
- โดยรวมนอกจากสมการรอคอยว่าเป็นผลงานหนังที่มีความยาวกว่าทุกเรื่องที่ผ่านมาถึง 1 ชั่วโมง 45 นาทีแล้วขอชมว่าคุณโจ๊กคือผู้กำกับที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวที่เคยหรือกำลังเกิดขึ้นทางหน้าประวัติศาสตร์การเมืองได้คงเส้นคมความนัยใจเหมือนเช่นเคยแถมการยกระดับครั้งนี้เป็นที่ยืนยันอีกว่าสามารถเทียบเคียงกับหนังร่วมรุ่นที่ฉายในโรงไปก่อนหน้านี้อย่าง มันดาลา (2567) หรือ The Lost Princess (2568) ได้อย่างภูมิใจว่าคุณโจ๊กคือดาวดวงใหม่ของวงการภาพยนตร์ที่กำลังฉายแสงให้ทั่วโลกค่อย ๆ รู้จักในวงกว้าง เพียงแค่เห็นวิธีการเล่าในลักษณะนี้มาก็ถึงบางอ้อว่านี่คือผลงานของใคร ? ถึงบางเรื่องไม่ได้แตะประเด็นทางการเมืองถึงรากถอนโคนแต่สารที่ไหลมาไม่ปฏิเสธว่ามันคือเรื่องใกล้ตัวที่พบเจออยู่ทุกวัน แล้วการมาของผลงานหนังเรื่องล่าสุดนี้ก็ดันเข้าถูกจังหวะในช่วงสถานการณ์ที่กำลังเป็น Talk of the Town ตามหน้า Feed Social อย่างข่าวไทย-กัมพูชาจนไปกลบข่าวน้ำท่วมจังหวัดน่านที่กำลังเกิดขึ้นกระทั่งข่าว 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่ยังเลี้ยงไข้มานานหลายปีไปซะสนิททั้งที่เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน
- ระหว่างดูเผลอวูบไป 2 ช่วงใหญ่ ๆ แล้วจำไม่ได้ว่าสติดับตอนไหนหรือฟื้นกี่โมง ? แต่กระนั้นได้แอบยิ้มที่มุมปากเพราะได้ดูก่อนแล้วรอบนึงเลยพอจำได้แบบรวบยอดอยู่ว่าตัวหนังจะเริ่มต้นด้วยการเกริ่นนำถึง Topic ที่จ่าหัวไว้ให้ทราบเบื้องต้นผ่านคำบรรยายผสมกับ Footage แต่ละเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ว่า คอมมิวนิสต์ คืออะไร ? มีความเป็นมายังไง ? ก่อนจะพาเราเข้าสู่พิธีการสำคัญของหนังแนวนี้คือการสัมภาษณ์บุคคลที่เคยเข้าร่วมหรือเกี่ยวข้องในเหตุการณ์เป็น Case Study ราว 4-5 คน โดยแต่ละ Case จะเป็นบุคคลใกล้ชิดและบุคคลที่คุณโจ๊กขอเชิญมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ย้อนรอยประวัติศาสตร์การเมือง โดยผู้เปิด Floor ก่อนไม่ใช่ใครที่ไหนก็คือคุณพ่อของคุณโจ๊กในฐานะบุคคลใกล้ชิดที่เคยเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์และเป็นผู้จุดประกายให้มากำกับเรื่องนี้ด้วยวิธี Q & A ไปมาพร้อมกับชม Activity ส่วนตัวของบุคคลที่กำลังถูกสัมภาษณ์ด้วยบรรยากาศสมถะเอนไปทางเชิญการท่องเที่ยวโดยมีเสียงคุณโจ๊กรับหน้าที่ถามเสมือนเป็นตัวแทนคนดูได้รับรู้เรื่องราวและประสบการณ์ที่แต่ละท่านประสบมา
