที่มุ่งปลุกปั่นชาตินิยมและความสะใจ คำกล่าวที่ว่าปนัดดาจะมา “ชน” กับโฆษกของกัมพูชา อาจตีความได้ว่าเป็นการใช้กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการตอบโต้ด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล ซึ่งอาจสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มคนที่ต้องการความสะใจในการแสดงความรักชาติแบบบ้าคลั่ง แต่นี่ไม่ใช่แนวทางที่นำไปสู่สันติภาพ การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่การแสดงออกถึงความเข้มแข็งของประเทศ แต่เป็นการแสดงออกถึงความไม่เป็นมืออาชีพ ความ childish และอาจทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาประชาคมโลกลดลงอย่างรวดเร็ว การรักชาติเป็นสิ่งที่ดีนะคะ แต่การแสดงออกซึ่งความรักชาตินั้นควรเป็นไปอย่างมีสติและถูกที่ถูกทาง การแสดงออกในนามของประเทศควรยึดมั่นในหลักการและเหตุผลทางการทูตเป็นสำคัญ ไม่ใช่การปะทะคารมผ่านสื่อ การเมืองนะคะ ไม่ใช่ละครที่บุ๋มเคยเล่น
.
3. หน้าที่ของโฆษกในสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ต้องอาศัยทักษะเฉพาะทางอย่างยิ่ง ทั้งทักษะด้านการทูต การสื่อสารวิกฤต และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในประเด็นความมั่นคงระหว่างประเทศ การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงจากงานด้านจิตอาสาและวงการเซเลป แม้จะมีเจตนาดีและมีความน่าเชื่อถือในฐานะบุคคล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีทักษะที่จำเป็นในการทำหน้าที่โฆษกของรัฐ การพูดอะไรออกไปในแต่ละครั้งอาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ ดังนั้น โฆษกจึงควรเป็นผู้ที่ผ่านการฝึกฝนและมีความรู้ความเข้าใจในเชิงลึก ไม่ใช่ใครก็ได้ที่เพียงแค่ “มีงานมากมาย” และ “อยู่ในพื้นที่มานาน” ค่ะ
.
4. ในขณะที่รัฐบาลไทยควรยึดมั่นในแนวทางการแสวงหาสันติภาพผ่านการทูตและกลไกระหว่างประเทศอย่างที่เคยทำมา แต่แนวคิดในการ “ชน” กับโฆษกของกัมพูชาผ่านสื่อออนไลน์กลับเป็นสิ่งที่ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับหลักการดังกล่าว การสร้างโฆษกให้มีบทบาทในลักษณะนี้เท่ากับเป็นการกระพือความขัดแย้งให้ยิ่งรุนแรงขึ้น แทนที่จะมุ่งเน้นการลดความตึงเครียดและสร้างความเข้าใจร่วมกัน
.
…ดิชั้นฟันธงค่ะ แนวคิดนี้เป็นตัวอย่างของ “Bad Idea” ที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เพราะเป็นการแสดงออกถึงความไม่เข้าใจในหลักการบริหารวิกฤตและการทูตสมัยใหม่ และอาจนำพาประเทศไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นโดยไม่จำเป็น เฮ้อ สมอง…
.
https://www.facebook.com/pavinchachavalpongpun/posts/pfbid02eBk88gadHXncnvn2aXrJaAGbLEQ577SmmCsd1sE2UCuAhucPvPicN7EzKZ8XYu41l
.

.
ผู้ส่งออกข้าว จี้พาณิชย์ เร่งเจาะตลาด จีน -ซาอุ-ญี่ปุ่น รับผลผลิตล้น-แก้บาทแข็ง
https://www.khaosod.co.th/economics/news_9885065
.
ผู้ส่งออกข้าว จี้พาณิชย์ เร่งเจาะตลาด จีน -ซาอุ-ญี่ปุ่น รับผลผลิตล้น-แก้บาทแข็ง
.
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2568 ตนและนายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศได้หารือร่วมกับร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย นำเกี่ยวกับสถานการณ์ส่งออกข้าวของไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ท่ามกลางความท้าทายจากตลาดโลก พร้อมกำหนดแนวทางร่วมกันในการผลักดันข้าวไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก โดยมีการนำเสนอภาพรวมสถานการณ์การส่งออก แนวโน้มตลาด และข้อเสนอจากภาคเอกชนต่อรัฐบาล เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ข้าวไทยในสถานการณ์ปัจจุบัน
.
ข้าวเป็นสินค้าเกษตรหลักที่มีผลต่อรายได้เกษตรกรและเศรษฐกิจของประเทศ หากการส่งออกมีปัญหา ย่อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งด้านพันธุ์ข้าว ปุ๋ย ยา และต้นทุนการผลิต ซึ่งกระทรวงฯ ได้ริเริ่ม “โครงการธงเขียว” เพื่อลดภาระต้นทุนของเกษตรกร และเตรียมส่งเสริมการผลิตข้าวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลกอย่างแท้จริง
.
นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศประสานทูตพาณิชย์เร่งติดต่อกับทางการจีน เพื่อผลักดันการส่งออกข้าวตามโควตาที่เหลืออีก 280,000 ตัน รวมทั้งเจาะตลาดผ่านงาน China-ASEAN EXPO 2025 ณ เมืองหนานหนิง เดือนก.ย. 2568 และงาน China International Import Expo (CIIE) 2025 ที่นครเซี่ยงไฮ้ เดือนพ.ย. 2568 นอกจากนี้ ยังเน้นเจาะตลาดสำคัญอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย และบังกลาเทศ ซึ่งเป็นตลาดข้าวขาวและข้าวนึ่ง รวมทั้งฮ่องกงซึ่งเป็นตลาดข้าวหอมมะลิศักยภาพ โดยเฉพาะฮ่องกงที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง
.
“ในประเทศ ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในเตรียมออกมาตรการส่งเสริมการบริโภคและระบายสต็อกข้าวนาปี คาดว่าจะสามารถดึงข้าวเปลือกออกได้ประมาณ 8.5 ล้านตัน ผ่านจุดกระตุ้นตลาดนัดข้าวเปลือก สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และยุ้งฉางของเกษตรกร เพื่อให้มีแรงซื้อในประเทศ พร้อมเร่งระบายข้าวไปยังตลาดศักยภาพทั่วโลก” นายจตุพรกล่าว
.
ด้านภาคเอกชน โดยนายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมฯ กล่าวว่า ปี 2568 เป็นปีที่ท้าทายมาก เนื่องจากปริมาณข้าวในตลาดโลกสูง ขณะที่ความต้องการลดลง เช่น อินโดนีเซียที่เคยนำเข้า 4 ล้านตันในปีก่อน คาดว่าอาจซื้อเพียงเล็กน้อยช่วงปลายปี ขณะเดียวกัน ราคาข้าวก็ลดลงเหลือกิโลกรัมละ 10.50 บาท จากเดิม 19–20 บาท ส่งผลให้เกษตรกรได้รับผลกระทบโดยตรง
.
“คู่แข่งของเราพัฒนาเรื่องพันธุ์ข้าวได้ดีขึ้น ทำให้ความแตกต่างด้านคุณภาพลดลง หากราคาข้าวไทยแพงกว่าก็มีแนวโน้มที่ผู้ซื้อจะเปลี่ยนไปซื้อจากประเทศอื่น ดังนั้นต้องเน้นการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการขาย โดยเฉพาะในตลาดที่มีศักยภาพ เช่น จีน และตะวันออกกลาง พร้อมเร่งพัฒนาความหลากหลายของข้าวไทย โดยเฉพาะข้าวนุ่มซึ่งกำลังได้รับความนิยมในเอเชีย” นายชูเกียรติกล่าว
.
ขณะที่ ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมฯ ได้เสนอให้รัฐบาลดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ และอยู่ในระดับอ่อนค่าประมาณ 33–34 บาทต่อดอลลาร์ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทย ซึ่งหากค่าเงินบาทผันผวนจะกระทบต่อการตัดสินใจขายและซื้อของทั้งผู้ส่งออกและผู้นำเข้าโดยตรง
.
พร้อมกันนี้ ยังได้เสนอให้เร่งเปิดตลาดข้าวในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งใช้ข้าวแข็งในการเลี้ยงแรงงานในแคมป์ และขอให้ผลักดันโควตาการส่งออกข้าวไปญี่ปุ่น รวมถึงผลักดันการส่งออกข้าวไปอิรัก ซึ่งเป็นตลาดศักยภาพที่ไทยควรขยายปริมาณการขายเพิ่มขึ้น
.
จากรายงานของกรมการค้าต่างประเทศ พบว่า ในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.–มิ.ย. 2568) ไทยส่งออกข้าวได้ 3.73 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 75,563 ล้านบาท ลดลง 27.29% และ 36.45% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ คาดว่าทั้งปีจะส่งออกได้ 7.5 ล้านตัน โดยได้รับผลกระทบจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจากปัจจัยสำคัญ อาทิ ปริมาณผลผลิตข้าวในตลาดโลกเพิ่มขึ้น อินเดียกลับมาส่งออกปริมาณมากและมีสต็อกข้าวในประเทศสูง และอินโดนีเซียลดการนำเข้า รวมทั้งเงินบาทแข็งค่า
.
สำหรับชนิดข้าวที่ไทยส่งออกมากที่สุด ได้แก่ ข้าวขาว คิดเป็น 47.19% ของปริมาณส่งออกข้าวไทยทั้งหมด รองลงมาคือข้าวหอมมะลิไทย ข้าวนึ่ง และข้าวหอมไทย โดยมีตลาดสำคัญ ได้แก่ อิรัก สหรัฐฯ แอฟริกาใต้ จีน และเซเนกัล ซึ่งไทยยังคงสามารถขยายตลาดได้ในตะวันออกกลางและยุโรป แม้ตลาดเอเชียและแอฟริกาจะหดตัวลง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่