อย่างที่บอกไปแล้วว่าการเติบโตด้วยการซื้อกิจการ นับเป็น ความสัมพันธ์ทั้งรักทั้งเกลียดของผม อย่างแรก ผมไม่ใช่ว่าจะ ชอบบริษัทที่สนใจแต่ซื้อกิจการเป็นเรื่องหลัก เพราะคุณต้องลองนึกตามว่า ไม่มีเจ้าของบริษัทไหนเป็นหมูในอวยจะมาเสนอ ขายหุ้นให้ในราคาถูกหรอก
หากบริษัทไม่ได้ตกอยู่ในช่วงวิกฤตเต็มแก่ เจ๊งแหล่มเจ๋งแหล่ ใครต่อใครก็อยากได้กําไรจนตาวาว ทั้งนั้น โอกาสที่บริษัทจะซื้อกิจการอื่นมาในราคาย่อมเยา เป็น ไปได้ยากจนบางครั้งผมรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ในภาวะปรกติเลย สถานการณ์ที่ดูพอจะทําให้การซื้อกิจการดูคุ้มค่าขึ้นมาบ้างคือการช้อนซื้อกิจการในภาวะวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตบริษัทเองหรือวิกฤตเศรษฐกิจก็ตาม การเข้าซื้อช่วงนี้มักจะให้ผลตอบแทนที่ดูดีเมื่อเทียบกับต้นทุน
แต่อย่าลืมว่าธุรกิจที่ได้มาย่อมมาพร้อมวิกฤตด้วย หลายครั้งตัวเลขกระแสเงินสดอิสระที่ทํานายไว้อาจจะทําไม่ได้ตามคาด แถมบริษัทที่ซื้อมายังต้องคอยมาตามเช็ดตามล้างปัญหาที่ติดค้างมาเป็นลูกติดอีกด้วย บริษัทที่ซื้อก็ต้องเก่งประมาณหนึ่งถึงจะดึงเอาศักยภาพของบริษัทที่ชื่อออกมาได้
โดยภาพรวมผมจึงไม่ชอบการที่บริษัทเติบโตด้วยการซื้อกิจการเท่าไรนัก เพราะการเติบโตแบบนี้ทําได้ยากที่จะคุ้มค่า แถมถ้าบริษัทพยายามจะเติบโตด้วยวิธีนี้มากเกินไปก็อาจจะทําให้สูญเสียความมุ่งเน้นในการทําธุรกิจหลักไปเสียอีก ท่องไว้เสมอว่าไม่มีใครมาเสนอขายหุ้นดีให้ในราคาถูกหรอก ยิ่งเราอยากซื้อเท่าไร คนขายยิ่งขึ้นราคาได้มากเท่านั้น การเติบโตจากการซื้อกิจการที่ดีมักจะมาพร้อมจังหวะเวลาที่เหมาะสมมากกว่าความพยายาม
แต่การจะมองการซื้อและควบรวมกิจการด้วยมุมมองเพียงตัวเลขก็ออกจะแห้งแล้งและใจร้ายไปเสียหน่อย เพราะความจริงหลายครั้งการซื้อหุ้นของบริษัทอื่นไม่ได้ให้ ผลตอบแทนหลักในแง่ของกระแสเงินสดอิสระ แต่กลับเสริมสร้างความแข็งแกร่งบางอย่างในการดําเนินธุรกิจมากกว่า และประเด็นสําคัญคือบริษัทส่วนใหญ่ก็มักจะซื้อหุ้นบริษัทอื่นกันด้วยเหตุผลนี้ด้วย นักลงทุนจึงต้องทําความเข้าใจการควบรวมกิจการแต่ละแบบเพื่อมองหาอรรถประโยชน์ที่จะได้มา นอกเหนือจากตัวเลขแห้งแล้งในบัญชีการเงิน
การควบรวมกิจการแบบที่ 1 : Horizontal Merger
การควบรวมกิจการแบบ Horizontal Merger คือการซื้อหรือควบรวมกิจการระหว่างกิจการที่มีตําแหน่งในห่วงโซ่อุปทานใกล้เคียงกัน อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน บริษัทมักจะ มีลักษณะเป็นคู่แข่งทางตรงซึ่งกันและกัน การควบรวมกิจการแบบนี้ช่วยในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดอย่างรวดเร็ว ลดคู่แข่งทางตรงและลดการแข่งขันในอุตสาหกรรมลง การควบรวมกิจการแบบนี้เหมาะกับธุรกิจที่เติบโตด้วยตนเองยาก มีข้อจํากัดสูงหรือใช้เวลานาน การควบรวมกิจการไปเลยทําให้เห็นผลการเติบโตอย่างรวดเร็ว
