1) ตัวเลข 4 นอกจากจะอยู่ในชื่อเรื่องของภาพยนตร์ฮีโร่พลังครอบครัวเรื่องนี้แล้ว มันยังเป็นตัวเลขบอกจำนวนครั้งของการรีบูท (Reboot) อีกด้วย นี่อาจไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจนักสำหรับผู้กำกับอย่าง “แมตต์ แชกแมน” (Matt Shakman) เพราะ 3 ครั้งก่อนหน้าของ “ครอบครัวสี่พลังกายสิทธิ์” ดูจะไม่ประสบความสำเร็จมากนัก มีแค่ครั้งของปี 2005 เท่านั้นที่เข็นภาคต่อ Fantastic Four: Rise of the Silver Surfer ออกมาได้ในปี 2007

2) การกลับมาถือครองลิขสิทธิ์อีกครั้งของ Marvel Studio ทำให้ Fastastic Four ถูกสร้างอีกครั้ง(เป็นครั้งที่ 4) ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะในฐานะคอมมิคฮีโร่ “ครอบครัว” เรื่องแรกของมาร์เวลที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง นับตั้งแต่ปล่อยออกมาในยุค 60 แต่กลับไม่สามารถปรากฏตัวในจักรวาล MCU สุดยิ่งใหญ่ได้ The Fantastic Four: First Steps จึงค่อนข้างมีความหมายสำหรับแฟนๆ MCU โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อลบคำสาปของ 3 เวอร์ชั่นก่อนหน้าด้วย เพราะนี่คือสตูดิโอที่เชี่ยวชาญด้านการสร้างภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่เป็นอันดับต้นๆ หากยังไม่สามารถล้างคำสาปได้ ก็คงหมดหวังแล้วจริงๆ

3) The Fantastic Four: First Steps มีความคล้ายคลึงกับฉบับปี 2005 ในเรื่องของความสัมพันธ์แบบครอบครัวของสมาชิกในทีมและการอ้างอิงจากฉบับคอมมิคอย่างชัดเจน เมื่อถูกเล่าผ่านสไตล์แบบ Retro Futurism ทำให้การเข้าไปสำรวจชีวิตของครอบครัวสี่พลังกายสิทธิ์มีความอบอุ่นและแปลกตาจากทั้งวิถีชีวิตและสภาพของโลกคู่ขนาน Earth-828 ด้วยความที่เรื่องราวของเหล่า Fantastic Four เป็นสิ่งที่ถูกเล่ามาบ่อยครั้งแล้ว ทำให้ผู้กำกับแมตต์สามารถเดินหน้าเรื่องราวได้รวดเร็วโดยไม่ต้องเสียเวลาเล่าพื้นเพของตัวละครมากนัก

4) แน่นอนว่าไฮไลท์สำคัญของ The Fantastic Four: First Steps คงเป็นอะไรไม่ได้นอกจากการมาของผู้กลืนกินดวงดาว “กาแลคตัส” (Galactus) มหันตภัยครั้งใหญ่ระดับจักรวาล นี่ถือว่าเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เพราะหากวัดกับเรื่องราวที่ผ่านมาของ MCU การมาของกาแลคตัสเป็นภัยร้ายที่ใหญ่เป็นระดับต้นๆ แล้ว เหล่าสี่พลังกายสิทธิ์จะรับมืออย่างไร หรือว่านี่จะเป็นสาเหตุที่พวกเขาต้องอพยพมายังจักรวาลหลัก Earth-616 ในตอนท้ายของ Thunderbolts*

5) หลังจาก Avenger Endgame ภาพยนตร์ฮีโร่ของ Marvel ก็ป้อแป้มาหลายต่อหลายเรื่อง จนกระทั่ง Thunderbolts* สามารถเรียกศรัทธาของผู้ชมกลับมาได้(บ้าง) ในแง่ของการสร้างตัวละครและเรื่องราวที่แตกต่างจากสูตรสำเร็จเดิมๆ ยิ่งบวกกับการมาของกาแลคตัสและการเชื่อมโยงกับจักรวาลหลักเพื่อส่งเนื้อเรื่องไปหาศึกใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นใน Avengers: Doomsday ในปีหน้า The Fantastic Four: First Steps จึงถูกคาดหวังไว้ค่อนข้างมากว่านี่จะเป็นภาพยนตร์ที่กลับมาชุบเลี้ยงให้ MCU กลับมาสดชื่นอีกครั้ง

6) แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นอาจจะต้องบอกว่า “เสมอตัว” The Fantastic Four: First Steps เป็นหนังฮีโร่ที่ดี แต่ยังไม่ตอบโจทย์ที่ควรจะทำได้ นี่เป็นเรื่องตลกอย่างมาก เพราะหัวเรือใหญ่อย่าง “เควิน ไฟกี” (Kevin Feige) ออกมาบอกว่า เขาต้องการลดความเชื่อมโยงของภาพยนตร์แต่ละเรื่องลง และลดเนื้อหาที่มากเกินไป เขาต้องการให้มัน “จบในตัว” อย่างน้อยๆ ก็ในแบบที่ Thunderbolts* ทำ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ “นี่มันไม่ใช่เวลาจะทำแบบนั้น”

7) The Fantastic Four: First Steps มีเนื้อเรื่องที่ทำมาเพื่อ “ฉายเมื่อไหร่ก็ได้” ตามเจตนารมณ์ของไฟกี แต่นั่นไม่ควรจะเป็นสิ่งที่มาฉายระหว่างรอยต่อเพื่อนำไปสู่ศึกใหญ่อย่าง Doomsday โอเคหากมองข้ามเรื่องนี้ไปตัวหนังก็ยังสร้างอารมณ์ความเป็นมหันตภัยได้ไม่สมกับการ “ป่าวประกาศ” ของ “ซิลเวอร์ ซัฟเฟอร์” (Julia Garner) ที่กลายมาเป็นฉากจำของเรื่องด้วยซ้ำ ถ้ายึดตามนี้เราควรได้เห็นตัวเรื่องที่คล้ายๆ กับ Independence Day (1996) หรือไม่ก็ Armageddon (1998) ทำนองนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นช่างห่างไกลเหลือเกิน

8) นี่คงเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงหลังๆ ของ MCU เมื่อเปิดเนื้อเรื่องมาอย่างยิ่งใหญ่ แต่กลับแผ่วปลายและจัดการได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น (นึกถึงโดราเอม่อนที่โนบิตะและผองเพื่อนสามารถกลับไปกินข้าวเย็นที่บ้านได้สบายใจหลังจากจัดการหายนะระดับโลกได้) อีกหนึ่งประการที่เสริมเรื่องนี้ คือ ฉากแอคชั่นที่ขาดจินตนาการและค่อนข้างซ้ำซาก หากคุณไม่ใช่ “เจมส์ กันน์” ที่สามารถหล่อเลี้ยงภาพยนตร์ทั้งเรื่องด้วยฉากแอคชั่นที่น่าตื่นตาได้แล้วละก็นะ

9) หากเป็นฉบับการ์ตูนหรือคอมมิคการสร้างตัวละครขนาดมหึมาอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ต้องใส่ใจความสมจริงมากนัก เน้นเอาสะใจก็พอ ทั้งตัวของ Celestials ที่ใหญ่ระดับดาวเคราะห์ หรือ Unicorn จาก Transformers ก็ขยายขนาดได้ใหญ่เท่าดาวพฤหัส (และใหญ่ได้มากกว่านั้นอีก) หรือจะเอาเวอร์ในระดับคอสมิคแบบหุ่นยนต์ Getter Emperor จาก Getter Robo ที่มีความสูงหลายร้อนล้านปีแสง และไปให้สุดกับ Gurren Lagann ที่สูงทะลุสรรพสิ่งและหยิบกาแลคซี่มาขว้างเล่นใส่กันได้ก็มีมาแล้ว

10) แต่เมื่อมันเป็น Live Action ยังไงมันก็ต้องมีกรอบของความสมจริงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ตัวละครพวกนี้จึงมักจะมีปัญหาเสมอในเรื่องของผลกระทบที่ตามมา และอย่างยิ่งกับฉากจบของกาแลคตัสที่เกิดขึ้น หากเป็นการ์ตูนมันอาจจะเป็นการนำเสนอที่พอไปวัดไปวาได้ แต่เมื่อเป็น Live Action มันชวนให้กุมขมับและน่าขำมาก

