ห้องเรียนหัวจะปวด นักรเียนตัวแสบ เรื่องเล่าจากเรือ่งจริง

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ตั้งแต่สมัยยังเรียนมัธยมปลาย (จนตอนนี้มีลูกสาวเรียน ม ปลาย) เป็นเรื่องราวของห้องเรียนตัวแสบห้องหนึ่ง ที่อยู่กันแบบไม่แคร์กฎ ไม่แคร์ระเบียบใดๆ แต่ กลับเป็นที่รักของครู

ถ้าคุณมีห้องเรียนแบบนี้จะเป็นยังไง
คิดว่าคงมีอีกหลายๆคนที่มีประสบการณ์แบบนี้



ณ โรงเรียนแห่งหนึ่ง กลางกรุงเทพฯ โรงเรียนไม่ใหญ่มาก มีนักเรียนแค่พันกว่าคน ห้องเรียนก็มีแค่ 30 คน เด็ก ม.6 ห้องนี้ เป็นเด็กที่อยู่ร่วมกันมาตั้งแต่ ม.4 เป็นห้องที่รวมเด็กสายวิทย์ ที่จะไปเรียน ถาปัด ออกแบบ บัญชี เศรษฐศาสตร์ นับเป็นเด็กแปลกของโรงเรียนก็ว่าได้ แตกต่างจากสายวิทย์ที่จะไปเรียนหมอ สาธารณะสุข หรือ วิศวะ วิทยาศาสตร์

โรงเรียนเพิ่งติดแอร์ตอนอยู่ ม.5 ดังนั้น ทั้งห้อง ลงมติกันว่า ไหนๆก็มีแอร์แล้ว ต่อไปนี้ เราจะถอดรองเท้าในห้องเรียน เพื่อให้สามารถนั่งเล่นกับพื้นกันได้อย่างสะอาด

เหรัญญิกของห้อง เก็บเงินระดมทุน ซื้อชั้นวางรองเท้าหน้าห้องสำหรับนักเรียน และครู ใครอยากใส่สลิปเปอร์ก็ใส่ ใครใส่ถุงเท้าก็ใส่ มีสลิปเปอร์สามขนาดไว้ให้ครูใส่เวลามาสอน เพื่อนห้องอื่น ใครจะเข้าห้อง ถ้าไม่ถอด จะโดนไล่ออกไป ส่วนครูคนไหนถ้าไม่ถอด จะ ประท้วงด้วยการ เดินออกจากห้องเรียนทั้งห้อง มีทั้งครูที่ ยิ้มแย้มและทำตามเด็กๆอย่างสนุกสนาน กับครูที่ ต่อต้าน  ซึ่ง เด็กทั้งชั้น ก็ประท้วง วอล์คเอาท์จากวิชา ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน

เรื่องถึงฝ่ายปกครอง ถึงฝ่ายวิชาการ เป็นเือ่งใหญ่ ที่ ครูปกครองและฝ่ายบริหารต้องมาประชุมกับนักเรียนทั้งห้อง และ จบลงที่  โรงเรียน ยินยอมยืดหยุ่นให้ตามที่นักรเียนต้องการ มีข้อแม้คือ นักรเียนต้องจัดการความสะอาดเองทั้งหมด ภารโรงจะไม่ยุ่ง ไม่ช่วยเหลือ ทุกเย็น ต้องเก็บชั้นวางรองเท้าออกจากทางเดิน



ทุกอย่างเริ่มตรงนี้

ก้าวต่อไป เมื่อมีสิทธิ์ัดการห้องเรียนแล้ว ห้องเรียนนี้ ลงมติกันว่า เพื่อประหยัดเงินค่าขนม แทนที่จะไปซื้อน้ำ ขนม อาหาร ว่าง เราจะมีการจัดการ"แคนทีน" ของเราเอง ฝ่ายจัดการและเหรัญญิกห้องเรียน เก็บเงินสมาชิกห้อง ซื้อ กระติกน้ำร้อน มาม่าคัพ กาแฟ โอวัลติน  ถังขยะใหญ่ และถุงดำสำหรับทิ้งขยะเศษอาหารโดยเฉพาะ จนค่อยๆเพิ่มความหลากหลายเป็นขนมต่างๆ ใครกินอะไรก็หยอดเงินในกล่องกองกลางเอาไว้ มีเวรดูแลเงิน จดยอดเงิน และจัดการซื้อมาเติมทุกเดือน

