เรื่องบางเรื่อง เขียนให้คนบางคน




              การ์ตูนอนิเมะจีนเรื่องนึง นางเอกมีชื่อนึงว่าหลี่เหยาเหยา นางเอกเป็นคนสมัยปัจจุบันที่ทำอาหารเก่ง แล้วหมดสติลงวันในเช้าวันหนึ่งเพราะชิมซุปเห็ดที่ตนเองปรุงขึ้นโดยที่ตนนั้นไม่รู้ว่าเป็นเห็ดอะไร พอตื่นขึ้นปรากฏว่าตัวเองนั้นได้ย้อนเวลามาอยู่ในร่างหญิงหน้าตาดีคนนึงในสมัยโบราณ พระเอกก็เป็นโอรสคนเล็กของกษัตริย์เมืองหนึ่ง แปลงตัวเป็นโจรเพื่อแฝงตัว แล้วก็ได้พบกับนางเอกโดยบังเอิญ โชคชะตาทำให้คนทั้งสองรักกันในที่สุด ประโยคหนึ่งที่พระเอกเขียนในกระดาษถึงนางเอกนั้นน่าประทับใจมากสำหรับคนที่รักเขาข้างเดียวแบบผม ซึ่งผมอาจจะจำได้ไม่ถูกซะทีเดียว ประมาณว่า " ไม่มีทางให้อภัยแก่ดวงใจที่บิดเบี้ยว แต่ข้าก็ยังหวังว่าเราจะได้เดินร่วมทางกัน แม้มันจะเป็นเพียงความฝันก็ตาม " ผมจำไม่ได้ว่าการ์ตูนเรื่องนี้จบแบบไหน แต่ผมรู้ดีว่าสิ่งที่ตรึงใจผมไว้ในทุกครั้งที่มีสิ่งเร้า หรืออารมณ์อิ่มเอมใจในลักษณะเช่นนี้ แท้จริงแล้วเป็นเพราะหัวใจดวงเดียวของผมสยบยอมให้กับผู้หญิงคนหนึ่งมาเป็นเวลาเกือบ ๑๐ ปีแล้ว


บทที่ ๑. "ไร้ซึ่งแสงสว่าง"


           


             สวัสดีครับ ผมชื่อปลื้ม อายุ ๒๙ ปี ๕ เดือน ผมเกิดที่จังหวัดพิษณุโลก มีพี่น้อง ๓ คน ผมคนเล็ก ก่อนอื่นผมอยากบอกให้รู้ว่าผมเป็นกัลยาณมิตรของทุกชีวิตเลย และผมดีใจที่ได้เกิดเป็นลูกพ่อกับแม่ของผมครับ รักพี่ป๊อบสุดหล่อและพี่ปุ๋มคนสวยมากๆเลยครับ ถ้าสุดที่รักของผมมีโอกาสเข้ามาอ่าน ผมอยากบอกว่า "พักผ่อนเถอะที่รัก ตื่นเช้ามาเดี๋ยวก็เจอกันนะ" เริ่มกันเลย


เยาวชนทุกคนถือกำเนิดขึ้นในครอบครัวที่ตนเองเลือกไม่ได้ บางคนเกิดมาจากปัญญาอันรู้แจ้งและความรอบคอบดีแล้วของบุพการี
บางคนเกิดมาจากอวิชชาของท่าน มีเด็กมากมายในประเทศไทยที่เจริญเติบโตขึ้นโดยที่ไม่รู้ในความหมายของคำว่าการเติบโตอย่างแท้จริง
ผมก็เป็นหนึ่งในบรรดาเด็กที่เติบโตอยู่ในความมืดแห่งอวิชชาเช่นกัน เป็นเด็กใช้ชีวิตในทุกวันด้วยความเย่อหยิ่งอวดดี ในใจอัดแน่นไปด้วยความคดโกงไม่ซื่อสัตย์และความอิจฉาริษยา แม้ผมจะบวชเป็นสามเณรภาคฤดูร้อนแทบทุกปี แต่ขณะที่เป็นเณรนั้น จิตใจของผมไม่ต่างอะไรกับสัตว์ป่า ผมทำเรื่องปรับอีย์มากมาย ผมคิดว่าผมอยากทำ ผมก็จะทำ ทว่ามีข้อดีมากมายจากการอยู่ภายใต้ร่มเงาแห่งพระพุทธศาสนา ผมได้สวดมนต์และรู้จักการทำสมาธิบ้าง
แต่ผมก็ไม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งเหล่านี้ น่าเสียดายโอกาสที่ดีในตอนนั้น และการกระทำของผมในช่วงนั้นก็เป็นเรื่องน่าหดหู่มากครับ

