สุดท้ายก็ลากความขัดแย้งระหว่างประเทศ ให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องการดีลภาษีจนได้
ถ้ามันจะได้ 36% ก็คงต้องตามนั้นแหละ
ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทย–กัมพูชา ที่กำลังอยู่ในช่วงเจรจาหยุดยิง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียวันนี้ (28 ก.ค. 2568)
สหรัฐอเมริกา
โดยประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" ได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า จะไม่ยอมลดอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่ 36% ต่อไทยและกัมพูชา หากยังไม่เห็น “การหยุดยิงอย่างแท้จริง” ในทางปฏิบัติ แม้การเจรจาจะมีความคืบหน้าในเชิงสัญลักษณ์
ขณะเดียวกัน ประเทศคู่แข่งในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น หรือสหภาพยุโรป ต่างปิดดีลการค้าใหม่กับสหรัฐได้แล้วในอัตราภาษีเฉลี่ยเพียง 15–20% ส่งผลให้ไทยและกัมพูชากำลังเผชิญ แรงกดดันมหาศาล จากทั้งการทูตและการค้า ที่อาจทำให้เสียโอกาสสำคัญในเวทีเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้หากทรัมป์ตัดสินใจ คงภาษี 36% ต่อไทย–กัมพูชา หลังเส้นตาย 1 สิงหาคม 2568 ผลกระทบจะเกิดขึ้นในมิติเศรษฐกิจ การทูต และภาคธุรกิจไทยอย่างไร และไทยควรตั้งรับอย่างไรในเกมที่เดิมพันไม่ใช่แค่การค้า แต่คือ อำนาจต่อรองระดับภูมิรัฐศาสตร์
สถานการณ์จำลอง : หากภาษี 36% มีผลจริงกับไทย–กัมพูชา
หาก โดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้าตามคำขู่ โดยคงอัตราภาษีตอบโต้ที่ 36% ต่อไทยและกัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เพราะเชื่อว่าทั้งสองประเทศยังไม่มีพฤติกรรมหยุดยิงจริงตามที่เขาเรียกร้อง ผลที่ตามมาอาจไม่ใช่แค่ ต้นทุนส่งออกเพิ่ม แต่ยังหมายถึงความเสี่ยงระยะยาวด้าน ความสามารถแข่งขัน, ความเชื่อมั่นนักลงทุน, และ ทิศทางภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาค ดังนี้
"โดนัลด์ ทรัมป์" ส่งสัญญาณชัดเจน ไม่ยอมลดอัตราภาษีตอบโต้ 36% ต่อไทยและกัมพูชา หากยังไม่เห็น “การหยุดยิงอย่างแท้จริง”