“แพทองธาร” เปิดใจ แฉกัมพูชาไม่พอใจ ไทยร่วมมือลาว-เมียนมา ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขอคนไทยรักกัน หันไปทะเลาะกับคนนอกประเทศ










“แพทองธาร” เปิดใจ แฉกัมพูชาไม่พอใจ ไทยร่วมมือลาว-เมียนมา ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขอคนไทยรักกัน หันไปทะเลาะกับคนนอกประเทศก่อน ชี้ขัดแย้งกันเองยังรอได้ เผยสื่อนอกยังตั้งสังเกตสื่อ “กพช.” สั่งปิด รร.ยิงวันแรก เหมือนรู้ล่วงหน้าจะมีรบ ย้ำชัดเขมรเริ่มก่อน 100%

อ่านข่าว : https://ch3plus.com/news/political/morning/444546

#เรื่องเล่าเช้านี้ #ข่าวช่อง3 #ข่าวการเมือง #แพทองธาร #ไทยกัมพูชา



“แพทองธาร” แฉกัมพูชาไม่พอใจ ไทยร่วมมือลาว-เมียนมา ปราบแก๊งคอลฯ


“แพทองธาร” เปิดใจ แฉกัมพูชาไม่พอใจ ไทยร่วมมือลาว-เมียนมา ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขอคนไทยรักกัน หันไปทะเลาะกับคนนอกประเทศก่อน ชี้ขัดแย้งกันเองยังรอได้ เผยสื่อนอกยังตั้งสังเกตสื่อ “กพช.” สั่งปิด รร.ยิงวันแรก เหมือนรู้ล่วงหน้าจะมีการรบ ย้ำชัดเขมรเริ่มก่อน 100%


นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมติดตามมาตรการการรับมือ และช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้เสียชีวิตในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ 4 จังหวัด ที่กระทรวงวัฒนธรรม


นางสาวแพทองธารยืนยันแถลงการณ์ของรัฐบาล ตามที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้แถลงไปเมื่อวานนี้ (25 ก.ค. 2568) ที่ระบุว่ากัมพูชาถือว่าเป็นอาชญากรรมสงครามขั้นรุนแรง วิธีการต่างๆ ขัดต่อหลักสันติวิธีของกฎหมายระหว่างประเทศ และขัดหลักมนุษยธรรมที่ได้ปฏิบัติมาตลอด


สถานการณ์ความรุนแรง เป็นสิ่งที่รัฐบาลได้ย้ำตลอดว่าไม่อยากให้เกิดขึ้น สิ่งสำคัญที่สุด คือชีวิตของประชาชน เป็นสิ่งที่เรายึดถือ และพยายามไม่ให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อ จนฝ่ายกัมพูชาได้ยิงก่อน ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา


ส่วนกรณีมีสำนักข่าวต่างประเทศ ตั้งข้อสังเกตว่า จริงๆ แล้วเรามีหลักฐาน มีดิจิทัลฟุตปริ้นต์ที่สามารถทำให้เห็นว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน และมีการตั้งข้อสังเกตว่าในวันนั้นนักเรียนของเราที่อยู่ชายแดนไปโรงเรียนตามปกติ แต่ฝั่งกัมพูชาไม่ได้ไป ซึ่งส่วนนี้ต้องดูข้อมูลเพิ่มเติมว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เป็นการตั้งข้อสังเกตว่าหากฝั่งไทยรู้ว่าจะยิง ก็ต้องแจ้ง แล้วฝั่งกัมพูชารู้ล่วงหน้าหรือไม่ว่าจะมีการยิงปะทะเกิดขึ้นถึงให้เด็กหยุดเรียน ซึ่งถือเป็นข้อสังเกตอีกข้อหนึ่ง


ขณะนี้แม้ตนเองจะปฎิบัติหน้าที่ไม่ได้ แต่ก็ได้มีการรับฟังผ่านการอัพเดตสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และมีความเป็นห่วงเช่นเดิม ยังคงติดตามสถานการณ์ โดยเมื่อวานนี้ได้ไปพบกับคณะรัฐมนตรีก็ได้มีการอัพเดตข้อมูลกัน ซึ่งพลเอกณัฐพล นาคพานิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เน้นย้ำในเรื่องของยุทโธปกรณ์ของฝั่งไทย ว่าไม่ต้องเป็นห่วง เราพร้อม และการที่เราใช้เครื่องบินเอฟ-16 ก็เป็นการตอบโต้เพราะทางกัมพูชายิงเข้ามาถึงแหล่งชุมชนที่มีลูกเด็กเล็กแดงอยู่ ส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชน ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นทางกองทัพก็ได้คุยกันในเรื่องนี้แล้ว ส่วนกลไกที่จะเกิดขึ้นต่อไป รัฐบาลและกองทัพ รวมถึงฝ่ายความมั่นคง ได้ประสานงานกันอย่างต่อเนื่อง และดูเรื่องนี้อย่างรอบคอบทุกขั้นตอน


หากถามว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อ ก็ขอให้ทางหน้างานเป็นฝ่ายประเมิน แต่แน่นอนว่าเราจะพยายามให้ถึงที่สุด ในการปกป้องอธิปไตย และเรายืนยันเสมอว่าเราไม่ต้องการความรุนแรง แต่เมื่อความรุนแรงมาถึง เราก็สู้ไม่ถอยเช่นกัน นี่คือสิ่งที่รัฐบาลและกองทัพคุยกัน และย้ำว่าไม่ต้องห่วง ย้ำว่าเราไม่ถอย สู้เต็มที่