- ถึงไม่ได้เข้าใจทุกอย่างเพราะเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลกระทั่งสำเนียงใต้ที่ฟังกี่ทีก็ยังลำบากต่อการแกะคำพูดอยู่เช่นเคยแต่ทั้งนี้พอคิดภาพตามได้อยู่ว่าสภาวะช่วงก่อนปี พ.ศ. 2523 หรือ ช่วงที่ยุคคอมมิวนิสต์กำลังขยายอำนาจไปทั่วเอเชียรวมถึงบ้านเรานั้นเป็นอย่างไร ? ระหว่างนั้นก็ได้เกิดเหตุการณ์อื่นแทรกจนสัมผัสได้ถึงกลิ่นสงครามที่กำลังปะทุ ด้วยเพราะในช่วงเว้นจากการสัมภาษณ์ก่อนจะส่งไม้ต่อไป Case ถัดไปได้มีการนำ Footage แต่ละเหตุการณ์ อาทิ 6 ตุลา 19 ก็ดี หรือ เหตุการณ์ถังแดง เป็นต้น ที่ผมเห็นแล้วชูถึงกับซูฮกด้วยความตื่นตาว่าไปสรรหามาจากไหน ? ช่วยทำให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือแล้วยังสามารถอ้างอิงต่อการหยิบมาต่อยอดเป็นกรณีศึกษา
- แม้สังเกตุถึงความไม่ต่อเนื่องของ Timeline ที่ไม่ได้เรียงตามลำดับทุกกระเบียดนิ้วจนเกิดความสับสนนิด ๆ ว่าอันไหนเกิดก่อนเกิดหลัง ทั้งที่ได้จ่าหัวไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและการนำเสนอที่มีมุมมองของผู้ถูกกระทำแต่ไม่เห็นมุมมองของผู้กระทำที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามเลยกลายเป็นว่าเหมือนเป็นการฟังความข้างเดียวที่แน่นอนว่ายังไงต้องเห็นใจฝ่ายที่ถูกกระทำอยู่แล้วในเมื่อพวกเขาคือผู้ถูกกระทำจากอีกฝ่ายที่มีอำนาจเหนือกว่ากฎหมาย แต่ถ้าได้คนที่เคยอยู่ฝ่ายตรงข้ามมาสัมภาษณ์ด้วยจะเห็นมุมมองและประสบการณ์หลากหลาย Layers ทั้ง 2 ฝ่ายขึ้นว่าทำไมคอมมิวนิสต์ถึงเป็นภัยใหญ่หลวงที่อีกฝ่ายพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อสกัดการขยายอำนาจตามทฤษฎีโดมิโน ? บลา ๆ
- อีกมุมนึงก็ไม่ติดใจใด ๆ ในจุดที่เอ๊ะต่อและคิดว่าแต่ละเหตุการณ์มันผ่านมานานแล้ว นับนิ้วดูว่าห่างกันกี่ปี ไม่มีใครจำได้หมด หรือ จำได้ก็คงไม่อยากพูดออกไปโดยเฉพาะเรื่องที่เป็นปมฝังใจที่นึกทีไรก็ยิ่งเจ็บปวดทุกทีกับสิ่งที่เคยทำไปมันเลยมีเหตุผลรองรับจุดบกพร่องนี้อยู่เมื่อสังเกตุว่ามีการใช้สีแดงเป็นสัญญะแทรกมาตั้งแต่เห็นใน Poster แต่ทั้งนี้หลังจากดูจบแล้วทบทวนกับความคิดของตนเองจึงตระหนักว่าไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ตราบใดที่ระบอบยังเป็นแบบนี้อยู่ก็จะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่เคยเกิดขึ้นมาให้เรานั่งถกนั่งถอดบทเรียนจากความสูญเสียที่มิอาจประเมินค่าความเสียหายที่ลามไปทุกอณูเพียงเพราะอุดมการณ์ที่ต่างและหาทาง CO กันไม่ได้จนสีข้างถลอกหมดทั้งแถบอยู่อย่างนี้ต่อไปไม่รู้จบ
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ : EMistique
