รีวิวชีวิต ในวัย 40 ปี ... ที่กำลังจะ “ว่างงาน” ตลอดชีวิต!!!

“คนขี้เกียจ ที่ต้องขยันทำงานอย่างหนัก เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งความขี้เกียจไปตลอดชีวิต”
.
เป็นประโยคที่สรุปใจความของชีวิตผมได้ครบถ้วนที่สุดแล้ว .... ประโยคนี้ผมเขียนไว้เมื่อเกือบ 10 ปีก่อน ในบทความที่ชื่อว่า
แชร์เรื่องราว 12 ปี ของการตามหา Passive Income!!!
.
ผมเขียนเล่าเรื่องราวแนวความคิดของผมไว้ใน Pantip เยอะมาก ขอบคุณ Pantip อีกครั้งที่ทำให้ผมได้มีพื้นที่ในการเล่าเรื่อง ได้พิมพ์เรื่องราวเหล่านี้ .... ในฐานะ คนที่เขียนเรื่องราวที่นี่มานาน ตามอ่านเรื่องราวต่างๆนับสิบๆปี เรียกได้ว่าเติบโตอยู่ที่นี่ก็คงไม่ผิดนัก .... วันนี้ผมอยากจะบอกทุกท่านว่าผมถึงจุดหมายแล้ว ผมทำสำเร็จแล้ว ผมกำลังจะสมัครใจว่างงานไปตลอดชีวิต!!! ..... ชีวิตที่ผ่านมามีเรื่องเล่ามากมายครับ บทนี้ผมจะขอสรุปชีวิตในวัย 40 ปีของผมให้ฟังครับ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเรื่องราวของผมน่าจะจุดประกายความคิดให้หลายๆท่านได้บ้าง รวมถึงตระหนึกถึงเรื่องราวความผิดพลาดต่างๆที่ผมได้ประสบพบเจอมา
.
40 ปี ในชีวิตของผม แบ่งออกเป็น 3 ช่วงหลักๆ .... ค้นหา ทดลอง และ ทบทวน
.
.
.
ช่วงแรกของชีวิต .... ช่วงค้นหาตัวตน
.
เป็นช่วงสำคัญของชีวิตที่หลายคนมองข้าม ผมอยากจะบอกว่าถ้า เราไม่ชัดเจนกับชีวิต ไม่รู้จักตัวตน ไม่รู้ว่าเราต้องการอะไรจริงๆในชีวิต เราจะถูกกระแสของโลกพัดพาเราไปอย่างไร้จุดหมาย เดินวนอยู่ในพายุทะเลทรายที่ไร้ทางออก
.
การค้นหาตัวตนเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะ จะทำให้เรามีจุดมุ่งหมายในชีวิต ไม่ไขว้เขวโดยง่าย ... การค้นหาตัวตนเป็นกระบวนการทางความคิดที่สำคัญ แต่ต้องยอมรับว่าไม่ง่ายที่จะค้นหามัน ... ส่วนตัวผม ผมมีจุดพลิกผันในชีวิตตั้งแต่อายุไม่มาก ผมจะชีวิตช่วงนี้ในช่วงนี้ของให้ฟังครับ
.
.
คุณพ่อคุณแม่ผมรับราชการครับ พ่อเป็นตำรวจชั้นประทวน แม่เป็นพยาบาล ปกติอาศัยอยู่ในอำเภอเมือง แต่ปิดเทอมจะถูกส่งไปต่างจังหวัดกับยายที่เป็นชนบทที่ไม่มีอะไรเลยแม้กระทั่งไฟฟ้า ชีวิตวัยเด็กก็ดำเนินเรื่อยมากับ วิถีเมืองสลับกับวิถึเมือง ... เริ่มทำงานตั้งแต่ประถม งานชิ้นแรกๆที่ทำเป็นงานรับจ้างเกี่ยวกับเกษตรทำระหว่างปิกเทอม ใส่ปุ๋ย หักสัปปะรด เก็บพุธทรา ได้ค่าจ้างแบบเด็กๆ โตมาหน่อยก็เริ่มขายของกับพี่ชาย รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรไปขายโรงงาน เปิดเทอมก็กลับมาเรียน
.
มัธยมต้นผมจับฉลากได้โควต้านักเรียนบ้านใกล้ได้เรียนโรงเรียนประจำจังหวัด ... จบ ม.ต้น ขอแม่ไปเรียน ปวช.สายช่างแม่ไม่อนุมัติ เลยต่อ ม.ปลาย แบบมีเงื่อนไข ... ถ้าผม เอ็นทราซ์ ติดมหาวิทยาลัยของรัฐ แม่อนุญาติให้ผมเลือก คณะ และ มหาวิทยาลัยได้เอง ... มันก็มีแรงฮึด ตั้งใจตั้งใจทำอะไรจริงๆจังครั้งแรก นั่นคือการ อ่านหนังสือ
.
สรุปผมสอบติด คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
.