"พ่อกับแม่ทะเลาะกันบ่อย ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงดี แต่ผมรู้ดีว่าพ่อกับแม่รักและห่วงใยผม"


            ผมเริ่มสูบบุหรี่ตอนมัธยมปลาย ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือยมาก เป็นเงินที่ได้มาจากการขโมยเงินปู่ย่า และเอาไปใช้แบบไม่คิดอะไรเลย (น่าจะเป็นแสน) เมื่อพ่อหรือแม่เห็นเงินแบงค์เทาเป็นฟ่อนในกระเป๋า ผมโกหกท่านทั้งสองไปว่าผมไปชกมวยชนะมา ตอนนั้นผมคิดว่าพ่อกับแม่เชื่อผมครับ แต่ตอนนี้ผมรู้ว่าท่านรู้มาตลอด ญาติทุกคนทั้งบ้านใกล้บ้านไกลต่างก็เครียดและไม่สบายใจเรื่องเงินเก็บทั้งชีวิตของปู่กับย่านั้นทะยอยหายไปทีล่ะหมื่นสองหมื่น เมื่อเงินหายและจับขโมยไม่ได้ ต่างฝ่ายก็ต่างโทษคนน่าสงสัย ผู้ต้องสงสัยคนสำคัญคือพ่อกับแม่ผมเอง (มีอีกหลายเรื่องที่ผมอยากพิมพ์เล่าให้ฟัง เอาไว้เป็นอุทาหรณ์สอนลูกหลาน ไว้เขียนเป็นหนังสือแล้วกันนะครับ)

             ผมถูกจับได้ในที่สุด แต่ปู่ย่าไม่ฟ้องใคร ไม่บอกอา ไม่บอกพ่อกับแม่ผม ผมประนมมือไหว้ปู่กับย่าพร้อมกับพูดขอโทษ เรื่องต่างๆเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นมากมาย เช่นผมลองสูบกัญชา ปรากฏว่าผมชอบรสเมาของมัน ผมเทียวสูบอยู่ทุกวันตั้งแต่ ม.๕ และก็มีพฤติกรรมขโมยของชิ้นเล็กๆในเซเว่นและร้านสะดวกซื้ออื่นๆ ผมทำมาตั้งแต่ ม.๒ (แล้วสุดท้ายผมถูกจับได้ ทุกครั้งพ่อผมจะเป็นคนไปจ่ายค่าเสียหาย ครั้งแรกผมขี่รถร้องไห้กลับบ้านด้วยความอับอาย สักพักนึงผมก็ขโมยอีก ถูกจับได้ครั้งที่สองผมก็เลิก) ขณะที่ผมตีหน้าเศร้าไหว้ท่านทั้งสองอยู่นั้น ผมกำลังเมากัญชาอยู่ทีเดียว ทุกวันต่อจากนั้นผมก็บ่นและอธิษฐานในใจตลอด ว่าขอให้ปู่กับย่าตายไวๆ

