ระบบ SWIFT คือระบบโอนเงินระหว่างประเทศที่ธนาคารใช้กันมานาน แต่มีจุดอ่อนคือ ช้า และ แพง ซึ่งต่างจาก Cryptocurrency ที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ทำให้การโอนเงินมีข้อดีที่เหนือกว่าดังนี้
1. รวดเร็วทันใจ การโอนเงินผ่าน SWIFT อาจใช้เวลาหลายวัน แต่การใช้ Cryptocurrency จะใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที เพราะไม่ต้องผ่านธนาคารตัวกลางหลายแห่ง
2. ค่าธรรมเนียมถูก SWIFT มีค่าธรรมเนียมสูงเพราะต้องจ่ายให้ธนาคารตัวกลาง แต่การโอนด้วย Cryptocurrency มีค่าธรรมเนียมต่ำกว่ามาก
3. เข้าถึงง่าย SWIFT เข้าถึงได้เฉพาะคนที่มีบัญชีธนาคาร แต่ Cryptocurrency เปิดโอกาสให้ทุกคนที่มีมือถือและอินเทอร์เน็ตสามารถทำธุรกรรมได้
4. ปลอดภัยและโปร่งใส ธุรกรรมบนบล็อกเชนถูกเข้ารหัสและกระจายไปทั่วเครือข่าย ทำให้ปลอดภัยและตรวจสอบได้ง่ายกว่าระบบ SWIFT ที่มีความทึบในหลายขั้นตอน
5. ไม่ถูกควบคุมโดยรัฐบาล SWIFT สามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการคว่ำบาตรได้ แต่เครือข่ายบล็อกเชนเป็นแบบกระจายอำนาจ ทำให้ไม่สามารถถูกควบคุมหรือปิดกั้นได้ง่ายๆ
สรุปแล้ว Cryptocurrency ตอบโจทย์โลกยุคใหม่ที่ต้องการความเร็ว ประสิทธิภาพ และความอิสระทางการเงิน ทำให้มีโอกาสสูงที่จะเข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ที่เหนือกว่าระบบ SWIFT ในอนาคต
ทำไม Cryptocurrency อาจจะมาแทนที่ SWIFT ในอนาคต
1. รวดเร็วทันใจ การโอนเงินผ่าน SWIFT อาจใช้เวลาหลายวัน แต่การใช้ Cryptocurrency จะใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที เพราะไม่ต้องผ่านธนาคารตัวกลางหลายแห่ง
2. ค่าธรรมเนียมถูก SWIFT มีค่าธรรมเนียมสูงเพราะต้องจ่ายให้ธนาคารตัวกลาง แต่การโอนด้วย Cryptocurrency มีค่าธรรมเนียมต่ำกว่ามาก
3. เข้าถึงง่าย SWIFT เข้าถึงได้เฉพาะคนที่มีบัญชีธนาคาร แต่ Cryptocurrency เปิดโอกาสให้ทุกคนที่มีมือถือและอินเทอร์เน็ตสามารถทำธุรกรรมได้
4. ปลอดภัยและโปร่งใส ธุรกรรมบนบล็อกเชนถูกเข้ารหัสและกระจายไปทั่วเครือข่าย ทำให้ปลอดภัยและตรวจสอบได้ง่ายกว่าระบบ SWIFT ที่มีความทึบในหลายขั้นตอน
5. ไม่ถูกควบคุมโดยรัฐบาล SWIFT สามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการคว่ำบาตรได้ แต่เครือข่ายบล็อกเชนเป็นแบบกระจายอำนาจ ทำให้ไม่สามารถถูกควบคุมหรือปิดกั้นได้ง่ายๆ
สรุปแล้ว Cryptocurrency ตอบโจทย์โลกยุคใหม่ที่ต้องการความเร็ว ประสิทธิภาพ และความอิสระทางการเงิน ทำให้มีโอกาสสูงที่จะเข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ที่เหนือกว่าระบบ SWIFT ในอนาคต