แน่นอนว่า ไม่นานก็โดนโรงเรียนจัดการ โดย กดดันครูที่ปรึกษาของห้องให้มาจัดการ แต่ ทั้งชั้นเรียนก็ประท้วงด้วยการ ไม่เข้าห้องเรียนหลังเคารพธงชาติ หลังจากที่โรงเรียน ยึดกระติกน้ำร้อน และขนมทั้งหมดไปจากห้องเรียน โดยอ้างอิงกฎระเบียบต่างๆ รวมถึง การใช้ไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาติ

นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรือ่งความสะอาด ขยะ และ ผลกระทบต่อภาพรวม หากห้องอื่นจะเอาแบบอย่าง โรงรเียนจะไม่สามารถควบคุมระเบียบวินัยได้ แต่เนือ่งจากห้องเรียนนี้ มีความเหนียวแน่นอย่างมาก  ยื่นข้อเสนอให้โรงเรียนตรวจความเรียบร้อย และช่วยกันทำเวรแบบโรงเรียนญี่ปุ่น รวมถึง ใช้จารีตของห้องเรียน กดดันคนที่ไม่ดูแลรักษาความสะอาด บางคนกินแล้วไม่หยอดเงิน ก็ถูกประนาม ห้องอื่นที่เข้ามาไถของกิน ก็โดนเด็กผู้ชายจัดการทวงเงินกลับมาจนได้

ทั้งยัง มีกาแฟร้อนเสิร์ฟครุขณะสอนอีกด้วย ทั้งครูวิชาต่างๆ ไปจน พระครู ที่นิมนต์มาสอนวิชาพุทธศาสนา เด็กๆก็ร่วมกัน ถวายโอวัลตินให้ฉันไปด้วยได้ และ เป็นห้องเดียว ที่เวลาเรียนพุทธศาสนา เด็กๆจะนั่งเรียนกับพื้น เหมือนอยู่ในศาลาวัด พระครู นั่งสอนบนเก้าอี้ได้ โดยไม่ต้องยืนตลอดคาบ



วันเวลาผ่านไป จนถึง ม.6 ทั้งห้องก็ยังคงดำเนินไปตามใจตัวเอง เป็นทั้ง กบฎของโรงเรียน และ ตัวแสบที่ครุหลายคนต้องเตือนครุที่จะได้สอนห้องนี้
"ปีนี้ได้สอน 6/3 ต้องทำยังไงบ้าง?"
นี่คือสิ่งที่ครุๆ บอกต่อกัน แต่ไม่ต้องห่วง เพราะคาบแรกของทุกๆวิชา ช่วงเปิดเทอมใหม่ๆ นักเรียนในห้อง ทำ info graphic   ให้ครูทุกคนเข้าใจระเบียบของห้องนี้ก่อนเริ่มการสอนอย่างชัดเจน มีแปะสัญลักษณ์ ป้ายต่างๆ ตามมุมใช้งาน

ในปีสุดท้าย ห้องเรียนนี้ พัฒนาไปจนมี ฟูก ที่นอน หมอน ผ้านวม  เนื่องจาก บางคาบ เริ่มมีเด็กในห้องที่สอบติดมหาลัยแล้ว นั่งหลับในวิชาที่ไม่ได้สำคัญ ครูบางคนก็ยินยอมให้หลับได้ จนกลายเป็นการปูนอนบนพื้นหลังห้องไปโดยละม่อม

แน่นอนว่า โดนครูที่ปรึกษาเข้ามาจัดระเบียบ โดยอ้างความไม่งามไม่เหมาะสมมาเกี่ยวข้อง พอนักเรียนทำฉากบังตา ก็เป็นปัญหาเรื่องมุมล่อแหลมอาจเกิดปัญหาร้ายแรง ก็ปรับแากให้โปร่งมองทะลุได้ และ ห้องเรียนก็ไม่ปล่อยให้คู่ที่เป็นแฟนกัน เข้าไปอยู่ในมุมพักผ่อนกันแบบไม่เหมาะสม
"ออกมาเลยนะ แกเข้าไปแบบนี้ ทุกคนจะเดือดร้อน"
"เอ็งออกมาเลย เดี๋ยวห้ามนอน ข้าจะมางีบวิชาแนะแนวยังไง"