หุ้น BDMS (Bangkok Dusit Medical Services Public ใน Company Limited) คือเจ้าของกิจการเครือโรงพยาบาลกรุงเทพดุสิตเวชการ เครือโรงพยาบาลเอกชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ประเทศไทย บริษัทดําเนินการเติบโตด้วยการซื้อและควบรวมกิจการแบบ Horizontal Merger มาโดยตลอด โดยบริษัทเน้น การเติบโตผ่านการซื้อโรงพยาบาลเข้ามาในเครือแทนการสร้างใหม่ที่ใช้เวลานานและมีข้อจํากัดมาก โรงพยาบาลที่บริษัทซื้อเข้ามา เช่น โรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลพญาไท โรงพยาบาลเปาโล เป็นต้น
การควบรวมกิจการแบบที่ 2 : Vertical Merger
การควบรวมกิจการแบบ Vertical Merger คือการซื้อหรือควบรวมกิจการระหว่างในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน การซื้อ กิจการที่เป็นผู้ขายสินค้าหรือบริการให้ตนเรียกว่าการควบรวม กิจการย้อนกลับ (Backward Merger) ขณะการซื้อกิจการที่ เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือบริการจากตนเรียกว่าการควบรวมกิจการข้างหน้า (Forward Merger) การควบรวมแบบนี้มักจะเพิ่ม ความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในห่วงโซ่อุปทาน ลดความเสี่ยง จากการพึ่งพาคู่ค้าหรือลูกค้ามากจนอาจจะทําให้ธุรกิจสะดุดในอนาคตได้
หุ้น CPAXT (CP Axtra Public Company Limited) คือเจ้าของธุรกิจค้าส่งสินค้าราคาถูก Makro ในประเทศไทย บริษัทประกอบธุรกิจขายส่งสินค้าให้ลูกค้านําไปทําธุรกิจต่อเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปลีกขนาดเล็กหรือร้านอาหาร ในปี 2016 บริษัทได้เริ่มต้นซื้อกิจการบริษัทจัดจําหน่ายสินค้า หลายบริษัทที่เป็นกลุ่มธุรกิจที่จะเป็นผู้ขายสินค้าเข้าในร้านค้าส่ง Makro เช่น Indoguna, Lordly, Just Meat เป็นต้น การควบรวมกิจการดังกล่าวนับเป็นการควบรวมกิจการย้อนกลับ (Backward Merger)
SCC (The Siam Cement Public Company Limited) คือผู้ผลิตและจัดจําหน่ายปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างอื่นรายใหญ่ในประเทศไทย บริษัทได้เข้าไปซื้อธุรกิจ ร้านค้าปลีกอุปกรณ์ก่อสร้างซึ่งนับเป็นลูกค้าของตน เช่น ร้านค้าปลีก Global ในประเทศไทย ร้านค้าปลีก Mitra10 ใน ประเทศอินโดนีเซีย ร้านค้าปลีก Atria ในประเทศอินโดนีเซีย การซื้อกิจการเหล่านี้ก็ช่วยลดแรงกดดันจากการต่อรองของกลุ่มลูกค้าลงไป การควบรวมกิจการดังกล่าวนับเป็นการควบรวม กิจการข้างหน้า (Forward Merger)
การควบรวมกิจการแบบที่ 3 : Conglomerate Merger
การควบรวมกิจการแบบ Conglomerate Merger คือ การซื้อหรือควบรวมกิจการระหว่างธุรกิจที่อยู่ต่างอุตสาหกรรม และไม่มีความสัมพันธ์กันในห่วงโซ่อุปทานเลย การควบรวมกิจการดังกล่าวเรียกอีกอย่างได้ว่าการควบรวมกิจการแบบกระจายความเสียง (Diversification Merger) การควบรวมกิจการนี้มักจะช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งมากเกินไป ในขณะเดียวกันข้อเสียคือการควบรวมดังกล่าวมักไม่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งหรือ ผสมผสานข้อดีเพื่อเอื้อประโยชน์อะไรกันได้
