หมาของผมเพิ่งจากไปอย่างสงบเมื่อวานครับ ด้วยความ Move On ยังไม่ค่อยได้เลยอยากเขียนระบายเรื่องราวสักหน่อยนะครับ เผื่อเป็นประโยชน์บ้างกับเพื่อนๆ ที่เลี้ยงสัตว์เช่นกันนะครับ
หมาชราตามวัย เริ่มมีความเสื่อม
ปีนี้หมาของผม อายุ 12 ปี น้ำหนักค่อนข้างเยอะครับ น้องเป็นพันธุ์บางแก้วผสมพันธุ์ไทย ช่วงหลังๆ มาเค้าเดินน้อยลง นั่งมากขึ้น ขึ้นบันไดลำบาก เพราะตัวอ้วนหน่อย แต่ก็สุขภาพแข็งแรงดีมาตลอด ตรวจร่างกายเป็นประจำ น้องเป็นหมาที่สุภาพเรียบร้อย รักเจ้าของ ช่วยเหลือครอบครัวเราเป็นอย่างดี เฝ้าบ้าน เ้าสัตว์มีพิษต่างๆ สู้ให้พวกเรามาตลอดครับ
พอเข้าต้นปีมานี้ น้องมีอาการเดินกะเผลก เลยพาไปให้คลีนิคแถวบ้านดู คุณหมอตรวจร่างกายเจาะเลือดอะไรไป ก็บอกว่า ปกติ ไม่มีอะไร อาจจะน้ำหนักมาก เลยทำให้กระดูกข้อสะโพกเสื่อม ซึ่งเป็นโรคยอดฮิตของสุนัขแก่ครับ ก็ให้ยาบำรุงข้อมาทาน (ไม่ได้ X Ray)
____________________________________________________________________________
จุดเริ่มต้นเล็กๆ ของอาการป่วย
ผ่านไป 1 เดือนหลังจากทานยาแก้ปวดบำรุงข้อไป น้องก็ยังเดินกะเผลกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ ขาหลังข้างนึง เหมือนจะเหยียบพื้นไม่ได้เลยครับ สั่นมาก เวลาเดิน น้องเหมือนจะต้องโยกหัวดันตัวเพื่อไปข้างหน้า ดูสภาพแล้วน่าสงสารมากครับ เลยพาไปใหม่
คุณหมอจับๆ ดู บอกว่า น่าจะกระดูกข้อเสื่อมจริง ๆนะ ก็ฉีดยามาให้ พวกเราก็เลยกลับมาหาข้อมูลกันหน่อย จะกายภาพ จะบริหารเค้ายังไงดี
ผ่านไปอีก 1 สัปดาห์จากนั้น ชักดูไม่ดีแล้ว ทีนี้ น้องลุกเดินลำบากมาก ขาหลังตอนนี้ ยกลอยแล้ว ไม่เหยียบเลย เราเลยคิดว่า ลองไปหาคลีนิคอีกที่ เพื่อเป็น Second Opinion ดีกว่านะ ก็ไปกัน
มาถึงคุณหมอจับ X ray ดูตรงขาที่กระเผลกก่อนเลย พอผลออกปุ๊ป คุณหมอเรียกเรามาดูผลกัน....