11) ยังไม่รวมกันผลลัพธ์ที่เข้าสูตรในการเขียนบทเรียกว่า Deus Ex Machina คือ การคลี่คลายปัญหาโดยพึ่งพลังปาฏิหารย์หรือผู้ช่วยที่ไม่ได้อยู่ในสารบบ ในที่นี้แม้ว่าที่มาของพลังจะมีการรองรับด้วยเนื้อเรื่องอยู่แล้ว แต่พอมันเกิดขึ้นจริงก็เกิดความรู้สึกว่า “อ้าว” ขึ้นอยู่ดี โชคดีที่พลังการแสดงและเสน่ห์อันเหลือล้นของ “วาเนสซา เคอร์บี้” (Vanessa Kirby) ในบท ซู สตอร์ม สามารถทำให้เรามองข้ามเรื่องนี้ไปได้ แต่มันก็บดบังสมาชิกคนอื่นๆ อย่างมากเหมือนกัน

12) การวางบทบาทของซูให้เป็นผู้นำมากกว่าหัวหน้าทีมอย่าง “รีด ริชาร์ด” (Pedro Pascal) ดูก็รู้ว่าเป็นการเชิดชูความเป็นหญิงในแบบที่ระยะหลังๆ MCU พยายามเหลือเกิน แต่ไม่เคยทำได้ดีสักที(ยัดเยียด) แต่ในครั้งนี้ตัวละครหญิงสองคน ซู สตอร์ม และซิลเวอร์ ซัฟเฟอร์ กลับโดดเด่นเป็นสง่าอย่างน่าพอใจและผู้ชมยอมรับ ในขณะที่ตัวละครเพศชายมีบทบาทคอยช่วยเหลือมากกว่า ทั้งพ่อหนุ่มยางยืดที่นอกจากทำหน้าเครียดทั้งเรื่องก็ไม่ได้มีจุดเด่นตรงไหน ฮีโร่ผู้น้องอย่าง “จอห์นนี่ สตอร์ม” (Joseph Quinn) กลับโดดเด่นมากกว่าซะอีก และสุดท้าย มนุษย์หินเดอะธิง (Ebon Moss-Bachrach) มีไว้ให้ครบองค์สี่เท่านั้น
Story Deocder
[รีวิว] The Fantastic Four: First Steps - การกลับมาอีกแล้วของครอบครัวฮีโร่พลังกายสิทธิ์
2) การกลับมาถือครองลิขสิทธิ์อีกครั้งของ Marvel Studio ทำให้ Fastastic Four ถูกสร้างอีกครั้ง(เป็นครั้งที่ 4) ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะในฐานะคอมมิคฮีโร่ “ครอบครัว” เรื่องแรกของมาร์เวลที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง นับตั้งแต่ปล่อยออกมาในยุค 60 แต่กลับไม่สามารถปรากฏตัวในจักรวาล MCU สุดยิ่งใหญ่ได้ The Fantastic Four: First Steps จึงค่อนข้างมีความหมายสำหรับแฟนๆ MCU โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อลบคำสาปของ 3 เวอร์ชั่นก่อนหน้าด้วย เพราะนี่คือสตูดิโอที่เชี่ยวชาญด้านการสร้างภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่เป็นอันดับต้นๆ หากยังไม่สามารถล้างคำสาปได้ ก็คงหมดหวังแล้วจริงๆ
3) The Fantastic Four: First Steps มีความคล้ายคลึงกับฉบับปี 2005 ในเรื่องของความสัมพันธ์แบบครอบครัวของสมาชิกในทีมและการอ้างอิงจากฉบับคอมมิคอย่างชัดเจน เมื่อถูกเล่าผ่านสไตล์แบบ Retro Futurism ทำให้การเข้าไปสำรวจชีวิตของครอบครัวสี่พลังกายสิทธิ์มีความอบอุ่นและแปลกตาจากทั้งวิถีชีวิตและสภาพของโลกคู่ขนาน Earth-828 ด้วยความที่เรื่องราวของเหล่า Fantastic Four เป็นสิ่งที่ถูกเล่ามาบ่อยครั้งแล้ว ทำให้ผู้กำกับแมตต์สามารถเดินหน้าเรื่องราวได้รวดเร็วโดยไม่ต้องเสียเวลาเล่าพื้นเพของตัวละครมากนัก