WAVE (Wave Exponential Public Company Limited) เริ่มต้นธุรกิจจากการอุตสาหกรรมบันเทิงและรายการ โทรทัศน์ ก่อนจะซื้อธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ Wall Street English ซื้อธุรกิจร้านอาหาร Jeffer Steak & Seafood ซื้อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ Index Creative Village เข้ามา ก่อนจะหันไปลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานผ่าน บริษัท เดอะเมกะวัตต์ จํากัด สังเกตได้ว่าบริษัทเติบโตผ่านการซื้อกิจการ และแต่ละกิจการก็มีความแตกต่างในอุตสาหกรรมที่แทบจะไม่เกี่ยวข้องกันเลย
การควบรวมกิจการแบบที่ 4 : Congeneric Merger
การควบรวมกิจการแบบ Congeneric Merger คือ การซื้อหรือควบรวมกิจการระหว่างบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันในระยะการเติบโตทางธุรกิจ ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะที่บริษัทที่มีขนาดใหญ่ เติบโตไปมาก แล้ว และมีลักษณะเป็นผู้นําในอุตสาหกรรม ซื้อหรือควบรวม กิจการที่มีขนาดเล็กกว่าในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อให้ได้ มาซึ่งสินทรัพย์บางอย่าง สินค้าหรือบริการที่มีศักยภาพ หรือป้องกันการเกิดขึ้นของคู่แข่งที่มีศักยภาพในอนาคต
หุ้น ROG (Roche Holding AG) คือบริษัทผู้ผลิตยาที่มี ขนาดใหญ่มากของโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในปี 2023 บริษัทได้ตัดสินใจซื้อบริษัท Carmot Therapeutics บริษัทด้าน เทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อจะได้สิทธิบัตรยาในกลุ่ม GLP-1 analog ที่บริษัท Carrot ถือไว้ในการเดินหน้าเข้าสู่อุตสาหกรรมยาฉีด เพื่อลดความอ้วน ต่อสู้กับเจ้าตลาดดั้งเดิมอย่าง Novo Nordisk และ Eli Lilly ที่มีสิทธิบัตรเป็นของตนเองอยู่ก่อนแล้ว
การควบรวมกิจการแบบที่ 5 : Reverse Merger
การควบรวมกิจการแบบ Reverse Merger คือการซื้อ หรือควบรวมกิจการโดยบริษัทที่มีขนาดเล็กกว่าเข้าซื้อบริษัท ที่มีขนาดใหญ่กว่าและแลกเปลี่ยนหุ้นกัน การซื้อหรือควบรวม กิจการดังกล่าวมักใช้เพื่อเป็นการเข้าจดทะเบียนหลักทรัพย์โดย ทางอ้อม (Backdoor Listing) บริษัทใหญ่จะได้รับประโยชน์ โดยการเข้าสู่การเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น โดยมี ขั้นตอนและความวุ่นวายน้อยกว่าการจดทะเบียนทางตรงผ่าน การเสนอขายหุ้นครั้งแรกของบริษัทให้กับสาธารณชน (Initial Public Offering; IPO)
หุ้น EFORL (E for L Aim Public Company Limited) คือ บริษัทที่มีจุดเริ่มต้นในการทําธุรกิจเกี่ยวกับการกระจายสินค้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ ต่อมาบริษัทได้ประกาศว่าจะเข้าซื้อ ธุรกิจคลินิกเสริมความงามวุฒิศักดิ์คลินิก จากบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จํากัด ซึ่งมีขนาดธุรกิจรวมใหญ่กว่าตนเอง และจะแลกเปลี่ยนการถือหุ้นกันเพื่อให้ บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จํากัด สามารถจดทะเบียนหลักทรัพย์โดยทางอ้อม (Backdoor Listing) เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้
