ทำไมชาวกัมโบจัสจากอิหร่านถึงเลือกจะไปสร้างปราสาทและแต่งงานกันเจ้าหญิงเขมรทั้งที่ไทยอยู่ใกล้กว่าและผ่านไทยก่อน

เท่าที่อ่านดูมันมีบันทึกจากหลายที่ทั้งจากฝั่งอินเดียและจีนที่บอกเขมรมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มชาวอินโด-อารยัน เผ่าที่มีชื่อว่า kambojas ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิหร่าน ซึ่งได้เดินทางเข้าไปยังเขมรและแต่งงานกับเจ้าหญิงเขมร สร้างเมืองและนำอารยธรรมเข้าไปเผยแพร่ประยุกต์ออกมาจนเป็นแบบขอม
ที่สงสัยคือ ทำไมปราสาทเหล่านั้นที่บ่งบอกร่องรอยของอารยธรรมอินโดอารยันถึงไม่มีปรากฏในเขตไทยเลยทั้งที่เขมรอยู่ไกลกว่าไทยและต้องผ่านไทยก่อน?

้​เมือตรวจดีเอ็นเอประชากรเขมร อัตราเปอร์เซ็นต์เลือดที่มาจากแถบเอเชียกลางก็สูงกว่าคนไทยโดยทั่วไป คนไทยทั่วไปถ้าไม่นับรวมพวกที่มีบรรพบุรุษรุ่น อยุธยาที่มีต่างชาติเข้ามาผสมหลังจากนั้น หรือคนไทยภาคใต้ที่สายเลือดมีการผสมมาอยู่ก่อนแล้ว....คนไทยโดยทั่วไปจะมีดีเอนเอ อินโดอารยันอยู่ที่0.1-0.3  แต่คนทั่วไปของเขมรที่ไม่ได้มีการผสมต่างชาติในรุ่นหลังแต่กลับมีดีเอนเออินโด-อารยัน สูงได้ถึง 6-19  


เห็นพวกเขมรไปเขียนเออออในคลิปของคนอินเดียและต่างชาติว่า พราหมณ์ สวัมพู จากอินเดียสืบเชื้อสายมาจากเผ่าอิหร่าน กัมโบจัส ในกันดาฮาร์ อัฟกานิสถานซึ่งแต่ก่อนเป็นเขตปกครองของอาณาจกรเปอร์เซีย และมีทั้งฝั่งอินเดียกับจีนรับรองบอกว่าพวกเขาเป็นจ้าวอารยธรรมทางนี้ที่สืบทอดมาจากชาวอารยัน ส่วนไทยเป็นแม้วม้งเผ่าจีนไต้ที่หนีจีนฮั่นลงมาขอที่อยู่ในอาณาจักรเขา


ตัดไปที่นักประวัติศาสตร์ฝั่งตะวันตก Richard Stand ได้กล่าวว่าเชื้อสายชาว กัมโพช คือกัมโบจัส ปัจจุบันที่อยู่ในฝั่งตะวันตกคือ ชาวอินเดียปัญจาบ และอีกกลุ่ม คือ ราชวงค์ ปาลา Palla ที่ตั้งขึ้นในเขตอินเดียตะวันออกฝั่งเบงกอล ( กลุ่มนี้แหละที่เจ้าชายเกาฑิณยะ หรือชัยวรมันที่1 มาจากตรงกลุ่มนี้)
และพวกกัมโพชที่เป็นชั้นดั้งเดิมสุดในยุคปัจจุบันคือชาว  Nurustani Kom  นูริสตานี กอม

ลองสังเกตไหมว่าคำเขียนมันคล้ายๆ และมีความหมายเดียวกับคำว่า  Khom  ขอม ( กลุ่มชนที่มีอารยธรรมผสมจากชาวอินโด-อารยัน ในเขตอาเซียน)  

ชาวนูรีสตานีเดิม คือชาว  Kom  พวกอาหรับบังคับให้พวกนี้มารับอิสลาม พวกนี้เรียกตัวเองว่า kom กอม ก่อนที่จะโดนเปลี่ยนไปเรียกว่าชาวนูรีสถานเป็นชื่อใหม่หลังโดนบังคับให้รับอิสลาม
พวกอาหรับมุสลิมเรียกพวกนี้ว่าชาว ​กอม kom ซึ่งแปลว่า กลุ่มคนสีดำที่ไม่มีศรัทธามในชุดดำ กอม แปลว่าดำ ขอมในทางอาเซียน ก็แปลว่าดำ

