ในโลกของอาหาร มีบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งเก่าแก่ ยิ่งทรงคุณค่าและน่าสนใจมากขึ้น และหนึ่งในนั้นก็คือ แฮม (ham) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฮมที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดในโลก
แฮมชิ้นนี้ถูกค้นพบในบ้านเก่าหลังหนึ่งที่เมืองปอร์ทสมัธ รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา และเชื่อกันว่ามันมีอายุย้อนไปได้ไกลถึงปี 1902 นั่นหมายความว่าแฮมชิ้นนี้มีอายุมากกว่า 120 ปีแล้วในปัจจุบัน
จุดเริ่มต้นของแฮมในตำนาน
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นที่ครอบครัวของ P.D. Gwaltney, Jr. ผู้ก่อตั้งบริษัท Smithfield Ham ซึ่งเป็นบริษัทผลิตแฮมที่มีชื่อเสียง แฮมชิ้นนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อการบริโภค แต่ถูกเก็บรักษาไว้เพื่อเป็นตัวอย่างของวิธีการบ่มแฮมแบบดั้งเดิมของครอบครัว Gwaltney ในยุคนั้น
แฮมถูกเก็บรักษาไว้ในห้องใต้ดินของบ้าน และถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา จนกระทั่งเจ้าของบ้านคนใหม่ได้มาพบมันเข้า และตระหนักถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของมัน
เหตุใดแฮมจึงไม่เน่าเปื่อย?
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมแฮมชิ้นนี้จึงสามารถอยู่รอดมาได้ยาวนานขนาดนี้โดยไม่เน่าเสีย คำตอบคือกระบวนการบ่มแฮมแบบพิเศษที่ใช้ในยุคนั้น
การบ่มแห้ง (Dry curing) เป็นเทคนิคที่ใช้เกลือ, น้ำตาลทราย, และเครื่องเทศบางชนิดเพื่อดึงความชื้นออกจากเนื้อหมู ซึ่งจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดการเน่าเสีย หลังจากนั้น แฮมจะถูกนำไปแขวนไว้ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทเพื่อทำการบ่มและลดความชื้นต่อไปเรื่อยๆ ทำให้ได้แฮมที่มีรสชาติเข้มข้นและสามารถเก็บรักษาได้ยาวนาน
คุณค่าที่มากกว่าอาหาร
แม้ว่าแฮมชิ้นนี้จะเก่าแก่และมีเรื่องราวที่น่าสนใจ แต่มันก็ไม่ได้มีไว้เพื่อการบริโภคอีกต่อไปแล้ว คุณค่าของมันคือการเป็น วัตถุทางประวัติศาสตร์ ที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต, เทคนิคการถนอมอาหาร, และวัฒนธรรมการกินของคนในยุคนั้น
ปัจจุบัน แฮมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกชิ้นนี้ถูกจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Isle of Wight County Museum ในรัฐเวอร์จิเนีย มันไม่ใช่แค่ชิ้นส่วนของเนื้อหมู แต่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ และเป็นเครื่องเตือนใจว่าบางครั้ง สิ่งที่ดูธรรมดาๆ ก็อาจมีเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ภายใน
The Isle of Wight County Museum holds P.D. Gwaltney Jr.'s "pet ham". It is thought to be the world's oldest ham, having been cured in 1902.
มาทำความรู้จักแฮมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
แฮมชิ้นนี้ถูกค้นพบในบ้านเก่าหลังหนึ่งที่เมืองปอร์ทสมัธ รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา และเชื่อกันว่ามันมีอายุย้อนไปได้ไกลถึงปี 1902 นั่นหมายความว่าแฮมชิ้นนี้มีอายุมากกว่า 120 ปีแล้วในปัจจุบัน
จุดเริ่มต้นของแฮมในตำนาน
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นที่ครอบครัวของ P.D. Gwaltney, Jr. ผู้ก่อตั้งบริษัท Smithfield Ham ซึ่งเป็นบริษัทผลิตแฮมที่มีชื่อเสียง แฮมชิ้นนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อการบริโภค แต่ถูกเก็บรักษาไว้เพื่อเป็นตัวอย่างของวิธีการบ่มแฮมแบบดั้งเดิมของครอบครัว Gwaltney ในยุคนั้น
แฮมถูกเก็บรักษาไว้ในห้องใต้ดินของบ้าน และถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา จนกระทั่งเจ้าของบ้านคนใหม่ได้มาพบมันเข้า และตระหนักถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของมัน
เหตุใดแฮมจึงไม่เน่าเปื่อย?
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมแฮมชิ้นนี้จึงสามารถอยู่รอดมาได้ยาวนานขนาดนี้โดยไม่เน่าเสีย คำตอบคือกระบวนการบ่มแฮมแบบพิเศษที่ใช้ในยุคนั้น
การบ่มแห้ง (Dry curing) เป็นเทคนิคที่ใช้เกลือ, น้ำตาลทราย, และเครื่องเทศบางชนิดเพื่อดึงความชื้นออกจากเนื้อหมู ซึ่งจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดการเน่าเสีย หลังจากนั้น แฮมจะถูกนำไปแขวนไว้ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทเพื่อทำการบ่มและลดความชื้นต่อไปเรื่อยๆ ทำให้ได้แฮมที่มีรสชาติเข้มข้นและสามารถเก็บรักษาได้ยาวนาน
คุณค่าที่มากกว่าอาหาร
แม้ว่าแฮมชิ้นนี้จะเก่าแก่และมีเรื่องราวที่น่าสนใจ แต่มันก็ไม่ได้มีไว้เพื่อการบริโภคอีกต่อไปแล้ว คุณค่าของมันคือการเป็น วัตถุทางประวัติศาสตร์ ที่สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต, เทคนิคการถนอมอาหาร, และวัฒนธรรมการกินของคนในยุคนั้น
ปัจจุบัน แฮมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกชิ้นนี้ถูกจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Isle of Wight County Museum ในรัฐเวอร์จิเนีย มันไม่ใช่แค่ชิ้นส่วนของเนื้อหมู แต่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ และเป็นเครื่องเตือนใจว่าบางครั้ง สิ่งที่ดูธรรมดาๆ ก็อาจมีเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ภายใน