มันเหมือนจะไปได้สวยใช่มั้ยครับ แต่เปล่าเลย ผลการเรียนผมแย่มาก จบปี 1 ด้วย เกรดสองเทอมเฉลี่ยไม่ถึง 2.00 ติดโปรฯ รอรีไทร์ ติดเหล้า ติดเกมส์ ติดการพนัน ทะเลาะวิวาท ฯลฯ ... ชึ้น ปี 2 ก็เอาต่อไม่ต่างจากเดิม มันก็ไม่ต่างเพราะ ใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ผลลัพธ์มันก็ออกมาแบบเดิมๆ
.
ในช่วงชีวิตไร้หลัก ทำตัวเป็นไม้หลักปักขี้เลน ไม่เป็นโล้เป็นพาย ... ผมรู้เพื่อนอยู่คนหนึ่ง ตอนกิจกรรมก่อนเข้าปี 1 เราสนิทกันได้อย่างรวดเร็วเพราะผมมาจาก ชลบุรี เขามาจาก กทม. เราพูดภาษากลาง ... ความคิดเขาโตเป็นผู้ใหญ่กว่าผมเยอะ และ จุดเปลี่ยนคือ เราชอบเที่ยวป่าเขาลำเนาไพร
.
เดินอยู่คนเดียวที่แทบไม่ได้คุยกันเป็นชั่วโมงๆ กลางคืนก็เงียบสงัด  ... มันเป็นจุดเปลี่ยน ที่ทำให้ผมเริ่มคุยกับตัวเอง เริ่มตั้งคำถามชองชีวิต ... นี่กูกำลังทำอะไรอยู่ว่ะเนี่ย!?
 .

ถาพนี้น่าจะ ถ่ายที่พะเนินทุ่ง แก่งกระจาน ผมนั่งรถเมล์ กับ โบกรถไปกับเพื่อน 2 คน ในราวๆปี 2549-2550 (บทความในภาพ มาเขียนย้อนตาม หลังจากที่เริ่มคิดได้แล้ว)
.
หลังจากฉุกคิดครั้งแรก มันใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะตกผลึกจริงๆ .... ผมไม่ได้อยากเก่ง หรือ อยากมั่งมีมากมายอะไร ผมแค่ไม่อยากเป็นภาระใคร ชีวิตที่ไม่เป็นโล้เป็นพายแบบที่เป็นอยู่ อย่าว่าแต่ดูแลคนอื่นเลย ตอนนั้น แค่ดูแลตัวเองคนเดียวยังทำไม่ได้!!
.
พอเริ่มตั้งคำถาม ก็เริ่มคิด ก็เรมแสวงหาแนวทาง เริ่มอยากประสบความทำเร็จ อยากเก่ง อยากมีเงินมากๆ ... อยากรู้ก็ต้องศึกษา การศึกษาที่ดีที่สุดในตอนนั้นคือ การอ่านหนังสือ .... อ่าน อ่าน อ่าน อ่านหนังสือ ที่จะทำให้ ผมมุ่งไปในเส้นทางอยากไปได้
.
หลังจากเริ่มคิดได้ ผมก็ประคับประคองตังเองให้เรียนจนจบ วิศวฯ มข. กว่าจะเรียนจบก็ป่าเข้าไป 5 ปี เกรดเฉลี่ยจบ ก็ 2.1x (ถ้าจำไม่ผิด) แต่ก็วิชาทางการเงินติดตัวมาด้วย จากการศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเอง ได้เรียนรู้เรื่องการเงิน การลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ รวมถึงการทำธุรกิจ
.
ค้นหาตัวต้น ตั้งเป้าหมายกับชีวิต ... ผมเรียนจบมา มาเป็นพนักงานประจำใหม่ ผมเล่าความฝันอันห่างไกลของผมให้ แม่ผมฟัง ว่าในสักวันผมจะไปเที่ยวรอบโลก ผมสุดโต่งจนถึงขั้นทะเลาะกับแม่ผมด้วยซ้ำถึงความฝันลมๆแล้งๆนี้ เพราะ ณ ตอนนั้น นอกจากจะดูเลื่อนลอยในสายตาผู้ใหญ่แล้วมันยังดูเหมือนจะเป็นตัวฉุดรั้งของชีวิตอีกด้วย!!!
.
มันไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นที่จะทำอะไรสักอย่าง ... ถ้ายังไม่รู้จะเริ่มอะไร แนะนำเริ่มจากการตั้งคำถามกับชีวิตครับ ตั้งคำถามเชิงบวก แบบไม่ตัดพ้อต่อชีวิต เพราะ มันไม่มีประโยชน์ที่จะหวดคิดถึงวันเก่าที่ผ่านมา สำหรับผมอะไรเกิดขึ้นแล้วดีเสนอ ดึชั่วอยู่ที่ตัวทำ ถ้าทำไปแล้วจงยอมรับมันแล้วเดินต่อ ตั้งคำถามเราอยู่ตรงไหน เป็นมีดีอะไร เป็นอะไร จุดหมายอยากจะไปไหน ต้องทำอย่างไรถึงจะไปถึงจุดนั้นได้ ถ้าได้คำตอบแล้ว จะทำได้หรือไม่ได้ ขึ้นอยู้กับ คำนี้ ความหนักแน่น และ ความตั้งใจ ที่คุณมี!!!