4) แน่นอนว่าไฮไลท์สำคัญของ The Fantastic Four: First Steps คงเป็นอะไรไม่ได้นอกจากการมาของผู้กลืนกินดวงดาว “กาแลคตัส” (Galactus) มหันตภัยครั้งใหญ่ระดับจักรวาล นี่ถือว่าเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เพราะหากวัดกับเรื่องราวที่ผ่านมาของ MCU การมาของกาแลคตัสเป็นภัยร้ายที่ใหญ่เป็นระดับต้นๆ แล้ว เหล่าสี่พลังกายสิทธิ์จะรับมืออย่างไร หรือว่านี่จะเป็นสาเหตุที่พวกเขาต้องอพยพมายังจักรวาลหลัก Earth-616 ในตอนท้ายของ Thunderbolts*
5) หลังจาก Avenger Endgame ภาพยนตร์ฮีโร่ของ Marvel ก็ป้อแป้มาหลายต่อหลายเรื่อง จนกระทั่ง Thunderbolts* สามารถเรียกศรัทธาของผู้ชมกลับมาได้(บ้าง) ในแง่ของการสร้างตัวละครและเรื่องราวที่แตกต่างจากสูตรสำเร็จเดิมๆ ยิ่งบวกกับการมาของกาแลคตัสและการเชื่อมโยงกับจักรวาลหลักเพื่อส่งเนื้อเรื่องไปหาศึกใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นใน Avengers: Doomsday ในปีหน้า The Fantastic Four: First Steps จึงถูกคาดหวังไว้ค่อนข้างมากว่านี่จะเป็นภาพยนตร์ที่กลับมาชุบเลี้ยงให้ MCU กลับมาสดชื่นอีกครั้ง
6) แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นอาจจะต้องบอกว่า “เสมอตัว” The Fantastic Four: First Steps เป็นหนังฮีโร่ที่ดี แต่ยังไม่ตอบโจทย์ที่ควรจะทำได้ นี่เป็นเรื่องตลกอย่างมาก เพราะหัวเรือใหญ่อย่าง “เควิน ไฟกี” (Kevin Feige) ออกมาบอกว่า เขาต้องการลดความเชื่อมโยงของภาพยนตร์แต่ละเรื่องลง และลดเนื้อหาที่มากเกินไป เขาต้องการให้มัน “จบในตัว” อย่างน้อยๆ ก็ในแบบที่ Thunderbolts* ทำ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ “นี่มันไม่ใช่เวลาจะทำแบบนั้น”
7) The Fantastic Four: First Steps มีเนื้อเรื่องที่ทำมาเพื่อ “ฉายเมื่อไหร่ก็ได้” ตามเจตนารมณ์ของไฟกี แต่นั่นไม่ควรจะเป็นสิ่งที่มาฉายระหว่างรอยต่อเพื่อนำไปสู่ศึกใหญ่อย่าง Doomsday โอเคหากมองข้ามเรื่องนี้ไปตัวหนังก็ยังสร้างอารมณ์ความเป็นมหันตภัยได้ไม่สมกับการ “ป่าวประกาศ” ของ “ซิลเวอร์ ซัฟเฟอร์” (Julia Garner) ที่กลายมาเป็นฉากจำของเรื่องด้วยซ้ำ ถ้ายึดตามนี้เราควรได้เห็นตัวเรื่องที่คล้ายๆ กับ Independence Day (1996) หรือไม่ก็ Armageddon (1998) ทำนองนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นช่างห่างไกลเหลือเกิน