นอกจากนี้กระทรวงการต่างประเทศได้แสดงหลักฐานความไม่ชอบธรรมของกัมพูชา ทั้งการละเมิดสนธิสัญญาหลักกฏหมายระหว่างประเทศ สิทธิมนุษยชนและความไร้จริยธรรมอย่างร้ายแรง ในการลอบวางระเบิด ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการลาดตระเวนหาระเบิดร่วมกันทั้งสองประเทศ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางของเราได้รับบาดเจ็บ ก็ได้มีการตรวจสอบว่าเป็นระเบิดใหม่ จึงเป็นสิ่งที่ผิดหลักมนุษยชนอย่างยิ่ง และผิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศอย่างยิ่ง ไม่มีประเทศไหนทำแบบนี้ เรื่องนี้มีหลักฐานครบถ้วนกระทรวงการต่างประเทศก็ได้บอกให้ทั่วโลกรับทราบ และมีการยืนยันจากสื่อหลายประเทศว่าเชื่อในสิ่งที่เราพูด


ที่ผ่านมาประเทศไทยก็พูดความจริงเรื่องนี้มาโดยตลอด และยืนยันมาโดยตลอดว่าเราอยากไม่ให้เกิดความรุนแรง เป็นสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ ว่าความรุนแรงนี้เริ่มโดยกัมพูชา 100%


นางสาวแพทองธาร กล่าวอีกว่า สถานการณ์นี้ ตนเองสนับสนุนให้คนไทยเกิดความสามัคคีในชาติ วันนี้เราทะเลาะกันในประเทศถึงระดับหนึ่ง แต่เราต้องรักกันทะเลาะกันกับคนนอกประเทศก่อน ถ้าเหตุการณ์นี้สงบสุขเมื่อไหร่ ก็ยังรอได้ คงามขัดแย้งในประเทศยังรอได้ แต่วันนี้รอไม่ได้แล้วที่เราจะต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย ทุกภาคส่วน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งว่าคนไทยรักคนไทยด้วยกันเป็นอย่างมาก


นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า ในส่วนคำครหามากมาย ที่วิถีทางการเมืองพยายามใช้การปลุกปั่น เพื่อให้เกิดความเกลียดชัง มีการเชื่อมโยงว่าสองตระกูลทะเลาะกัน แต่จำกันได้หรือไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนที่แล้ว ตนได้มีการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง โดยได้สั่งการผ่านกระทรวงมหาดไทย ให้ตัดน้ำ ตัดไฟตั้งแต่ชายแดน ลาวกับพม่า และทำให้ได้ผลจริงๆ คอลเซ็นเตอร์ที่โทรหาประชาชนลดลงอย่างเห็นได้ชัด และมูลค่าความเสียหายที่ประเมินตัวเลขได้เยอะมาก ประชาชนที่ถูกหลอก จนต้องจบชีวิตตัวเอง หรือเงินหายไปจากบัญชีอย่างรวดเร็ว


ซึ่งประเทศไทย ลาว และเมียนมาได้ทำภาคีร่วมกัน เพื่อจะฝากแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง ตนเองก็เกิดความสับสน เพราะตอนนั้นก็ยังติดต่อกับทางกัมพูชาในเรื่องสัมพันธ์ส่วนตัว และได้รับแจ้งจากคนที่แปลว่า เขาโกรธที่ไม่ปรึกษาเรื่องนี้กับทางกัมพูชา จึงโทรไปคุยส่วนตัวซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้ถูกอัดเสียง ไม่ทราบว่าเป็นการเสียผลประโยชน์หรือไม่ เพราะเรื่องแก้ปัญหายาเสพติดและปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาชญากรรมออนไลน์เป็นหน้าที่รัฐบาลอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อได้คุยกันแล้วก็ทราบว่า กัมพูชาไม่พอใจที่ไม่เชิญไปร่วมด้วย ตนก็เลยตอบกลับไปว่าจะบวกกัมพูชาร่วมไปด้วย แต่ทางกัมพูชากลับบอกว่าไม่ต้องบวก ให้มาทำกันแค่สองประเทศพอ (ไทยกับกัมพูชา) ตนเองจึงให้ดำเนินการนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี


ดังนั้นเมื่อพอกลับมานึกย้อน ก็รู้ว่าเป็นการแสดงความไม่พอใจตั้งแต่ตอนนั้น แต่ก็ไม่คิดว่าความไม่พอใจนี้ เป็นความไม่พอใจในการปราบ แก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่ เพราะไม่เคยทราบเลยว่าจะมีประเทศใดไม่พอใจ เมื่อประชาชนถูกหลอกและเอารัฐบาลมาช่วย ก็เป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่หรือ จึงทำให้รู้สึกว่าเราคงไปขัดผลประโยชน์บางอย่าง หรือไม่ จึงทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นตนก็ไม่แน่ใจ ซึ่งตนก็มั่นใจว่า รัฐบาลที่เข้ามาไม่ว่าจะใช้ตระกูลชินวัตรหรือไม่ ก็ต้องปราบเรื่องนี้เพราะเป็นผลกระทบต่อคนไทย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องปราบเช่นเดียวกับยาเสพติด ไม่ทำก็ไม่ได้


แท็กที่เกี่ยวข้อง  แพทองธารชินวัตร ,กัมพูชา ,ไทยกัมพูชา​ ,แก๊งคอลเซ็นเตอร์




แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่