Khmer เขมร ​น่าจะเป็นคำอ่านเพี้ยนมาจาก คำว่า ​กัมโพช kampoj kambo



คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
o คำว่า "ขอม" เป็น Exonym (ชื่อบุคคล, กลุ่มคน, ภาษา, ดินแดน ที่เรียกโดยคนต่างถิ่น) และไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีชาติพันธุ์โบราณใดใช้คำนี้เป็น Endonym อีกทั้ง "ขอม" ยังมีนิยามแตกต่างกันไปตามแต่ละเอกสาร เช่น ในตำนานและจารึกของชาวไต-ไท, พงศาวดารของพม่า, และพงศาวดารของมอญเมืองสะเทิม เป็นต้น มักใช้เรียก "ผู้คนที่อยู่ทางใต้" ซึ่งรวมไปถึงชาวเมืองของรัฐละโว้-อโยธยา และชาวเมืองพระนคร(เขมร) ฯลฯ โดยไม่เจาะจงว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใด (อนึ่ง "ขอม" มีรากศัพท์มาจาก " ករោំ " (กะ-รอม) ของภาษาเขมรเก่า(Old Khmer) หมายถึง "ลงไปต่ำ, ใต้, ภายใต้, ต่ำกว่า, ลง, ผู้ต่ำกว่า" และ "ประเทศ, ดินแดน, เขต, ดิน, แผ่นดิน") ตัวอย่างหลักฐานเช่น ...
- ตำนาน "สุวรรณโคมคำ" ของล้านนา ใช้คำว่า "กรอม" เรียก "ชาวเมืองโพธิสารหลวง(กรอมหลวง), สุวรรณโคมคำ, กับอุโมงคเสลา(กรอมดำ)" สันนิษฐานว่าส่วนใหญ่อาจเป็น "ชาวลัวะ" หรือกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมในดินแดนล้านนา-ล้านช้าง
- พงศาวดารกรุงสุธรรมวดี(สะเทิม)ของมอญ ใช้คำว่า " ကြေ၁ံ " (กฺรอม) กับพงศาวดารมหาราชวงศ์ฉบับหอแก้วของพม่า ใช้คำว่า "Krwam" (คฺยวม) ในการเรียก "ชาวเมืองละโว้-อโยธยา"
- ศิลาจารึกวัดศรีชุม(จารึกหลักที่ 2)ของสุโขทัย ใช้คำว่า "ขอม" เรียก "คนทางใต้" กล่าวคือบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างอันเป็นถิ่นฐานของรัฐละโว้-อโยธยา
- เอกสารของกรุงศรีอยุธยา อาทิ "กฎมณเฑียรบาล" ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ และวรรณคดีเรื่อง "กำสรวลสมุทร" เป็นต้น ใช้คำว่า "ขอม" เรียก "ชาวเขมร" เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว ชนชั้นปกครองของอยุธยาหันมาใช้ภาษาไทยเป็นหลักแทนเขมร และเปลี่ยนมานับถือพุทธเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์แล้ว ความหมายของ "ขอม" จึงแคบลงจาก "คนทางใต้" ไปเป็น "ชาวเขมร" แทน
เป็นต้น

o คำว่า " ខ្មែរ " (แขฺมร, /kʰmae/) ของภาษาเขมรปัจจุบัน แผลงมาจาก " ខ្មេរ " (เขฺมร, /kʰmeːr/) ในภาษาเขมรสมัยกลาง(Middle Khmer) ที่มีรากศัพท์มาจาก " ក្មេរ៑  " (เกฺมร) ของ Old Khmer ซึ่งเป็น Endonym ของชาวเขมรมาตั้งแต่ก่อนสมัยพระนคร โดยหลักฐานที่เก่าแก่สุดคือเนื้อหาในศิลาจารึก Ka.64 ที่บ้านเมลบ ตำบลระกา อำเภอเปียเรียง จังหวัดไพรแวง ถูกทำขึ้นเมื่อช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 6–7 ในสมัยเจนละ เป็นภาษาเขมรเก่ากับสันสกฤตด้วยอักษรเขมรโบราณ อนึ่งยังมีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับ " ក្មេរ៑ " ว่าอาจเกี่ยวข้องกับนางอัปสรชื่อ " មេរា " (เมรา)