8) นี่คงเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงหลังๆ ของ MCU เมื่อเปิดเนื้อเรื่องมาอย่างยิ่งใหญ่ แต่กลับแผ่วปลายและจัดการได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น (นึกถึงโดราเอม่อนที่โนบิตะและผองเพื่อนสามารถกลับไปกินข้าวเย็นที่บ้านได้สบายใจหลังจากจัดการหายนะระดับโลกได้) อีกหนึ่งประการที่เสริมเรื่องนี้ คือ ฉากแอคชั่นที่ขาดจินตนาการและค่อนข้างซ้ำซาก หากคุณไม่ใช่ “เจมส์ กันน์” ที่สามารถหล่อเลี้ยงภาพยนตร์ทั้งเรื่องด้วยฉากแอคชั่นที่น่าตื่นตาได้แล้วละก็นะ
9) หากเป็นฉบับการ์ตูนหรือคอมมิคการสร้างตัวละครขนาดมหึมาอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ต้องใส่ใจความสมจริงมากนัก เน้นเอาสะใจก็พอ ทั้งตัวของ Celestials ที่ใหญ่ระดับดาวเคราะห์ หรือ Unicorn จาก Transformers ก็ขยายขนาดได้ใหญ่เท่าดาวพฤหัส (และใหญ่ได้มากกว่านั้นอีก) หรือจะเอาเวอร์ในระดับคอสมิคแบบหุ่นยนต์ Getter Emperor จาก Getter Robo ที่มีความสูงหลายร้อนล้านปีแสง และไปให้สุดกับ Gurren Lagann ที่สูงทะลุสรรพสิ่งและหยิบกาแลคซี่มาขว้างเล่นใส่กันได้ก็มีมาแล้ว
10) แต่เมื่อมันเป็น Live Action ยังไงมันก็ต้องมีกรอบของความสมจริงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ตัวละครพวกนี้จึงมักจะมีปัญหาเสมอในเรื่องของผลกระทบที่ตามมา และอย่างยิ่งกับฉากจบของกาแลคตัสที่เกิดขึ้น หากเป็นการ์ตูนมันอาจจะเป็นการนำเสนอที่พอไปวัดไปวาได้ แต่เมื่อเป็น Live Action มันชวนให้กุมขมับและน่าขำมาก
11) ยังไม่รวมกันผลลัพธ์ที่เข้าสูตรในการเขียนบทเรียกว่า Deus Ex Machina คือ การคลี่คลายปัญหาโดยพึ่งพลังปาฏิหารย์หรือผู้ช่วยที่ไม่ได้อยู่ในสารบบ ในที่นี้แม้ว่าที่มาของพลังจะมีการรองรับด้วยเนื้อเรื่องอยู่แล้ว แต่พอมันเกิดขึ้นจริงก็เกิดความรู้สึกว่า “อ้าว” ขึ้นอยู่ดี โชคดีที่พลังการแสดงและเสน่ห์อันเหลือล้นของ “วาเนสซา เคอร์บี้” (Vanessa Kirby) ในบท ซู สตอร์ม สามารถทำให้เรามองข้ามเรื่องนี้ไปได้ แต่มันก็บดบังสมาชิกคนอื่นๆ อย่างมากเหมือนกัน
12) การวางบทบาทของซูให้เป็นผู้นำมากกว่าหัวหน้าทีมอย่าง “รีด ริชาร์ด” (Pedro Pascal) ดูก็รู้ว่าเป็นการเชิดชูความเป็นหญิงในแบบที่ระยะหลังๆ MCU พยายามเหลือเกิน แต่ไม่เคยทำได้ดีสักที(ยัดเยียด) แต่ในครั้งนี้ตัวละครหญิงสองคน ซู สตอร์ม และซิลเวอร์ ซัฟเฟอร์ กลับโดดเด่นเป็นสง่าอย่างน่าพอใจและผู้ชมยอมรับ ในขณะที่ตัวละครเพศชายมีบทบาทคอยช่วยเหลือมากกว่า ทั้งพ่อหนุ่มยางยืดที่นอกจากทำหน้าเครียดทั้งเรื่องก็ไม่ได้มีจุดเด่นตรงไหน ฮีโร่ผู้น้องอย่าง “จอห์นนี่ สตอร์ม” (Joseph Quinn) กลับโดดเด่นมากกว่าซะอีก และสุดท้าย มนุษย์หินเดอะธิง (Ebon Moss-Bachrach) มีไว้ให้ครบองค์สี่เท่านั้น
Story Deocder