แอนนา เด็กหญิงวัย 6 ขวบ รอดชีวิตจากการฆ่าล้างบางชาวยิวในท้องถิ่นแห่งนึงได้อย่างปาฏิหาริย์
จากการที่แม่ของเธอเอาร่างของตัวเองบังแอนนาไว้.. หลังจากนั้นเด็กหญิงได้ไปซ่อนตัวอยู่ในปล่องไฟของโรงเรียนในยูเครน
ซึ่งถูกใช้เป็นกองบัญชาการของนาซีในช่วงที่ถูกกองกำลังนาซีเข้ายึดครอง
จากที่พักพิงของเธอ (ภายในปล่องไฟ) เด็กหญิงมองดูทุกชีวิตที่ผ่านเข้ามาในโลกใบเล็กของเธอ
ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังยูเครน ทหารนาซี และอีกมากมาย.. ความเป็นไปทุกอย่างผ่านสายตาของเธอ
ขณะเดียวกันแอนนาต้องพยายามเอาชีวิตรอดให้ได้จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ให้ได้
แม้ว่าจะต้องทุกข์ทรมานแสนสาหัสมากสักเพียงใดก็ตาม...
Anna's War ผลงานของผู้กำกับชาวรัสเซีย Aleksey Fedorchenko เรื่องราวที่นำเสนออีกแง่มุม
ของความน่าสะพรึงกลัวในเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ผ่านสายตาของเด็กน้อยชาวยิววัย 6 ขวบที่ชื่อแอนนา (รับบทโดยมาร์ทา โคซโลวา)
โลกทั้งใบที่เหลืออยู่ของเธอก็คือภายในปล่องไฟแคบและมืด...
หลังจากที่ครอบครัวของเธอถูกสังหารโดยพวกนาซีในช่วงเปิดเรื่อง
แอนนาถูกทิ้งอยู่ท่ามกลางกองซากศพ เป็นซีนเปิดเรื่องที่น่าหดหู่และสะเทือนในอย่างมาก
(แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากมองด้วยองค์ประกอบศิลป์ภาพที่ออกมานั้นถือว่าสวยงามมากเช่นกัน)
แอนนาถูกพบโดยชาวบ้านในละแวก ก่อนถูกพาตัวไปโรงเรียนที่ถูกดัดแปลงเป็นฐานทัพทหาร..
และที่นี่เองเด็กน้อยรีบหนีไปแล้วและซ่อนตัวเองบนปล่องไฟในห้องเรียนห้องหนึ่ง
จากจุดนั้น เธอก็เฝ้ามองโลกภายนอกผ่านกระจกที่ชำรุดในช่วงเวลากลางวัน
ขณะที่ในตอนกลางคืนเมื่อไม่มีใครอยู่ เธอจะแอบออกไปสำรวจภายในอาคาร
และกินอะไรก็ได้ที่เธอพบเจอเพื่อประทังชีวิต คือกินสิ่งที่คนอย่างเราๆท่านๆ ไม่มีทางกินเด็ดขาด!!!!
(โคตรหดหู่และทรมานใจจริงๆอย่างที่สุดครับ)
การเอาตัวรอดนี่ล่ะครับคือประเด็นสำคัญหลักที่หนังเรื่องนี้นำเสนอ เด็กหญิงอายุแค่นี้อยู่ตัวคนเดียวจะใช้ชีวิตได้อย่างไร
ไม่มีอาหารไม่มีน้ำ อากาศก็หนาวเย็น.. ซึ่งเธอก็ทำให้เราได้เห็นถึงไหวพริบและสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดได้อย่างมากครับ
แต่ก็มีซีนที่ทำให้คนดูอย่างผมสะเทือนใจแบบสุดๆ ด้วยเช่นกัน (ซึ่งตัวของแอนนาในหนังก็ทนไม่ได้ครับ แต่มันจำเป็นต้องทำ...)