.
.
.
ช่วงที่สองของชีวิต ... ช่วงทดลอง ลงมือทำ
.
ยิ่งทดลองเยอะ ยิ่งมีประสบการณ์ ท่านใดผ่านชีวิตมาโชกโชนยิ่งดี เพราะ จะทำให้เราตกผลึกสิ่งที่เราชอบ เราถนัด และ ทำให้เราไปถึงจุดหมายได้
.
แนวคิดของผมคือ ผมอยากมี Passive Income ที่มากพอต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ... ภาพนี้ผมทำขึ้นเพื่อประกอบบทความที่ผมเขียน ซึ่งมันอธิบายแนวทางของผมได้ดีที่สุด

 
 
ข้อความตัดมาจากบทความเก่าที่เขียนไว้
.
“ถ้าเราทุกคนมีเงินทุนอยู่สัก 20 ล้าน และ ทำผลตอแทนจากเงินปันผลได้ 5% เราก็จะได้เงิน 1,000,000 บาทต่อปี หรือมีเงินใช้ 83,333 บาทต่อเดือนไปตลอดโดยที่เงินต้นไม่หดหาย … ซึ่ง ถ้าเงิน 83,333 บาท นี้มากกว่ารายจ่าย นั่นก็หมายความว่า เรามีอิสรภาพทางการเงินแล้ว เย้ๆๆๆ ... ง่ายมากถ้าพูดแบบนี้ แต่ถ้าผมเปลี่ยนคำถามเป็น เราจะหาเงิน 20 ล้านนั้นมาจากไหน? ตอบโค ต ร ยากเลย ถ้าผมถามแบบนี้”
.
จากประโยคนี้ พิจาณาได้ 2 แบบ คือ
1. ทำยังไงให้มีเงิน 20 ล้านเพื่อมาลงทุน
2. ทำอย่างไรให้มีรายได้ 83,333 ไปตลอดชีวิต
.
ไม่ยากครับ คำตอบของผมชัดเจน ตอบแบบกำปั้นทุบดินเลย ... ทำงานครับ
.
ทำให้มาก มากขึ้น มากขึ้นๆๆๆ เหมือนหนูถีบจักรในวงวัฏจักรสีแดง ทำเพื่อให้เรามีเงินมากพอมาสร้างวงวัฎจักรสีน้ำเงิน ค่อยๆสร้างที่ละเล็กที่ละน้อยๆๆๆ เริ่มต้นลงทุนจากเงินพันเงินหมื่น ขยับเป็นเงินแสนเงินล้านในที่สุด
.
ผมแทบจะเป็นบุคคลร้อยอาชีพ ... จบมาเริ่มทำงานใหม่ๆ เริ่มจากทำงานประจำควบคู่กับขายของตามตลาดนัด วิ่งเทียวซื้อของจากแหล่งต่างๆที่มีในสมัยนั้นมาขาย พอเริ่มมีแฟนก็เริ่ม เปิดกิจการเป็นของตัวเอง เป็นร้านกิ๊ฟชอปเล็ก 1 คูหา ขยับพัฒนามาเป็นร้านเครื่องเขียน เปิดร้านส้มตำ ทำร้านกาแฟ ลงทุนในหุ้น เริ่มมีบ้านเช่า ประมูลบ้านจากกรมับงคับคดี เริ่มสร้างบ้านขาย จนลามไปถึงเปิดโรงงานผลิตสินค้า ฯลฯ
.
การลงทุนที่ดี คือ การลงทุนที่ทำเงิน  ... สมมติกิจการหนึ่งมีเงินทุนเท่ากันเปิดที่เดียวกัน ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำสำเร็จเหมือนกัน คนเราถนัดไม่เหมือนกัน มีความชอบไม่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าทำกิจการเดียวกันผลลัพธ์มันก็ออกมาแตกต่าง  
.
ในช่วงที่สองของชีวิต ช่วงทดลองนี้ ผมใช้เวลานับสิบปีเพื่อทดลองและเรียนรู้ว่า เราควรทำอะไร เราทำอะไรได้ดี และ ทำอะไรได้เงิน
.
สนใจเนื้อหาส่วนนี้ คลิ๊กเข้าไปอมยิ้มชื่อ มาม่ากับปลากระป๋องเลยครับ ผมเขียนเล่าเรื่องราวไว้หลายร้อยบทความ https://pantip.com/profile/556807#topics
.
ทำกิจการ 100 อย่าง ก็เจ๊งสัก 95 อย่าง เหลือ 4 อย่างพอได้ เหลิอแค่อย่างเดียวที่กำไร ... การที่ ทำแล้วล้ม ทำแล้วเจ๊ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่ายังไงก็บั่นทอนจิตใจอย่างแน่นอน ..... ต้องเข้าสู่ช่วงที่ 3
.
.
.
(บทความเกิน 10,000 ตัวอักษร ลงไม่จบในกระทู้หัวเรื่องครับ  ขอตัดช่วงสุดท้ายใน ไปลงใน ควาามเห็นที่ 1 ด่านล่างนะครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่