             ไม่นานนักปู่ก็ตาย อีกปีนึงย่าก็ตาย ผมเมาเนื้อบ้าง เหล้าบ้าง มีผู้หญิงคนนึงดูแลผมมาตลอด ทั้งเรื่องเรียน เรื่องซ้อมดนตรี เรื่องข้าวปลาอาหาร เพราะเธอคงหลงผมจริงๆ แต่ผมก็ไม่ได้ล่วงเกินเธอจนเกินงามเพราะใจผมมันหลงรักแต่กัญชา สมัยนั้นผมมีเพื่อนที่สนิทมากอยู่ ๒ คน ขออนุญาตให้ชื่อเล่นจริงๆเลยนะครับคือไอ้เต้กับไอ้เซม ตะลอนเมากัญชากันเรื่อย ตอนนั้นมันสนุกมาก รสเมาของกัญชาตอนอัดเข้าไปมันเอร็ดอร่อยเกินจะบรรยาย แต่ในที่สุดการขี่รถไปมาโดยการซ้อนสามข้ามอำเภอเพื่อไปซื้อเนื้อนั้นมันไม่สนุกซะแล้ว เมื่อตำรวจเริ่มรู้จักพวกเรา จนในที่สุดต่างคนก็ต่างถูกจับและส่งบำบัด ตอนนี้เราสามคนต่างแยกย้ายกันไปมีชีวิตของตัวเอง เต้เป็นคนดังด้วยวาทศิลป์ในแบบของเค้า ส่วนเซมมีธุรกิจกับทางบ้านแล้วก็มีภรรยาหน้าตาน่ารัก ตอนนี้
-เมียเซมน่าจะคลอดลูกสาวแล้ว ผมกับเซมยังคุยกันตลอด ส่วนเต้กับผมก่อนหน้าที่จะไม่คุยกันนั้น เราเคยไปเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งแถวมีนบุรีด้วยกัน แต่เรียนคนล่ะสาขา สุดท้ายผมก็เรียนไม่ได้นานเพราะอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ เป็นผลจากการสูบเนื้อทุกวันวันล่ะหลายครั้ง ผมประสาทหลอนจนเสียสติ เห็นภาพลวงตาและหวาดระแวงอย่างรุนแรง สุดท้ายพ่อกับแม่ผมก็มารับตัวและส่งไปบำบัดที่เชียงใหม่ ผมมารู้อีกทีว่าเต้ก็เรียนต่อไม่ได้เพราะมีปัญหาอะไรสักอย่าง แล้วก็ย้ายไปเรียนที่อื่น หลังจากผมกลับมาจากบำบัดเป็นเวลา ๑ เดือน ผมก็กลับไปสูบอีก ช่วงนั้นแม่ของผมทำงานเกี่ยวกับเสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิงอยู่แถวพระราม ๒ ซึ่งเป็นกิจการของพี่ชายคนล่ะแม่อีกคนหนึ่ง ผมลงไปกรุงเทพฯ ไปอยู่กับแม่ ก็หาเนื้อสูบตลอด แม่ไม่อยู่บ้านก็แอบสูบที่บ้าน แม้ว่าตอนนั้นกัญชาจะเป็นสิ่งผิดกฏหมายและราคาแพงกว่าสมัยนี้มาก แต่ผมก็หามาสูบจนได้ แม่ผมให้เงินผมใช้ตลอด ครั้งละร้อยสองร้อย อยู่มาวันหนึ่งผมก็ขอแม่ไปหาไอ้เต้ วันนั้นเป็นวันสุดท้ายในชีวิตที่ผมเห็นหน้าเพื่อนคนนี้ เพราะผมไม่เห็นใจเต้บ้าง จะเอาแต่ใจตัวเองอย่างเดียว ผมทำตัวไม่ดีใส่เต้เพราะต้องการจะดูดเนื้อ และผมก็ได้อย่างที่ใจต้องการ