o " កម្ពុជា " (/kam.pu.ciə/) ที่หมายถึง "ราชอาณาจักรกัมพูชา" มีรากศัพท์มาจาก " काम्बोज " (kāmboja) ในภาษาสันสกฤต หมายถึง "ชาวกัมโพชะ หรือกลุ่มชาติพันธุ์อิหร่านโบราณเผ่าหนึ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียโบราณ" อันมีที่มาจาก " 𐎣𐎲𐎢𐎪𐎡𐎹 " (/Kaᵐbūjiyaʰ/) ของภาษาเปอร์เซียเก่า(Old Persian) ซึ่งเป็นชื่อตัว(Given name)สำหรับผู้ชายอย่างหนึ่ง ในภาษาอังกฤษคือ "Cambyses" อย่างไรก็ตามคำว่า " កម្ពុជា " ในภาษาเขมรไม่ได้มาจากชาวกัมโพชะ แต่มีพื้นฐานตามตำนานความเป็นมาของราชวงศ์กัมโพช-สุริยวงศ์ที่สถาปนาขึ้นในสมัยพระเจ้าศรุตวรมันแห่งรัฐเจนละว่าสืบเชื้อสายมาจาก "ฤๅษีกัมพุ" (កម្វុ, กมฺวุ) หรือ "พราหมณ์กัมพูสวยัมภูวะ" (កម្វុស្វយម្ភុវ, Kambu Swayambhuva) กับนางอัปสรเมรา ดังที่ปรากฏในศิลาจารึกปราสาทปักษีจำกรง(K.286)ที่จังหวัดเสียมราฐ ทำขึ้นเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 10 ตรงกับสมัยพระนคร จึงเรียกตนเองว่า " កម្វុជ " ( กมฺวุช, [kam.wuc] ) แปลว่า "ผู้ที่เกิดจากฤๅษีกัมพุ" ก็คือชาวเขมร และเรียกดินแดนของตนว่า " កម្វុទេស " ( กมฺวุเทศ, [kam.wu.teːh.saʔ.] ) หมายถึง "ดินแดนแห่งกัมพุ" ตามเนื้อหาใน ศิลาจารึกบ่ออีกา(K.400) ที่บ้านบ่ออีกา ตำบลเสมา อำเภอสูงเนิน จ.นครราชสีมา ถูกทำขึ้นในปี ค.ศ. 868 ซึ่งปรากฏคำว่า "กมฺวุเทศานฺตเร" แปลว่า "นอกดินแดนแห่งกัมพุ" เป็นต้น ส่วนใน "ศิลาจารึกบันทายฉมาร์(K.227)" ที่ ต.บันทายฉมาร์ อ.อำเภอถมอปวก จ.บันทายมีชัย ทำขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ระหว่าง ค.ศ. 1181–1218 ใช้คำว่า " កម្វុជទេស " ( กมฺวุชเทศ, [kam.wuc.teːh.saʔ.] ) หรือ "ดินแดนของลูกหลานกัมพุ" ก่อนที่คำว่า " កម្វុជ " จะแผลงมาเป็น " កម្ពុជា " ในสมัยหลังพระนครแล้วถูกให้นิยามความหมายใหม่ว่า "ดินแดนกัมพูชา" แทน " កម្វុទេស "

นอกจากนี้ "ตำนานพราหมณ์กัมพูสวยัมภูวะ" ของชาวเขมรมีต้นแบบมาจากตำนานการสร้างราชวงศ์กาญจีปัลลวะ(Kanchi Pallava dynasty)ในบริเวณทางใต้ของอินเดียโบราณซึ่งเป็นถิ่นของชาวทมิฬ หมายความว่าชาวเขมรรับเอาทั้งตำนานการสร้างราชวงศ์ตลอดจนชุดตัวอักษร กล่าวคือ "อักษรปัลลวะ" (Pallava script) จากรัฐโบราณในอินเดียใต้ อีกทั้งประวัติศาสตร์กัมพูชายังมี "ตำนานพระทอง-นางนาค" ว่าด้วยเรื่อง "พราหมณ์เกาฑิณยะ" (कौंडिन्य, Kaundinya) จากแคว้นกลิงคะ(Kalinga)บริเวณรัฐโอฑิศากับรัฐอานธรประเทศทางตะวันออกของอินเดียปัจจุบัน ได้เดินทางมาแต่งงานกับนางนาคีชื่อ "โสมา" (សោមា) แล้วสร้างรัฐฟูนันขึ้น อย่างไรก็ตามจากผลสำรวจทางพันธุกรรมระบุว่า ชาวกัมพูชามี DNA ของชาวเอเชียใต้อยู่เพียงเล็กน้อย โดยน้อยกว่าสัดส่วนที่พบในชาวไทยภาคกลางกับภาคใต้และชาวมอญ แตกต่างจากตัวอย่างชาวเขมรโบราณของรัฐฟูนันจากสุสานวัดขุมโน(Vat Komnou cemetery)ที่ปราสาทอังกอร์บอเรย(Angkor Borei) มีเชื้อสายของชาวเอเชียใต้ซึ่งเข้ามาเมื่อระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 1–3 สูงถึงระหว่าง 40% – 50% อนึ่งชายชาวกัมพูชาจำนวนประมาณ 16% โดยเฉลี่ย มี Y-DNA Haplogroup H1a ซึ่งพบได้มากในประชากรชายชาวอินเดียทางใต้ และ 7.2% คือ Y-DNA Haplogroup R1a1a ที่พบมากในชายชาวทาจิก(Tajik)ในเอเชียกลาง, ชาวนูริสถาน(Nuristani)กับชาวปาทาน(Pashtun, Pathan)ในอัฟกานิสถาน, ชาวอินเดียวรรณะสูง, และชาวยุโรปตะวันออก เป็นต้นครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่