บางคนอาจจะเกรงใจครูสักหน่อย ก็เปลี่ยนเป็น เอาหมอนมานั่งกอด นอนฟุบห่มผ้าอยู่ที่โต๊ะ โดยเฉพาะเด็กนักรเียนหญิง ที่ไม่อยากไปนอนกับพื้นให้น่าเกลียด



ในที่สุด ห้องเรียนนี้ ก็จบการศึกษาไป ด้วยสถิติ สอบติดมหาวิทยาลัยรัฐ 28 คน เอกชน 1 คน และ ได้ทุนไปเรียนต่างประเทศ 1 คน แม้แต่ตัวแสบๆที่สุดของห้อง ที่ออกเกเร ก็ยังสอบติด เพราะ ในห้องเรียน ทุกคนช่วยกันติว แลกเปลี่ยนเอกสารกวดวิชา  ทั้งห้อง รวมตัวกันไปเช่าหอพักอยู่ด้วยกันช่วงสอบ"เอนทรานซ์" หุ้นกัน จ้างติวเตอร์มาติวแบบ เร่งรัดวินาทีสุดท้าย แลกเปลี่ยนเคล็ดลับการตีโจทย์กัน



วันเวลาผ่านไป จนเปิดภาคการศึกษาแรกของปีการศึกษาใหม่
ในงานไหว้ครูของโรงเรียน มีนิสิต นักศึกษา ในเครื่องแบบของแต่ละคน  นัดรวมตัวกันตอนเช้า พร้อมกับพานไหว้ครูพิเศษที่ช่วยกันซุ่มทำมาหลายวัน

พานไหว้ครู ที่เป็น โมเดลฟิกเกอร์ตุ๊กตาของทุกคน ในชุดนักเรียน นั่งเรียนอยู่ในโมเดลห้องเรียน กับครุทุกคนที่เคยสอนพวกเขา ยืนอยู่ครบถ้วน ขนาดของพานไหว้ครู 1.8x2.0 เมตร
ตัวแทน ถือพาน 5 คน ยกพานขึ้นบนเวทีเป็นอันดับสุดท้าย ต่อจากน้องๆ ม.6 ด้วยเสียงอึงมี่ กับสิ่งขนาดใหญ่ทีคลุมผ้าไว้
โดยครูที่ปรึกษาพวกเขา มาเป็นตัวแทนรับพาน ที่เมื่อเปิดผ้าออก โมเดลห้องเรียน ที่มีแสงไฟ สีสันสดใส สว่างเรืองอยู่ในหอประชุมมืดสลัว เสียงคนนับพันฮือฮากับขนาดมหึมาของพาน และเสียงเพลงโรงเรียน ที่ร้องลอยมา จากศิษย์เก่าอีก 24 คนที่ยืนอยู่ข้างเวที

น้ำตาจากครูที่ปรึกษาไหลอาบแก้ม ทั้งครุอีกหลายคน ที่เคยสอน สนิทสนม รบรากันมา ยืนซับน้ำตายิ้มกันอย่างคาดไม่ถึง
ศิกษย์เก่าเพียงห้องเดียว ที่รวมตัวกันมาครบทุกคน(ยกเว้นคนที่อยู่ต่างประเทศ) และ พานไหว้ครูที่เป็นตำนานของโรงเรียนนับตั้งแต่วันนั้น ต่อมาอีกหลายปี นักเรียนจะครีเอทพานไหว้ครู ที่ไม่ใช่ พานพุ่มดอกไม้บนพานทอง โดยเฉพาะ ห้องวิทย์ออกแบบ ต้อง ทำพาน ที่ไม่ธรรมดา ถึงจะสมศักดิ์ศรีเรียนห้องนี้



เวลาผ่านมา กว่า 30 ปี ทุกวันนี้  เห็นข่าวโรงเรียน ระบบการศึกษา ก็ย้อนคิดถึงตัวเองในอดีต นึกถึงเพื่อนๆ ที่ร่วมกันสร้างสรรค์ เป็นความทรงจำที่แสนดี

หมายเหตุ
ภาพประกอบ ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อสงวนความเป็น่วนตัว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่