สีหน้า อารมณ์ แววตา หนูน้อยมาร์ทา ในบทของแอนนา ตีได้แตกกระจาย ความหดหู่ สิ้นหวัง หวาดกลัว โกรธแค้น
มีครบหมดจนน่าเหลือเชื่อว่านักแสดงเด็กวัย 13 ปี (แต่เธอตัวเล็กมากครับ รับบทวัย 6 ขวบได้สบาย)
จะแสดงได้ดีมากขนาดนี้ บางซีนดูแล้วกลัวจริงๆครับ กลัวเด็กนี่ล่ะ เล่นดีเหลือเกิน...
อ้อ .ทั้งเรื่องนี้น้องเขาออกเสียงพูดออกมาแค่คำเดียวนะครับ..
คำเดียวจริงๆ แต่เป็นคำที่มีความหมายมากกับชีวิตที่มีอยู่ของเขา และมันก็.... เฮ้อ... ฮืออ....
ผมจัดให้หนังเรื่องนี้มีความสุ่มเสี่ยงและล่อแหลมมากในเรื่องของความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน
ดังนั้นใครที่หวั่นไหวมากๆ อย่าดูนะครับ เพราะอารมณ์คุณจะจมดิ่งลึก จนยากที่จะถอนความรู้สึกออกมาจากตัวหนังได้อีกนาน
บรรยากาศทุกอย่างมันเลวร้ายมากจริงๆ
สงครามทำลายทุกอย่างไม่ว่าจะอะไรก็ตาม เช่นเดียวกับชีวิตของหนูน้อยแอนนา ที่โดนทำลายลงเช่นเดียวกัน
แต่แม้สงครามภายนอกรอบตัวเธอจะจบลง แต่สงครามเล็กๆในชีวิตของเธอยังนั้น ยังคงอยู่ และเธอก็ต้องสู้ต่อไปตราบชั่วชีวิต
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== Anna's War (2018) เด็กน้อย.. ในปล่องไฟ... ==
แอนนา เด็กหญิงวัย 6 ขวบ รอดชีวิตจากการฆ่าล้างบางชาวยิวในท้องถิ่นแห่งนึงได้อย่างปาฏิหาริย์
จากการที่แม่ของเธอเอาร่างของตัวเองบังแอนนาไว้.. หลังจากนั้นเด็กหญิงได้ไปซ่อนตัวอยู่ในปล่องไฟของโรงเรียนในยูเครน
ซึ่งถูกใช้เป็นกองบัญชาการของนาซีในช่วงที่ถูกกองกำลังนาซีเข้ายึดครอง
จากที่พักพิงของเธอ (ภายในปล่องไฟ) เด็กหญิงมองดูทุกชีวิตที่ผ่านเข้ามาในโลกใบเล็กของเธอ
ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังยูเครน ทหารนาซี และอีกมากมาย.. ความเป็นไปทุกอย่างผ่านสายตาของเธอ
ขณะเดียวกันแอนนาต้องพยายามเอาชีวิตรอดให้ได้จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ให้ได้
แม้ว่าจะต้องทุกข์ทรมานแสนสาหัสมากสักเพียงใดก็ตาม...
Anna's War ผลงานของผู้กำกับชาวรัสเซีย Aleksey Fedorchenko เรื่องราวที่นำเสนออีกแง่มุม
ของความน่าสะพรึงกลัวในเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ผ่านสายตาของเด็กน้อยชาวยิววัย 6 ขวบที่ชื่อแอนนา (รับบทโดยมาร์ทา โคซโลวา)
โลกทั้งใบที่เหลืออยู่ของเธอก็คือภายในปล่องไฟแคบและมืด...