No.163 When my Father was a Communist : เมื่อพ่อผมเป็นคอมมิวนิสต์ (2568) กำกับโดย Vichart Somkaew
- โดยรวมนอกจากสมการรอคอยว่าเป็นผลงานหนังที่มีความยาวกว่าทุกเรื่องที่ผ่านมาถึง 1 ชั่วโมง 45 นาทีแล้วขอชมว่าคุณโจ๊กคือผู้กำกับที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวที่เคยหรือกำลังเกิดขึ้นทางหน้าประวัติศาสตร์การเมืองได้คงเส้นคมความนัยใจเหมือนเช่นเคยแถมการยกระดับครั้งนี้เป็นที่ยืนยันอีกว่าสามารถเทียบเคียงกับหนังร่วมรุ่นที่ฉายในโรงไปก่อนหน้านี้อย่าง มันดาลา (2567) หรือ The Lost Princess (2568) ได้อย่างภูมิใจว่าคุณโจ๊กคือดาวดวงใหม่ของวงการภาพยนตร์ที่กำลังฉายแสงให้ทั่วโลกค่อย ๆ รู้จักในวงกว้าง เพียงแค่เห็นวิธีการเล่าในลักษณะนี้มาก็ถึงบางอ้อว่านี่คือผลงานของใคร ? ถึงบางเรื่องไม่ได้แตะประเด็นทางการเมืองถึงรากถอนโคนแต่สารที่ไหลมาไม่ปฏิเสธว่ามันคือเรื่องใกล้ตัวที่พบเจออยู่ทุกวัน แล้วการมาของผลงานหนังเรื่องล่าสุดนี้ก็ดันเข้าถูกจังหวะในช่วงสถานการณ์ที่กำลังเป็น Talk of the Town ตามหน้า Feed Social อย่างข่าวไทย-กัมพูชาจนไปกลบข่าวน้ำท่วมจังหวัดน่านที่กำลังเกิดขึ้นกระทั่งข่าว 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่ยังเลี้ยงไข้มานานหลายปีไปซะสนิททั้งที่เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน
- ระหว่างดูเผลอวูบไป 2 ช่วงใหญ่ ๆ แล้วจำไม่ได้ว่าสติดับตอนไหนหรือฟื้นกี่โมง ? แต่กระนั้นได้แอบยิ้มที่มุมปากเพราะได้ดูก่อนแล้วรอบนึงเลยพอจำได้แบบรวบยอดอยู่ว่าตัวหนังจะเริ่มต้นด้วยการเกริ่นนำถึง Topic ที่จ่าหัวไว้ให้ทราบเบื้องต้นผ่านคำบรรยายผสมกับ Footage แต่ละเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ว่า คอมมิวนิสต์ คืออะไร ? มีความเป็นมายังไง ? ก่อนจะพาเราเข้าสู่พิธีการสำคัญของหนังแนวนี้คือการสัมภาษณ์บุคคลที่เคยเข้าร่วมหรือเกี่ยวข้องในเหตุการณ์เป็น Case Study ราว 4-5 คน โดยแต่ละ Case จะเป็นบุคคลใกล้ชิดและบุคคลที่คุณโจ๊กขอเชิญมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ย้อนรอยประวัติศาสตร์การเมือง โดยผู้เปิด Floor ก่อนไม่ใช่ใครที่ไหนก็คือคุณพ่อของคุณโจ๊กในฐานะบุคคลใกล้ชิดที่เคยเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์และเป็นผู้จุดประกายให้มากำกับเรื่องนี้ด้วยวิธี Q & A ไปมาพร้อมกับชม Activity ส่วนตัวของบุคคลที่กำลังถูกสัมภาษณ์ด้วยบรรยากาศสมถะเอนไปทางเชิญการท่องเที่ยวโดยมีเสียงคุณโจ๊กรับหน้าที่ถามเสมือนเป็นตัวแทนคนดูได้รับรู้เรื่องราวและประสบการณ์ที่แต่ละท่านประสบมา