              ซึ่งก็เป็นวันเดียวกันที่ผมเสียเพื่อนรักไป เต้ปฏิเสธที่จะเป็นเพื่อนกับผม เรื่องนี้ผมได้ยินมาจากเซม  อยู่มาจนอายุ ๒๐ ปี ผมก็ไปสมัครทหารเรือ ระหว่างรอเรียกตัว มีเวลาประมาณ ๕-๖ เดือน ช่วงนั้นเป็นตอนที่ผมได้เห็นเณรน้อยรูปหนึ่งนั่งสัปหงกขณะทำวัตรเช้าในอินเตอร์เน็ต แรกๆก็ไม่ได้คิดอะไร พอเห็นบ่อยขึ้นผมก็อยากจะไปหาเณรน้อยรูปนั้น เลยคิดว่าระหว่างรอเรียกตัวไปเป็นทหาร ผมน่าจะไปบวชเป็นเณรอยู่กับเด็กน้อยคนนั้น ใช่ครับ ตอนนั้นคิดไว้ว่าจะบวชแค่สามเณร ผมขอพ่อกับแม่ว่าอยากบวช แล้วให้พ่อพาไป แม่ก็ไปด้วย พ่อขับรถมาส่งที่วัด โดยเปิดแผนที่ในโทรศัพท์ จนสุดท้ายก็มาถึง วัดร่มรื่นและบรรยากาศดีมาก มีต้นไม้เยอะจึงทำให้อากาศมีความร่มเย็น ตอนนั้นเวลาประมาณ ๑๐ โมง พระฉันเช้าใกล้จะเสร็จ ผมเดินไปที่หอฉันอย่างใจร้อน บอกความประสงค์แด่ใครก็ตามที่ถามว่าต้องการอะไร ต่างก็พากันบอกว่าให้รอพระอาจารย์ฉันข้าวเสร็จแล้วค่อยไปกราบท่านแล้วจะขอบวชนุ่งบวชเณรก็ว่าไป วันนั้นผู้หญิงทั้งสาวทั้งชรา แต่งชุดผ้าไหมสวยๆเต็มไปหมด มีผู้หญิงคนหนึ่ง อายุประมาณ ๔๐ ปลายๆ หน้าตาดีรูปร่างสวย เดินมาบอกกับพ่อแม่ผมว่าจะสนับสนุนให้ผมได้บวชให้สมความตั้งใจ ผู้หญิงคนนั้นชื่อคุณเอื้อย ผมจำได้ดี เธอให้แบงค์พันมา ๔ ใบ แล้วก็โมทนาสาธุที่ผมเดินทางมาไกลเพื่อจะบวช ผมสวัสดีใครบ้างก็ไม่รู้ผมจำได้ไม่หมด แต่ผมทำด้วยคาราวะและความนอบน้อม จิตใจตอนนั้นเต็มไปด้วยความกังวลที่ไม่รู้สาเหตุ (เพราะมีสารหลอนประสาทอยู่ในสมองด้วยสิ ความนึกคิดก็ไม่ปกติ แต่ไม่มีใครรู้เลยครับนอกจากพ่อแม่) และในที่สุดผมก็ได้พบกับพระอาจารย์ กราบท่านเสร็จก็บอกความจำนงค์ ท่านว่า "อายุถึงแล้ว บวชพระไปเลย จะไปบวชเป็นเณรทำไม!? ไป! โกนหัว!" ผมก็รับคำ แล้วก็กราบท่าน

ตอนที่โกนหัวอยู่นั่นเอง เป็นครั้งแรกที่ผมเจอกับเณรน้อยจอมสัปหงก น้องชื่อกร น้องเณรเอาด้ามมีดโกนที่ยังไม่ได้แกะออกจากซองมาเขี่ยหัวนมข้างขวาของผม เหมือนจะทดสอบ ผมก็ดูความรู้สึกที่โดนเขี่ย ในใจผมดีใจมากๆเลยครับ แต่ผมแสดงอาการนิ่งสงบ ตั้งแต่วันนั้นผมรู้สึกผูกพันกับเณรน้อยองค์นี้มากๆ

วัดนี้นิกายธรรมยุติ ต้องเป็นนาคจนถึงวันบวช และระหว่างนั้นก็ฝึกท่องขานนาคให้คล่อง ซึ่งเป็นเรื่องไม่ยากนักสำหรับผม พอโกนหัวนุ่งผ้าขาวเสร็จผมก็ลาพ่อกับแม่ บอกให้ท่านสองคนกลับ ถึงวันบวชค่อยเดินทางมาอีกครั้ง
ช่วง ๗ วันแรกตอนเป็นนาค ผมถือศีล ๘ ได้ไม่บกพร่อง แต่แล้วกิเลสมันก็เกลี้ยกล่อมผมให้ต้องเป็นผู้สกปรกในที่สุด มีคำกล่าวว่าผู้ที่ยังใคร่ในกามคุณย่อมทำลายพุทธบุตรด้วยมือของตน ใช่ครับ ผมศีลขาดตั้งแต่ยังไม่บวช ที่ร้ายที่สุดคือแม้มีความกลัวบาป และรู้ว่าเป็นการกระทำผิด แต่ผมก็ยังบ้าไม่หยุด ผมช่วยตัวเองเกือบทุกวันและเหมือนกิเลสของผมจะคอยยุยงและทำขวัญให้ในตัวทุกครั้ง ในทำนองว่าไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรหรอก ไม่คิดจะใส่ใจเลยว่ามันเป็นเรื่องผิดหรือกริ่งเกรงว่ากรรมนี้จะส่งผลอย่างไร