คุณหมอสันณิษฐานว่า น้อง น่าจะเป็นมะเร็งที่กระดูกครับ !!! แต่คุณหมอไม่ใช่คุณหมอเฉพาะทางด้านมะเร็ง เพียงแต่จากฟิล์มพบว่า
กระดูกของน้อง เหมือนถูกเชื้อโรคอะไรสักอย่าง กัดจนข้อมันแทบจะไม่เหลือแล้ว นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้น้องไม่สามารถใช้ขานี้ได้ เพราะเหยียบไปคงเจ็บ
คุณหมอแนะนำว่า ถ้าอยากตรวจ ให้ไปที่โรงพยาบาลใหญ่ คือ โรงพยาบาลประศุอาทร ของมหิดล ที่ศาลายาครับ
ผมจึงเตรียมพาน้องไปที่นั่น แบบด่วนเลย ใจคอไม่ค่อยจะดีแล้ว
_____________________________________________________________________________
โรงพยาบาลสัตว์ประศุอาทร คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
เป็นโรงพยาบาลที่รับรักษาสัตว์โดยเฉพาะ ผมก็เพิ่งเคยได้ยินชื่อครั้งแรก โทรไปสอบถามดู เจ้าหน้าที่บอกว่า ต้องมาลงทะเบียนก่อนนะ วันอาทิตย์ แต่เช้า เลยไปกันครับ 8:30 น. โอ้โห ตกใจมาก คนเยอะล้านแปด แนะนำว่า ใครมาครั้งแรก รีบมาเอาคิวก่อนได้เลย ไม่ต้องรอ 8:30 น. คิวลงทะเบียนอย่างเดียวก็จะสองชั่วโมงแล้วครับ 5555 แต่ที่นี่ จะต่างกับคลีนิคแถวบ้าน คือ เจ้าของต้องช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง ทั้งเข็นน้องขึ้นไป พาไปชั่งน้ำหนัก แม้กระทั่ง ยกขึ้นเตียง
ถ้าหมาใครตัวใหญ่ พาผู้ชายแข็งแรงๆ ไปด้วยนะครับ
เมื่อลงทะเบียนเสร็จ ก็นั่งรอเรียกตรวจ ได้คิวตอน 11:30 น.จะร้องไห้ ก็ไปเจาะเลือด นี่ล่ะครับ ที่เกริ่นไปข้างบน ต้องยกกันเอง ลำบากมาก น้องก็หนักเกือบ 30 โล ไม่มีคนช่วยใดๆ เจาะเลือดเสร็จ ต้องพาไป X ray ก็เหมือนเดิม ต้องยกขึ้นเตียง Xray ด้วย ต้องจับด้วย โดนยิงแสงใส่ไป 1 ช้อต ก็งงอยู่ เอ้า แล้วทำไมไม่บอกให้หลบล่ะ 555 ดิบมากที่นี่
เสร็จแล้วต้องรอผลตรวจ 1 ชั่วโมง ติดเที่ยงพอดี รอ 13:30 ถึงจะได้เข้าตรวจครับ
หมอดูฟิล์มกันแล้ว ยืนยันว่า มะเร็ง 90% มะเร็งกินกระดูกข้อจนพรุนแล้ว อีก 10% ถ้าอยากชัวร์ ต้องเจาะชิ้นเนื้อกระดูกไปตรวจ...ถ้าโชคดี ก็อาจจะแค่ติดเชื้อธรรมดา รักษาได้
_____________________________________________________________________________
ชีวิตต้องเลือก
คราวนี้ก็มีการตัดสินใจกันแล้วครับ คุณหมอแจ้งทางเลือกมาให้
1.ตัดขาข้างนี้ เพื่อเซฟน้อง ไม่ให้มะเร็งลามไปที่อื่น มีคิวอีก 7 วัน
2 เจาะชั้นเนื้อไปตรวจก่อน มีคิวอีก 7 วัน และถ้าเป็นมะเร็ง ต้องตัดขาเหมือนกัน ต้องรอคิวไปอีก 15 วัน
3. ไม่ตัด รักษาตามอาการ หมอบอกว่า ส่วนใหญ่ถ้าเจอแบบนี้ อยู่ได้ประมาณ 6 เดือน แต่ถ้าตัด อาจจะอยู่ได้ถึง 1 ปี
เป็นเพื่อนๆ จะเลือกทางไหนกันดีครับ????
วันที่ผมไปหาหมอ คือ เดือน 21/5 ครับ
พวกเราปรึกษากันแล้ว คิดว่า ถ้าเลือกเจาะ ถ้าเจอ ก็ต้องตัดอยู่ดี อาการค่อนข้างชัดแล้ว ตัดก็ตัด น้ำตาไหลเลยผม น้องต้องเสียขาแล้ว เค้าจะเดินได้มั้ยนะ ??