- ถึงไม่ได้เข้าใจทุกอย่างเพราะเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลกระทั่งสำเนียงใต้ที่ฟังกี่ทีก็ยังลำบากต่อการแกะคำพูดอยู่เช่นเคยแต่ทั้งนี้พอคิดภาพตามได้อยู่ว่าสภาวะช่วงก่อนปี พ.ศ. 2523 หรือ ช่วงที่ยุคคอมมิวนิสต์กำลังขยายอำนาจไปทั่วเอเชียรวมถึงบ้านเรานั้นเป็นอย่างไร ? ระหว่างนั้นก็ได้เกิดเหตุการณ์อื่นแทรกจนสัมผัสได้ถึงกลิ่นสงครามที่กำลังปะทุ ด้วยเพราะในช่วงเว้นจากการสัมภาษณ์ก่อนจะส่งไม้ต่อไป Case ถัดไปได้มีการนำ Footage แต่ละเหตุการณ์ อาทิ 6 ตุลา 19 ก็ดี หรือ เหตุการณ์ถังแดง เป็นต้น ที่ผมเห็นแล้วชูถึงกับซูฮกด้วยความตื่นตาว่าไปสรรหามาจากไหน ? ช่วยทำให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือแล้วยังสามารถอ้างอิงต่อการหยิบมาต่อยอดเป็นกรณีศึกษา
- แม้สังเกตุถึงความไม่ต่อเนื่องของ Timeline ที่ไม่ได้เรียงตามลำดับทุกกระเบียดนิ้วจนเกิดความสับสนนิด ๆ ว่าอันไหนเกิดก่อนเกิดหลัง ทั้งที่ได้จ่าหัวไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและการนำเสนอที่มีมุมมองของผู้ถูกกระทำแต่ไม่เห็นมุมมองของผู้กระทำที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามเลยกลายเป็นว่าเหมือนเป็นการฟังความข้างเดียวที่แน่นอนว่ายังไงต้องเห็นใจฝ่ายที่ถูกกระทำอยู่แล้วในเมื่อพวกเขาคือผู้ถูกกระทำจากอีกฝ่ายที่มีอำนาจเหนือกว่ากฎหมาย แต่ถ้าได้คนที่เคยอยู่ฝ่ายตรงข้ามมาสัมภาษณ์ด้วยจะเห็นมุมมองและประสบการณ์หลากหลาย Layers ทั้ง 2 ฝ่ายขึ้นว่าทำไมคอมมิวนิสต์ถึงเป็นภัยใหญ่หลวงที่อีกฝ่ายพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อสกัดการขยายอำนาจตามทฤษฎีโดมิโน ? บลา ๆ
- อีกมุมนึงก็ไม่ติดใจใด ๆ ในจุดที่เอ๊ะต่อและคิดว่าแต่ละเหตุการณ์มันผ่านมานานแล้ว นับนิ้วดูว่าห่างกันกี่ปี ไม่มีใครจำได้หมด หรือ จำได้ก็คงไม่อยากพูดออกไปโดยเฉพาะเรื่องที่เป็นปมฝังใจที่นึกทีไรก็ยิ่งเจ็บปวดทุกทีกับสิ่งที่เคยทำไปมันเลยมีเหตุผลรองรับจุดบกพร่องนี้อยู่เมื่อสังเกตุว่ามีการใช้สีแดงเป็นสัญญะแทรกมาตั้งแต่เห็นใน Poster แต่ทั้งนี้หลังจากดูจบแล้วทบทวนกับความคิดของตนเองจึงตระหนักว่าไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ตราบใดที่ระบอบยังเป็นแบบนี้อยู่ก็จะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่เคยเกิดขึ้นมาให้เรานั่งถกนั่งถอดบทเรียนจากความสูญเสียที่มิอาจประเมินค่าความเสียหายที่ลามไปทุกอณูเพียงเพราะอุดมการณ์ที่ต่างและหาทาง CO กันไม่ได้จนสีข้างถลอกหมดทั้งแถบอยู่อย่างนี้ต่อไปไม่รู้จบ
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ : EMistique