ทั้งนี้ทั้งนั้น หากบริษัทกล่าวอ้างว่าการควบรวมกิจการใด จะให้ประโยชน์กับบริษัทมากกว่ากระแสเงินอิสระที่ได้รับมา ตัวเลขหรือผลกระทบเชิงบวกดังกล่าวก็ควรสะท้อนกลับมาในงบการเงินหลังจากควบรวมกิจการไปได้แล้วระยะหนึ่ง (รอให้แสดงผลเต็มที่) เช่น ความสามารถในการทํากําไรขั้นต้นได้ดีขึ้น ความสามารถในการลดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น แต่หลายครั้ง ควบรวมกิจการก็ไม่ได้ผลดังที่ผู้บริหารคาดไว้ และการลงทุนนั้น ก็จะกลายเป็นการลงทุนแบบที่ไม่คุ้มค่าจริง ๆ
การควบรวมกิจการเป็นวิธีการที่ผ่องถ่ายเงินออกจากบริษัทอย่างถูกกฎหมาย ง่ายดาย และรวดเร็ว การซื้อหุ้นหรือกิจการที่ราคาแพงเกินไปหมายถึงตัวเลขที่อาจจะเกิดจากส่วนแบ่งที่สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงมหาศาล ตัวเลขดังกล่าวอาจจะไหลเวียนกลับไปสู่กระเป๋าเงินผู้บริหารและผู้มีอํานาจตัดสินใจทั้งหลายในการทําข้อตกลงในการควบรวมกิจการ ท่องไว้เสมอว่าทุกครั้งที่ซื้อหรือควบรวมกิจการ นั่นหมายถึงโอกาสจํานวนมากที่เงินอาจจะไหลออกไปจากธุรกิจโดยไม่โปร่งใสได้ การพินิจพิเคราะห์การซื้อหรือควบรวมกิจการจึงควรเป็น ไปอย่างรอบคอบเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่มีการซื้อหรือ ควบรวมกิจการที่ (1) บ่อย หรือ (2) มูลค่าการควบรวมกิจการ มีนัยสําคัญอย่างมากต่อธุรกิจ นักลงทุนควรคิดด้วยตรรกะพื้นฐานว่าประโยชน์ที่น่าจะได้รับเป็นไปตามที่ผู้บริหารบอกหรือไม่ หากคิดว่าเป็นไปได้ นักลงทุนก็ควรติดตามผลจาก ตัวเลขสําคัญต่อไปในอนาคต แต่ถ้าคิดด้วยตรรกะพื้นฐาน แล้วยังรู้สึกไม่สมเหตุสมผล นักลงทุนก็ควรจะหลีกหนีไปให้ไกล จากสัญญาณอันตรายเหล่านั้น
ว่าด้วยเรื่องของการควบรวมกิจการ (Mergers and Acquistions)
อย่างที่บอกไปแล้วว่าการเติบโตด้วยการซื้อกิจการ นับเป็น ความสัมพันธ์ทั้งรักทั้งเกลียดของผม อย่างแรก ผมไม่ใช่ว่าจะ ชอบบริษัทที่สนใจแต่ซื้อกิจการเป็นเรื่องหลัก เพราะคุณต้องลองนึกตามว่า ไม่มีเจ้าของบริษัทไหนเป็นหมูในอวยจะมาเสนอ ขายหุ้นให้ในราคาถูกหรอก
หากบริษัทไม่ได้ตกอยู่ในช่วงวิกฤตเต็มแก่ เจ๊งแหล่มเจ๋งแหล่ ใครต่อใครก็อยากได้กําไรจนตาวาว ทั้งนั้น โอกาสที่บริษัทจะซื้อกิจการอื่นมาในราคาย่อมเยา เป็น ไปได้ยากจนบางครั้งผมรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ในภาวะปรกติเลย สถานการณ์ที่ดูพอจะทําให้การซื้อกิจการดูคุ้มค่าขึ้นมาบ้างคือการช้อนซื้อกิจการในภาวะวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตบริษัทเองหรือวิกฤตเศรษฐกิจก็ตาม การเข้าซื้อช่วงนี้มักจะให้ผลตอบแทนที่ดูดีเมื่อเทียบกับต้นทุน
แต่อย่าลืมว่าธุรกิจที่ได้มาย่อมมาพร้อมวิกฤตด้วย หลายครั้งตัวเลขกระแสเงินสดอิสระที่ทํานายไว้อาจจะทําไม่ได้ตามคาด แถมบริษัทที่ซื้อมายังต้องคอยมาตามเช็ดตามล้างปัญหาที่ติดค้างมาเป็นลูกติดอีกด้วย บริษัทที่ซื้อก็ต้องเก่งประมาณหนึ่งถึงจะดึงเอาศักยภาพของบริษัทที่ชื่อออกมาได้
โดยภาพรวมผมจึงไม่ชอบการที่บริษัทเติบโตด้วยการซื้อกิจการเท่าไรนัก เพราะการเติบโตแบบนี้ทําได้ยากที่จะคุ้มค่า แถมถ้าบริษัทพยายามจะเติบโตด้วยวิธีนี้มากเกินไปก็อาจจะทําให้สูญเสียความมุ่งเน้นในการทําธุรกิจหลักไปเสียอีก ท่องไว้เสมอว่าไม่มีใครมาเสนอขายหุ้นดีให้ในราคาถูกหรอก ยิ่งเราอยากซื้อเท่าไร คนขายยิ่งขึ้นราคาได้มากเท่านั้น การเติบโตจากการซื้อกิจการที่ดีมักจะมาพร้อมจังหวะเวลาที่เหมาะสมมากกว่าความพยายาม