(ทำใจหน่อยนะครับ วางใจให้เป็นกลาง นี่คือความร้ายกาจของอวิชชาในผู้ชายคนหนึ่ง ถือเสียว่าเป็นการเสริมสร้างวิสัยทัศน์ของท่าน ขอบคุณที่อ่านมาถึงตอนนี้นะครับ)

ผมเป็นนาคอยู่ประมาณค่อนเดือนก็ได้บวช การบวชของผมนั้นไม่ราบรื่นนัก เพราะผมสติสัมปชัญญะฟั่นเฝือหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ไปแสดงอภินิหารให้พระอุปัชฌาย์ท่านตกใจ คือผมทำยึกยักอะไรของผม ผมก็ไม่เข้าใจ นั่งท่าเทพบุตรไหว้อยู่ขณะขานนาค ยกเข่าซ้ายลอยเหนือพื้น แล้วก็กระแทกพรม เสียงดัง ปุ่ก! เข่าซ้ายลง ยกเข่าขวากระแทก ผุ่ก! พระชราที่เป็นอุปัชฌาย์ถึงกับแสดงอาการผงะเล็กๆ พระอาจารย์ที่เป็นคู่สวดท่านเห็นอาการยิ้มเข้าท่านก็โกรธผม ท่านคงโมโหมาก พอเสร็จพิธีพระเถระที่เป็นคู่สวดที่ผมพูดถึงท่านก็ทำท่าจะลงไม้ลงมือกับผม ท่านโกรธจนตัวแดง พอท่านเห็นว่าผมหงอไป ท่านก็ระงับลง หน้าคอจากแดงๆก็กลับมาขาวผ่องเหมือนเดิม ท่านเป็นคนสอนผมกับพระใหม่ที่บวชวันนั้นให้นุ่งสบง สอนพับผ้าเก็บให้ถูกวิธี พอพระใหม่ทำท่านุ่งสบงท่านก็คอยมอง ท่านเห็นผมคล่องกว่าเพื่อน ท่านก็ชื่นชม สุดท้ายท่านก็หายโมโห และก็ไม่ได้เตะผมอย่างที่ท่านพูดว่าจะทำ ผมมีความเคารพรักท่านมากครับ ท่านชื่อพระอาจารย์อุ้ย ส่วนพระอาจารย์คู่สวดอีกรูปที่ผมพบตอนมารอท่านฉันข้าว ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ ชื่อพระอาจารย์อำนวย ผมบอกไม่ถูกว่าผมรู้สึกอย่างไรกับท่าน มันก็ไม่ซับซ้อนแต่ผมอธิบายไม่ถูก รักก็ไม่ได้รักท่าน จะชังก็ไม่ เฉยๆก็ไม่ใช่ ใจมันมีความรู้สึกกับท่านว่า "อะไรสักอย่าง" แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร (ไม่ได้สงสัยหรือนึกปรามาสอะไรท่านนะครับ ผมอธิบายไม่ถูกจริงๆ) แต่ในใจก็รู้ดีว่าท่านคือที่พึ่งของคนจำนวนมาก รวมทั้งผมด้วย และท่านเป็นพระผู้ใหญ่ ผมจึงเชื่อฟังและคอยช่วยเหลือเมื่อท่านเรียกใช้ ทำหน้าที่การงานต่างๆที่เห็นสมควร เช่นขับรถขนขยะไปทิ้งที่บ่อขยะ ช่วยยกของหนัก เป็นต้น

             ทว่าผมนั้นช่างโง่เขลาและมืดบอดเกินกว่าจะตระหนักรู้ในความสำคัญของเพศสมณะ ผมยังคึกคะนองในเพศ ในวัย และในความไม่มีโรค ผมปฏิบัติธรรมะก็ทำด้วยใจที่ยังสงสัย ที่จะรู้สึกตัวจริงๆนั้นน้อยมาก ด้วยตัวผมเป็นคนมักง่ายและโลเล ผมจึงทั้งสูบบุหรี่ ฉันวันล่ะมากๆไม่ใช่แค่มื้อเดียว และสำเร็จความใคร่ด้วยมือ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่