คุณหมอบอกว่า หมาที่โดนตัดขา จะสามารถปรับตัวกับสามขาได้ 1 เดือนก็กลับมาเดินได้เป็นปกติ เอ้า ตัดก็ตัด เซฟมะเร็งก่อนละกัน
ตอนตัดเสร็จก็คุยกับคุณหมอว่า ขอฝากน้องไว้ที่ รพ ละกัน แต่ที่นี่มีที่จำกัด จะฝากน้องต้องแบบว่า อาศัยดวงนิดนึง แต่พวกเราโชคดี มีห้องว่าง น้องเลยได้พักฟื้นที่ รพ ที่นี่เยี่ยมได้ตอน 13:00-16:00 วันเสาร์-พฤหัส วันศุกร์ 13:00-15:00 น. แต่จริงๆ ไปเยี่ยมแล้วก็หดหู่ น้องร้องตามตลอดเลย น้ำตาไหล โหยหวน จะร้องไห้
_____________________________________________________________________________
ช่วงพักฟื้น
หลังจากผ่าตัดเรียบร้อยดี แผลหายแล้ว เราต้องไปเช็คแผลกันทุกอาทิตย์ ตรวจโรคอื่นๆ ไปด้วย ก็ทุลักทุเลกันทุกอาทิตย์ เพราะต้องใช้รถเข็น รพ ที่หนักมากๆ เป็นรถเหล็ก แถมตอนจะพามาอุ้มขึ้นรถจากในบ้านก็ลำบาก เลยต้องไปออกรถป้ายแดงให้น้องหน่อย 555
รถคันใหญ่สะใจ ยกขึ้นลงสะดวก ราคาโอเคใช้ดีครับ แนะนำเลย 555 ไม่ได้ค่าคอมใดๆ ยี่ห้อ Pawwy Husky Stroller ครับ น้ำหนักเบา แต่แข็งแรงดีครับ ซื้อที่เดอะมอลล์ในแผนกรถเข็นเด็ก 555 ไม่นึกว่าจะอยู่แผนกนี้ ตลกดี
ช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่เครียดมากเลย เพราะเป็นห่วงเจ้าหมา ไป รพ ทีไร น้ำตาไหลสงสารมันทุกที ผมก็เครียดไปด้วยเลย ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่ไปช่วยยกน้องขึ้นๆ ลงๆ ที่ รพ
ช่วงกลับมาบ้าน เหมือนจะเป็นไปด้วยดีแล้วนะครับ แต่พอสักพัก เค้ากลับเริ่มซึมลงเรื่อยๆ ...
ทานอาหารน้อยลง ไม่ค่อยยอมเดิน
พอมาถึง รพ ตามนัดประจำอาทิตย์ คุณหมอตรวจเลือดแล้วพบว่า มะเร็ง มันลามครับ !!
คราวนี้ต้องรักษา โดยการคีโมคุณหมอยังให้กำลังใจ ว่า ถ้าคีโมไปด้วยดี ค่ามะเร็งลดลง อาจจะอยู่ได้อีกพักใหญ่ๆ เลย
การคีโมของหมาผม ใช้การทานคีโมเป็นยาเม็ดครับ ป้อนยากมากเลย มันไม่ยอมกิน ต้องให้คุณหมอจัดการให้ ล้วงไปในคอเลย
แผนคือ คีโมไปสัก 1 เดือนครับ มารับยาทุกอาทิตย์
___________________________________________________________________
ช่วงสุดท้ายของชีวิต
หลังคีโมไปได้ 2 รอบ น้องอาการแย่ลงครับ เพลียมาก ไม่ทานอาหารเลย พอพบคุณหมอตรวจเลือดแล้วพบว่า เกล็ดเลือดต่ำมาก ต้องให้ยากันอีกแล้ว
หลังจากวันนั้นมา น้องก็อาการทรุดลงอย่างเห็นได้ชัดครับ
ไม่ทานอาหารเลย มีอาการเหนื่อยหอบ หายใจแรง จะไปฉี่ยังต้องอุ้มพาไปที่ประจำเค้า ไปเองไม่ไหวแล้ว
คราวนี้เลยไป Xray ที่คลีนิคแถวบ้านบ้าง ไปมหิดลไม่ไหวแล้วเหนื่อย พบปัญหาใหม่แล้ว คือ มะเร็ง ลามไปที่ปอด!!