แต่การจะมองการซื้อและควบรวมกิจการด้วยมุมมองเพียงตัวเลขก็ออกจะแห้งแล้งและใจร้ายไปเสียหน่อย เพราะความจริงหลายครั้งการซื้อหุ้นของบริษัทอื่นไม่ได้ให้ ผลตอบแทนหลักในแง่ของกระแสเงินสดอิสระ แต่กลับเสริมสร้างความแข็งแกร่งบางอย่างในการดําเนินธุรกิจมากกว่า และประเด็นสําคัญคือบริษัทส่วนใหญ่ก็มักจะซื้อหุ้นบริษัทอื่นกันด้วยเหตุผลนี้ด้วย นักลงทุนจึงต้องทําความเข้าใจการควบรวมกิจการแต่ละแบบเพื่อมองหาอรรถประโยชน์ที่จะได้มา นอกเหนือจากตัวเลขแห้งแล้งในบัญชีการเงิน
การควบรวมกิจการแบบที่ 1 : Horizontal Merger
การควบรวมกิจการแบบ Horizontal Merger คือการซื้อหรือควบรวมกิจการระหว่างกิจการที่มีตําแหน่งในห่วงโซ่อุปทานใกล้เคียงกัน อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน บริษัทมักจะ มีลักษณะเป็นคู่แข่งทางตรงซึ่งกันและกัน การควบรวมกิจการแบบนี้ช่วยในการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดอย่างรวดเร็ว ลดคู่แข่งทางตรงและลดการแข่งขันในอุตสาหกรรมลง การควบรวมกิจการแบบนี้เหมาะกับธุรกิจที่เติบโตด้วยตนเองยาก มีข้อจํากัดสูงหรือใช้เวลานาน การควบรวมกิจการไปเลยทําให้เห็นผลการเติบโตอย่างรวดเร็ว
หุ้น BDMS (Bangkok Dusit Medical Services Public ใน Company Limited) คือเจ้าของกิจการเครือโรงพยาบาลกรุงเทพดุสิตเวชการ เครือโรงพยาบาลเอกชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ประเทศไทย บริษัทดําเนินการเติบโตด้วยการซื้อและควบรวมกิจการแบบ Horizontal Merger มาโดยตลอด โดยบริษัทเน้น การเติบโตผ่านการซื้อโรงพยาบาลเข้ามาในเครือแทนการสร้างใหม่ที่ใช้เวลานานและมีข้อจํากัดมาก โรงพยาบาลที่บริษัทซื้อเข้ามา เช่น โรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลพญาไท โรงพยาบาลเปาโล เป็นต้น
การควบรวมกิจการแบบที่ 2 : Vertical Merger
การควบรวมกิจการแบบ Vertical Merger คือการซื้อหรือควบรวมกิจการระหว่างในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน การซื้อ กิจการที่เป็นผู้ขายสินค้าหรือบริการให้ตนเรียกว่าการควบรวม กิจการย้อนกลับ (Backward Merger) ขณะการซื้อกิจการที่ เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือบริการจากตนเรียกว่าการควบรวมกิจการข้างหน้า (Forward Merger) การควบรวมแบบนี้มักจะเพิ่ม ความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในห่วงโซ่อุปทาน ลดความเสี่ยง จากการพึ่งพาคู่ค้าหรือลูกค้ามากจนอาจจะทําให้ธุรกิจสะดุดในอนาคตได้
หุ้น CPAXT (CP Axtra Public Company Limited) คือเจ้าของธุรกิจค้าส่งสินค้าราคาถูก Makro ในประเทศไทย บริษัทประกอบธุรกิจขายส่งสินค้าให้ลูกค้านําไปทําธุรกิจต่อเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปลีกขนาดเล็กหรือร้านอาหาร ในปี 2016 บริษัทได้เริ่มต้นซื้อกิจการบริษัทจัดจําหน่ายสินค้า หลายบริษัทที่เป็นกลุ่มธุรกิจที่จะเป็นผู้ขายสินค้าเข้าในร้านค้าส่ง Makro เช่น Indoguna, Lordly, Just Meat เป็นต้น การควบรวมกิจการดังกล่าวนับเป็นการควบรวมกิจการย้อนกลับ (Backward Merger)
