ผู้ป่วยพลเรือนจากประเทศคู่สงคราม ควรให้ความช่วยเหลือหรือไม่ ?
หลักการว่าอย่างไร หลักศาสนาอิสลามว่าอย่างไร?
⦿ในสถานการณ์สงคราม หนึ่งในคำถามสำคัญด้านจริยธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศคือ เราควรให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์แก่ผู้ป่วยพลเรือนและทหารจากประเทศคู่สงครามหรือไม่ คำถามนี้สะท้อนความตึงเครียดระหว่างความเป็นมนุษย์กับความเป็นชาติ และจำเป็นต้องพิจารณาจากทั้งหลักกฎหมายสากล หลักคำสอนทางศาสนา และจรรยาบรรณของวิชาชีพทางการแพทย์
⦿ตามอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 ซึ่งเป็นรากฐานของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ได้กำหนดหลักการชัดเจนว่า ผู้บาดเจ็บจากการสู้รบ ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือพลเรือน หากหมดสภาพในการรบแล้ว ต้องได้รับความคุ้มครองโดยไม่เลือกฝ่าย โดยอนุสัญญาฉบับที่ 1 และ 3 ครอบคลุมถึงทหารที่ได้รับบาดเจ็บและตกอยู่ในภาวะ “หมดสภาพในการรบ” ขณะที่อนุสัญญาฉบับที่ 4 ให้ความคุ้มครองแก่พลเรือนในเขตสงคราม รวมถึงสิทธิในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างปลอดภัยและเท่าเทียม หลักการเหล่านี้ห้ามมิให้มีการทรมาน ปล่อยทิ้ง หรือปฏิเสธการดูแลรักษา ไม่ว่าผู้บาดเจ็บจะเป็นฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ก็ตาม
⦿ในศาสนาอิสลาม หลักการมนุษยธรรมในยามสงครามมีรากฐานมั่นคงในทั้งคัมภีร์อัลกุรอาน ฮะดีษ และความเห็นของนักนิติศาสตร์อิสลาม ตัวอย่างสำคัญปรากฏในอัลกุรอาน บทอัตเตาบะฮฺ (9:6) ที่ระบุว่า หากศัตรูขอความคุ้มครอง จงคุ้มครองเขา แล้วพาเขาไปยังสถานที่ปลอดภัย อีกทั้งท่านนบีมุฮัมมัดเคยสั่งห้ามไม่ให้ทำร้ายเด็ก ผู้หญิง คนชรา และผู้ไม่ถืออาวุธในสงคราม รวมถึงสั่งให้ให้น้ำและดูแลผู้บาดเจ็บที่ไร้กำลัง แม้ผู้นั้นจะเป็นฝ่ายศัตรูก็ตาม นักนิติศาสตร์อิสลามยังเห็นตรงกันว่า การรักษาผู้บาดเจ็บไม่ว่าฝ่ายใดเป็นหน้าที่ตามหลักศาสนา และการปฏิเสธความช่วยเหลือในกรณีเช่นนี้ถือว่าขัดกับจริยธรรมของอิสลาม
⦿จรรยาบรรณวิชาชีพแพทย์ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ เช่น แพทยสภาแห่งประเทศไทย องค์การอนามัยโลก และสภากาชาดสากล ต่างยึดหลักความเป็นกลางและความไม่เลือกปฏิบัติเป็นหัวใจของวิชาชีพ การรักษาผู้ป่วยโดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ ศาสนา หรือสัญชาติ เป็นหลักการที่ทำให้วิชาชีพแพทย์ได้รับความเชื่อถือและการคุ้มครองจากทั่วโลก การปฏิเสธการรักษาผู้ป่วยเนื่องจากเขามาจากประเทศที่อยู่ในภาวะสงครามกับตนเอง ไม่เพียงเป็นการละเมิดจรรยาบรรณ แต่ยังเป็นการทำลายความศรัทธาของสาธารณชนที่มีต่อวิชาชีพทั้งหมด
⦿ในทางปฏิบัติ หลายประเทศมุสลิมได้แสดงออกถึงความมุ่งมั่นต่อหลักมนุษยธรรมนี้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น ตุรกีเคยให้การรักษาทหารและประชาชนซีเรียในช่วงสงครามกลางเมือง แม้จะมีข้อขัดแย้งทางการเมืองกับบางฝ่าย ในจอร์แดน โรงพยาบาลของรัฐให้บริการแก่ผู้ลี้ภัยและผู้บาดเจ็บจากซีเรียโดยไม่เลือกปฏิบัติ มาเลเซียและอินโดนีเซียก็มีองค์กรอิสลาม เช่น MER-C และ Muhammadiyah ส่งแพทย์อาสาเข้าไปในพื้นที่สงคราม เช่น อัฟกานิสถาน ปาเลสไตน์ และบอสเนีย เพื่อดูแลผู้บาดเจ็บจากทุกฝ่ายตามหลักศาสนาและจรรยาบรรณวิชาชีพ
⦿เมื่อพิจารณาจากกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ หลักศาสนาอิสลาม จรรยาบรรณวิชาชีพ และแนวทางปฏิบัติในโลกความจริงแล้ว คำตอบจึงชัดเจนว่า ผู้ป่วยจากประเทศคู่สงคราม ไม่ว่าจะเป็นพลเรือนหรือทหาร ต้องได้รับการรักษาอย่างเท่าเทียม ไม่มีข้อยกเว้น การให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ไม่ใช่การเลือกข้างในสงคราม แต่คือการยืนหยัดอยู่ข้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และความเมตตาที่ไม่แบ่งแยก

ไทยควรช่วยเหลือผู้ป่วย จากประเทศกัมพูชาหรือไม่ ? ถอดหลักสากล และ หลักศาสนาอิสลาม