หลังจากที่ครอบครัวของเธอถูกสังหารโดยพวกนาซีในช่วงเปิดเรื่อง
แอนนาถูกทิ้งอยู่ท่ามกลางกองซากศพ เป็นซีนเปิดเรื่องที่น่าหดหู่และสะเทือนในอย่างมาก
(แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากมองด้วยองค์ประกอบศิลป์ภาพที่ออกมานั้นถือว่าสวยงามมากเช่นกัน)
แอนนาถูกพบโดยชาวบ้านในละแวก ก่อนถูกพาตัวไปโรงเรียนที่ถูกดัดแปลงเป็นฐานทัพทหาร..
และที่นี่เองเด็กน้อยรีบหนีไปแล้วและซ่อนตัวเองบนปล่องไฟในห้องเรียนห้องหนึ่ง
จากจุดนั้น เธอก็เฝ้ามองโลกภายนอกผ่านกระจกที่ชำรุดในช่วงเวลากลางวัน
ขณะที่ในตอนกลางคืนเมื่อไม่มีใครอยู่ เธอจะแอบออกไปสำรวจภายในอาคาร
และกินอะไรก็ได้ที่เธอพบเจอเพื่อประทังชีวิต คือกินสิ่งที่คนอย่างเราๆท่านๆ ไม่มีทางกินเด็ดขาด!!!!
(โคตรหดหู่และทรมานใจจริงๆอย่างที่สุดครับ)
การเอาตัวรอดนี่ล่ะครับคือประเด็นสำคัญหลักที่หนังเรื่องนี้นำเสนอ เด็กหญิงอายุแค่นี้อยู่ตัวคนเดียวจะใช้ชีวิตได้อย่างไร
ไม่มีอาหารไม่มีน้ำ อากาศก็หนาวเย็น.. ซึ่งเธอก็ทำให้เราได้เห็นถึงไหวพริบและสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดได้อย่างมากครับ
แต่ก็มีซีนที่ทำให้คนดูอย่างผมสะเทือนใจแบบสุดๆ ด้วยเช่นกัน (ซึ่งตัวของแอนนาในหนังก็ทนไม่ได้ครับ แต่มันจำเป็นต้องทำ...)
สีหน้า อารมณ์ แววตา หนูน้อยมาร์ทา ในบทของแอนนา ตีได้แตกกระจาย ความหดหู่ สิ้นหวัง หวาดกลัว โกรธแค้น
มีครบหมดจนน่าเหลือเชื่อว่านักแสดงเด็กวัย 13 ปี (แต่เธอตัวเล็กมากครับ รับบทวัย 6 ขวบได้สบาย)
จะแสดงได้ดีมากขนาดนี้ บางซีนดูแล้วกลัวจริงๆครับ กลัวเด็กนี่ล่ะ เล่นดีเหลือเกิน...
อ้อ .ทั้งเรื่องนี้น้องเขาออกเสียงพูดออกมาแค่คำเดียวนะครับ..
คำเดียวจริงๆ แต่เป็นคำที่มีความหมายมากกับชีวิตที่มีอยู่ของเขา และมันก็.... เฮ้อ... ฮืออ....
ผมจัดให้หนังเรื่องนี้มีความสุ่มเสี่ยงและล่อแหลมมากในเรื่องของความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน
ดังนั้นใครที่หวั่นไหวมากๆ อย่าดูนะครับ เพราะอารมณ์คุณจะจมดิ่งลึก จนยากที่จะถอนความรู้สึกออกมาจากตัวหนังได้อีกนาน
บรรยากาศทุกอย่างมันเลวร้ายมากจริงๆ
สงครามทำลายทุกอย่างไม่ว่าจะอะไรก็ตาม เช่นเดียวกับชีวิตของหนูน้อยแอนนา ที่โดนทำลายลงเช่นเดียวกัน
แต่แม้สงครามภายนอกรอบตัวเธอจะจบลง แต่สงครามเล็กๆในชีวิตของเธอยังนั้น ยังคงอยู่ และเธอก็ต้องสู้ต่อไปตราบชั่วชีวิต
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===