SCC (The Siam Cement Public Company Limited) คือผู้ผลิตและจัดจําหน่ายปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างอื่นรายใหญ่ในประเทศไทย บริษัทได้เข้าไปซื้อธุรกิจ ร้านค้าปลีกอุปกรณ์ก่อสร้างซึ่งนับเป็นลูกค้าของตน เช่น ร้านค้าปลีก Global ในประเทศไทย ร้านค้าปลีก Mitra10 ใน ประเทศอินโดนีเซีย ร้านค้าปลีก Atria ในประเทศอินโดนีเซีย การซื้อกิจการเหล่านี้ก็ช่วยลดแรงกดดันจากการต่อรองของกลุ่มลูกค้าลงไป การควบรวมกิจการดังกล่าวนับเป็นการควบรวม กิจการข้างหน้า (Forward Merger)
การควบรวมกิจการแบบที่ 3 : Conglomerate Merger
การควบรวมกิจการแบบ Conglomerate Merger คือ การซื้อหรือควบรวมกิจการระหว่างธุรกิจที่อยู่ต่างอุตสาหกรรม และไม่มีความสัมพันธ์กันในห่วงโซ่อุปทานเลย การควบรวมกิจการดังกล่าวเรียกอีกอย่างได้ว่าการควบรวมกิจการแบบกระจายความเสียง (Diversification Merger) การควบรวมกิจการนี้มักจะช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งมากเกินไป ในขณะเดียวกันข้อเสียคือการควบรวมดังกล่าวมักไม่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งหรือ ผสมผสานข้อดีเพื่อเอื้อประโยชน์อะไรกันได้
WAVE (Wave Exponential Public Company Limited) เริ่มต้นธุรกิจจากการอุตสาหกรรมบันเทิงและรายการ โทรทัศน์ ก่อนจะซื้อธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ Wall Street English ซื้อธุรกิจร้านอาหาร Jeffer Steak & Seafood ซื้อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ Index Creative Village เข้ามา ก่อนจะหันไปลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานผ่าน บริษัท เดอะเมกะวัตต์ จํากัด สังเกตได้ว่าบริษัทเติบโตผ่านการซื้อกิจการ และแต่ละกิจการก็มีความแตกต่างในอุตสาหกรรมที่แทบจะไม่เกี่ยวข้องกันเลย
การควบรวมกิจการแบบที่ 4 : Congeneric Merger
การควบรวมกิจการแบบ Congeneric Merger คือ การซื้อหรือควบรวมกิจการระหว่างบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันในระยะการเติบโตทางธุรกิจ ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะที่บริษัทที่มีขนาดใหญ่ เติบโตไปมาก แล้ว และมีลักษณะเป็นผู้นําในอุตสาหกรรม ซื้อหรือควบรวม กิจการที่มีขนาดเล็กกว่าในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อให้ได้ มาซึ่งสินทรัพย์บางอย่าง สินค้าหรือบริการที่มีศักยภาพ หรือป้องกันการเกิดขึ้นของคู่แข่งที่มีศักยภาพในอนาคต
หุ้น ROG (Roche Holding AG) คือบริษัทผู้ผลิตยาที่มี ขนาดใหญ่มากของโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในปี 2023 บริษัทได้ตัดสินใจซื้อบริษัท Carmot Therapeutics บริษัทด้าน เทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อจะได้สิทธิบัตรยาในกลุ่ม GLP-1 analog ที่บริษัท Carrot ถือไว้ในการเดินหน้าเข้าสู่อุตสาหกรรมยาฉีด เพื่อลดความอ้วน ต่อสู้กับเจ้าตลาดดั้งเดิมอย่าง Novo Nordisk และ Eli Lilly ที่มีสิทธิบัตรเป็นของตนเองอยู่ก่อนแล้ว
