SCC กำไร Q2/68 พุ่ง 368% และ 5ทำเลทองราคาที่ดินแนวรถไฟฟ้า

SCC กำไร Q2/68 พุ่ง 368% แตะ 1.7 หมื่นล้านบาท รับกำไรพิเศษ 1.5 หมื่นล้านจากปันผลธุรกิจลงทุน หากไม่รวมรายการพิเศษ มีกำไร 2,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97% จากไตรมาสก่อน พร้อมจ่ายปันผล 2.5 บาท XD 13 ส.ค.

บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 และช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 บริษัทมีกระแสเงินสดแข็งแกร่ง โดยมียอด EBITDA อยู่ที่ 17,431 ล้านบาท สะท้อนจากเงินปันผลรับตามฤดูกาลจากการลงทุนในธุรกิจอื่น (SCG Investment) และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนของธุรกิจซีเมนต์ แอนด์กรีนโซลูชันส์ รวมถึงธุรกิจแพคเกจจิ้ง

สำหรับช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 EBITDA อยู่ที่ 30,320 ล้านบาท และ EBITDA from Operations อยู่ที่ 23,111 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 จากอานิสงส์การบริหารจัดการภายในเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ซึ่งเงินปันผลรับในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 8,086 ล้านบาท มีส่วนช่วยสนับสนุนให้กระแสเงินสดมีความมั่นคง

กำไรสำหรับงวดไตรมาสที่ 2 ปี 2568 อยู่ที่ 17,337 ล้านบาท ซึ่งรวมรายการพิเศษ 15,170 ล้านบาท โดยกำไรสำหรับงวดที่ไม่รวมรายการพิเศษสำหรับไตรมาสดังกล่าวอยู่ที่ 2,167 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 97% จากไตรมาสที่ 1 ปี 2568

ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในไตรมาสนี้ เป็นผลจากเงินปันผลรับตามฤดูกาลจากการลงทุนในธุรกิจอื่น (SCG Investment) การปรับตัวดีขึ้นของธุรกิจซีเมนต์ แอนด์กรีนโซลูชันส์ รวมถึงธุรกิจแพคเกจจิ้ง โดยกำไรสำหรับงวดที่ไม่รวมรายการพิเศษดังกล่าว ยังไม่รวมผลการดำเนินงานของลองเซินปิโตรเคมิคอลส์ คอมเพล็กซ์ และไม่รวมผลขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือของเอสซีจีเคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) 913 ล้านบาท ซึ่งผลการดำเนินงานของเอสซีจี มีกำไรอยู่ที่ 6,147 ล้านบาท

เอสซีจีเตรียมความพร้อมและกลยุทธ์สำหรับช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 
เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในอาเซียน ใช้ประโยชน์จากการดำเนินงานในอาเซียนจากทุกธุรกิจ
ธุรกิจเคมิคอลส์ เตรียมกลับมาดำเนินงานโรงงานลองเซินปิโตรเคมิคอลส์คอมเพล็กซ์ ที่ประเทศเวียดนาม (LSP) ซึ่งจะใช้เวลาเตรียมความพร้อมประมาณ 1-1.5 เดือน

ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง: เร่งผลักดันปูนคาร์บอนต่ำ Gen2 และ Gen3 ต่อเนื่อง รวมถึงขยายปูนคาร์บอนต่ำในอาเซียน
ด้านการเงิน (Financials) ให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และลดภาระหนี้ โดยในปี 2568 คาดว่างบประมาณรายจ่ายลงทุนและเงินลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการปรับลด เมื่อเทียบกับ 55,305 ล้านบาทในปี 2567 ขณะเดียวกัน คาดการณ์ว่า EBITDA ในปี 2568 จะยังอยู่ในระดับสูงจากการบริหารจัดการภายในให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ด้านการดำเนินงาน (Operations) เน้นผลิตภัณฑ์และบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value-Added) หรือ HVA และเพิ่มกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเหมาะสมกับราคา (Smart Value Product)

สำหรับเงินปันผลระหว่างกาลของปี 2568 เมื่อพิจารณาจาก EBITDA ในช่วงครึ่งปีแรกที่อยู่ในระดับมั่นคง คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2568 ในอัตรา 2.5 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 92% ของกำไรสำหรับช่วงครึ่งปีแรกที่ไม่รวมรายการพิเศษ

โดยจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 สิงหาคม 2568 กำหนดวัน XD วันที่ 13 สิงหาคม 2568 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 14 สิงหาคม 2568


5ทำเลทองราคาที่ดินเปล่าแนวรถไฟฟ้าREIC ชี้ สายสีเขียวแชมป์พุ่งสูงสุด สมุทรปราการ-บางปู และ แบริ่ง-สมุทรปราการ
 

ราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าราคาขยับต่อเนื่องสวนทางเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกำลังซื้อที่อยู่อาศัยหายไปจากตลาด โดยในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์(REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ พบว่า  5 อันดับแรก ที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ส่วนใหญ่เป็นที่ดินที่มีโครงการรถไฟฟ้าเปิดให้บริการแล้ว และโครงการที่เป็นส่วนต่อขยายในอนาคต โดยมีรายละเอียด ดังนี้

อันดับ 1 รถไฟฟ้าสายสีเขียว (สมุทรปราการ-บางปู) และสายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ)โดยรถไฟฟ้าทั้งสองสายมีค่าดัชนีเท่ากับ 331.1 จุด และ 326.3 จุด ตามลำดับ แต่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นเท่ากัน คือ ร้อยละ 39.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในพื้นที่พระสมุทรเจดีย์ พระประแดง และเมืองสมุทรปราการ เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก

อันดับ 2  รถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางใหญ่-เตาปูน) มีค่าดัชนีเท่ากับ 489.4 จุดโดยมีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในพื้นที่เมืองนนทบุรี บางบัวทอง และบางใหญ่ เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก

อันดับ 3 รถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว(สุขุมวิท) มีค่าดัชนีเท่ากับ 470.1 จุดโดยมีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในพื้นที่พระโขนง วัฒนา และบางนา เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก

อันดับ 4   รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) มีค่าดัชนีเท่ากับ 424.5 จุดโดยมีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในพื้นที่วังทองหลาง และสวนหลวง เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก

อันดับ 5   รถไฟฟ้า MRT และรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-หัวลำโพง) โดยรถไฟฟ้าทั้งสองสายมีค่าดัชนีเท่ากับ 603.0 จุด และ 593.6 จุด ตามลำดับ แต่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นเท่ากันคือ ร้อยละ 7.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในพื้นที่วัฒนา และห้วยขวางเป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่