ไทย-กัมพูชา ปะทะกัน วิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและนักลงทุนไทยล่าสุด
สภาวะความไม่แน่นอนบริเวณชายแดนได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทย ทั้งในตลาดหลักทรัพย์และการลงทุนในภาคธุรกิจจริง ปรากฏการณ์ที่เห็นได้ชัดในระยะสั้นคือการชะลอการตัดสินใจลงทุนของผู้ประกอบการ นักลงทุนจำนวนมากเลือกที่จะปรับกลยุทธ์โดยหันไปถือสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนและความไม่ต่อเนื่องทางธุรกิจที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งสภาวะเช่นนี้สะท้อนถึงผลกระทบเชิงจิตวิทยาที่ความขัดแย้งมีต่อตลาด
ความสั่นคลอนของความเชื่อมั่นนักลงทุนและผลกระทบเชิงจิตวิทยา
จากข้อมูลเชิงลึกชี้ให้เห็นว่า หากสถานการณ์ความขัดแย้งยืดเยื้อเกินกว่าหนึ่งปี มีแนวโน้มสูงที่นักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนไทยอาจพิจารณาทบทวนแผนการลงทุน หรือแม้กระทั่งย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นที่มีเสถียรภาพมากกว่า การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงด้านการขาดแคลนวัตถุดิบหรือการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ซึ่งการเคลื่อนย้ายเงินทุนในลักษณะนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ แต่ยังลดทอนความน่าสนใจของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ผลกระทบทางตรงต่อเศรษฐกิจชายแดนและห่วงโซ่อุปทาน
นอกเหนือจาก ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและนักลงทุนไทย ในภาพรวมแล้ว เศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนซึ่งพึ่งพาการค้าและการไปมาหาสู่กันอย่างใกล้ชิดได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง การปิดจุดผ่านแดนถาวรหลายแห่งส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก กระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการท้องถิ่นและแรงงานที่ข้ามแดนไปมาเพื่อประกอบอาชีพในแต่ละวัน ยิ่งไปกว่านั้น ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานของภาคอุตสาหกรรมบางประเภทที่พึ่งพิงวัตถุดิบจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ภาคเกษตรแปรรูป การหยุดชะงักของการนำเข้าวัตถุดิบไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อผู้ผลิตในฝั่งไทย แต่ยังส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปยังเกษตรกรในฝั่งกัมพูชาด้วย
รู้หรือไม่การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา เติมพลังเศรษฐกิจถึงแสนล้านบาท
พรมแดน ไทยและกัมพูชา ถือว่าเป็น จุดยุทธศาสตร์ทางการค้า ข้อมูลชี้ชัดว่า การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา มีสัดส่วนสูงถึงเกือบครึ่งหนึ่ง หรือราว 48% ของมูลค่าการค้ารวมทั้งหมดระหว่างสองประเทศ เป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจ และผู้คนจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งนี้กลับต้องเผชิญบททดสอบสำคัญจากสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนในปี 2568 ซึ่งได้ส่งผลกระทบในหลากหลายมิติ ตั้งแต่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนไปจนถึงต้นทุนการดำเนินงานของภาคธุรกิจ
เพื่อให้เข้าใจถึงขนาดของผลกระทบ จำเป็นต้องมองให้เห็นภาพความสำคัญของการค้าชายแดนที่เป็นอยู่ โดยข้อมูลช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน พ.ศ. 2568 เผยให้เห็นถึงพลวัตทางการค้าที่คึกคักอย่างยิ่ง
มูลค่าการค้า: ประเทศไทยมีการส่งออกสินค้าผ่านชายแดนไปยังกัมพูชาเป็นมูลค่าสูงถึง 108.4 พันล้านบาท ขณะเดียวกันก็นำเข้าสินค้าเป็นมูลค่า 17.9 พันล้านบาท ซึ่งบ่งชี้ถึงบทบาทของไทยในฐานะผู้ส่งออกรายสำคัญของภูมิภาค
5 ประตูการค้าหลัก: หัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนกิจกรรมเหล่านี้คือด่านการค้าถาวร 5 แห่ง ได้แก่ ด่านอรัญประเทศ (สระแก้ว), ด่านคลองใหญ่ (ตราด), ด่านจันทบุรี, ด่านช่องจอม (สุรินทร์), และด่านช่องสะงำ (ศรีสะเกษ) ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าและสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่
โครงสร้างสินค้าที่เกื้อกูลกัน
ฝั่งส่งออกของไทย แสดงศักยภาพภาคการผลิตอย่างชัดเจน นำโดย เครื่องดื่ม (4.4 พันล้านบาท) ตามด้วยกลุ่ม อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งรวมถึงเครื่องยนต์สันดาปภายใน (1.9 พันล้านบาท) และส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (1.6 พันล้านบาท)
ฝั่งนำเข้าจากกัมพูชา สะท้อนบทบาทการเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญ โดยมี ผักและของปรุงแต่งจากผัก เป็นสินค้านำเข้ามูลค่าสูงสุดถึง 5.9 พันล้านบาท ตามมาด้วยวัตถุดิบอุตสาหกรรมอย่าง เศษของอะลูมิเนียม (3.5 พันล้านบาท) และสินค้าสำเร็จรูปเช่น เสื้อผ้าสำเร็จรูป (1.4 พันล้านบาท)
กลุ้มหุ้นได้รับผลกระทบ

อ่านข้อมูลรายละเอียดฉบับเต็มทั้งหมด
แม้จะสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจกว่า 108.4 พันล้านบาท เสียหายรายวันกว่า 500 ล้านบาท แต่ไทยก็สามารถรักษาอธิปไตย และความมั่นคง