การควบรวมกิจการแบบที่ 5 : Reverse Merger
การควบรวมกิจการแบบ Reverse Merger คือการซื้อ หรือควบรวมกิจการโดยบริษัทที่มีขนาดเล็กกว่าเข้าซื้อบริษัท ที่มีขนาดใหญ่กว่าและแลกเปลี่ยนหุ้นกัน การซื้อหรือควบรวม กิจการดังกล่าวมักใช้เพื่อเป็นการเข้าจดทะเบียนหลักทรัพย์โดย ทางอ้อม (Backdoor Listing) บริษัทใหญ่จะได้รับประโยชน์ โดยการเข้าสู่การเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น โดยมี ขั้นตอนและความวุ่นวายน้อยกว่าการจดทะเบียนทางตรงผ่าน การเสนอขายหุ้นครั้งแรกของบริษัทให้กับสาธารณชน (Initial Public Offering; IPO)
หุ้น EFORL (E for L Aim Public Company Limited) คือ บริษัทที่มีจุดเริ่มต้นในการทําธุรกิจเกี่ยวกับการกระจายสินค้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ ต่อมาบริษัทได้ประกาศว่าจะเข้าซื้อ ธุรกิจคลินิกเสริมความงามวุฒิศักดิ์คลินิก จากบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จํากัด ซึ่งมีขนาดธุรกิจรวมใหญ่กว่าตนเอง และจะแลกเปลี่ยนการถือหุ้นกันเพื่อให้ บริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จํากัด สามารถจดทะเบียนหลักทรัพย์โดยทางอ้อม (Backdoor Listing) เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้
ทั้งนี้ทั้งนั้น หากบริษัทกล่าวอ้างว่าการควบรวมกิจการใด จะให้ประโยชน์กับบริษัทมากกว่ากระแสเงินอิสระที่ได้รับมา ตัวเลขหรือผลกระทบเชิงบวกดังกล่าวก็ควรสะท้อนกลับมาในงบการเงินหลังจากควบรวมกิจการไปได้แล้วระยะหนึ่ง (รอให้แสดงผลเต็มที่) เช่น ความสามารถในการทํากําไรขั้นต้นได้ดีขึ้น ความสามารถในการลดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น แต่หลายครั้ง ควบรวมกิจการก็ไม่ได้ผลดังที่ผู้บริหารคาดไว้ และการลงทุนนั้น ก็จะกลายเป็นการลงทุนแบบที่ไม่คุ้มค่าจริง ๆ
การควบรวมกิจการเป็นวิธีการที่ผ่องถ่ายเงินออกจากบริษัทอย่างถูกกฎหมาย ง่ายดาย และรวดเร็ว การซื้อหุ้นหรือกิจการที่ราคาแพงเกินไปหมายถึงตัวเลขที่อาจจะเกิดจากส่วนแบ่งที่สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงมหาศาล ตัวเลขดังกล่าวอาจจะไหลเวียนกลับไปสู่กระเป๋าเงินผู้บริหารและผู้มีอํานาจตัดสินใจทั้งหลายในการทําข้อตกลงในการควบรวมกิจการ ท่องไว้เสมอว่าทุกครั้งที่ซื้อหรือควบรวมกิจการ นั่นหมายถึงโอกาสจํานวนมากที่เงินอาจจะไหลออกไปจากธุรกิจโดยไม่โปร่งใสได้ การพินิจพิเคราะห์การซื้อหรือควบรวมกิจการจึงควรเป็น ไปอย่างรอบคอบเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่มีการซื้อหรือ ควบรวมกิจการที่ (1) บ่อย หรือ (2) มูลค่าการควบรวมกิจการ มีนัยสําคัญอย่างมากต่อธุรกิจ นักลงทุนควรคิดด้วยตรรกะพื้นฐานว่าประโยชน์ที่น่าจะได้รับเป็นไปตามที่ผู้บริหารบอกหรือไม่ หากคิดว่าเป็นไปได้ นักลงทุนก็ควรติดตามผลจาก ตัวเลขสําคัญต่อไปในอนาคต แต่ถ้าคิดด้วยตรรกะพื้นฐาน แล้วยังรู้สึกไม่สมเหตุสมผล นักลงทุนก็ควรจะหลีกหนีไปให้ไกล จากสัญญาณอันตรายเหล่านั้น