เปลี่ยนสนามรบ ในประเทศเขมร เป็นสนามการค้า ? บนคราบน้ำตาของคนไทย เพื่อต้องการรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ

ความวุ่นวายทางการเมืองและเศรษฐกิจ — พลเอกสุนทร รัฐประหาร 2534, พลเอกสุจินดา พฤษภาทมิฬ 2535

ในปี 2531 ความจริงอันโหดร้ายเกี่ยวกับปัญหาเด็กหิวโหยในประเทศไทยได้ถูกเผยแพร่สู่เวทีโลกผ่านนางงามจักรวาล “ปุ๋ย–ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก” ซึ่งใช้เวทีประกวดเพื่อส่งเสียงแทนเด็กไทยนับหมื่นที่ต้องเสียชีวิตอย่างเงียบงันเพราะความอดอยากและภาวะทุพโภชนาการ แต่แม้จะได้รับความสนใจจากทั่วโลกและแรงกดดันทางศีลธรรมที่เพิ่มขึ้น ประเทศไทยกลับไม่เปลี่ยนแปลงใด ๆ เลย

หนึ่งในสาเหตุสำคัญของความนิ่งเฉยนี้คือแนวทางการบริหารประเทศที่มุ่งหวังผลประโยชน์ส่วนตนของนายกรัฐมนตรี พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งในปีเดียวกันนั้น แทนที่จะให้ความสำคัญกับปัญหาเร่งด่วนภายในประเทศ เช่น สวัสดิภาพของเด็ก ความยากจนในชนบท หรือความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ชาติชายกลับมุ่งเน้นการสร้างภาพลักษณ์ของตนและผลักดันนโยบายการต่างประเทศภายใต้สโลแกน “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” โดยเฉพาะในภูมิภาคอินโดจีน เช่น กัมพูชา แม้นโยบายนี้จะมีมิติด้านการทูตที่ทะเยอทะยาน แต่ก็ส่งผลให้ทรัพยากรและความสนใจของรัฐเบี่ยงเบนออกจากการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศ

ขณะเดียวกัน รัฐบาลของชาติชายก็ตกเป็นเป้าของข้อกล่าวหาเรื่องคอร์รัปชัน การเล่นพรรคเล่นพวก และการบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพ ความเชื่อมั่นของประชาชนลดลงอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดรัฐบาลก็ถูกล้มโดย รัฐประหารในปี 2534 ซึ่งนำโดย พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ และคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) โดยอ้างว่าจำเป็นต้องเข้ามาฟื้นฟูความโปร่งใสและศักดิ์ศรีของชาติ

แต่ความวุ่นวายทางการเมืองกลับยิ่งลุกลามมากขึ้น เมื่อในเดือนพฤษภาคม 2535 ประเทศไทยเข้าสู่ช่วงวิกฤตอีกครั้งจากเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” การประท้วงครั้งใหญ่ต่อต้านรัฐบาลทหารของ พลเอกสุจินดา คราประยูร ที่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง นำไปสู่การใช้กำลังทหารปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรง มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก เหตุการณ์ครั้งนี้ได้สร้างบาดแผลทางการเมืองและจิตใจแก่ประชาชน และนำไปสู่การลาออกของพลเอกสุจินดาในที่สุด

แม้จะดูเหมือนว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะจุดประกายประชาธิปไตยขึ้นใหม่ แต่อีกด้านหนึ่ง ประเทศไทยกลับต้องเผชิญกับ การเลือกตั้งถึง 4 ครั้ง รัฐบาลผสม 4 ชุด และนายกรัฐมนตรีถึง 5 คน ภายในช่วงเวลาเพียง 5 ปี (ระหว่างปี 2535–2539) ความไม่มั่นคงทางการเมืองเช่นนี้ส่งผลให้รัฐบาลแต่ละชุดขาดความต่อเนื่องและไม่สามารถผลักดันนโยบายระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา ซึ่งแม้จะเป็นวิกฤตเร่งด่วนระดับชาติ ก็ยังคงถูกละเลยซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สถานการณ์นี้สะท้อนความจริงอันเจ็บปวดว่า ประเทศไทยกำลังเดินหน้าไปในเส้นทางที่ไม่ใส่ใจต่อการศึกษา ความเหลื่อมล้ำ และการพัฒนาคน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความมั่นคงในระยะยาว ความล้มเหลวที่สะสมมากว่าทศวรรษ—นับตั้งแต่คำเตือนของปุ๋ยในปี 2531—ได้ปะทุขึ้นเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง

ประเทศไทยจึงยืนอยู่บนทางแยกทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่