เท่ากับ Game Over แล้วนะครับ ถ้ามาที่นี่ เพราะมันจะลามจนปอดใช้ไม่ได้ พอหายใจไม่ออก ทีนี้ก็ลากันครับ
หลังจากวันนั้น พวกเราก็พยายามประคับประคองช่วงสุดท้ายของชีวิตเค้าให้ดีที่สุดเท่าที่พวกเราจะทำได้ครับ
ทุกวัน ตอนเช้า จะเข็นใส่รถ เดินไปคลีนิคปากซอยกัน ต้องอุ้มกันขึ้นรถเข็น พากันเดินไป ให้คุณหมอป้อนยาขยายหลอดลม ป้อนอาหาร ให้พอมีแรงบ้าง
ตอนเย็น ก็อีก 1 รอบ
ผ่านไป 3 วัน น้องหายใจแรงขึ้น หอบหนักมาก คลีนิคแนะนำให้อยู่ตู้อบ อ่ะ อบก็อบ อบออกมา หายใจดี หน้าตาสดใสเลย คุณหมอถามว่า อยากเช่าตู้มั้ย อ่ะ เช่ามาเลย ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ให้เค้าอยู่สบายๆ ละกัน
ช่วงนี้ก็ต้องเพิ่มภารกิจอุ้มเข้าออกตู้กันทั้งวันทั้งคืน พามาฉี่ มาสูดอากาศข้างนอก ไปหาหมอป้อนข้าวป้อนยา
จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 24/7 ผลเอ็กซเรย์สุดท้าย พบว่า มะเร็งลามทั่วปอดแล้ว 90% ไม่มีทางรอดแล้ว คุณหมอบอกว่า ทำใจได้เลย ถ้าจะให้สบาย ฉีดยาให้เค้าหลับได้ ไปอย่างสงบ แต่พวกเราเลือกที่จะเอากลับมาบ้านอีกวัน เพราะพ่อแม่ยังทำใจไม่ค่อยได้ที่จะทำให้เค้าจากไปแบบนั้น
อ้อ ตัวน้องไม่ได้โหยหวนร้องอะไรเลยนะครับ เหมือนหมาปกติมากๆ ตาใส หันไปหันมาปกติ เรียกกระดิกหางอยู่ แต่ไม่มีแรงจะเดินครับ
พอถึงสิบโมงวันที่ 25/7 ก็ถึงเวลาอันสมควรครับ
เช้าวันนั้น กำลังว่าจะไปหาหมอป้อนยาป้อนอาหาร แต่เค้านอนเล่นอยู่ข้างนอก หอบๆ อยู่ เลยว่าจะพามาเข้าตู้ก่อนค่อยไป แต่เค้าไม่ยอมเข้าครับ พอจับเข้าไป ก็จะออกท่าเดียว ออกมานั่งได้สักครู่ เค้าก็ลุกเดินมาสองก้าว นั่งลงมองไปมองมา แล้วล้มตัวนอนลงไปเลย ...
คุณแม่ก็ตกใจ เรียกคุณพ่อมาดู น้องนอนสักพัก พอคุณพ่อมาหา เค้าก็สั่นหางอย่างแรง ตัวเกร็ง ฉี่ไหลออกมา เป็นทาง กระตุกอยู่สองที เลือดออกทางปาก แล้วก็จากไปเลยครับ ไม่ร้อง ไม่โหยหวนอะไรเลย น้องจากพวกเราไปแล้วครับ
เราก็พาน้องไปฌาปนกิจที่วัดแถวบ้าน รำลึกถึงเรื่องราวดีๆ ที่เคยอยู่ร่วมกันมา น้องเป็นเด็กดีจริงๆ จนนาทีสุดท้าย พวกเราก็อวยพรให้น้องไปสู่สุขคติ ภาวนาอธิษฐานกันไปครับ ทุกสิ่งเกิดมามีจาก มีดับไป ก็ต้องทำใจกันไป
ถึงวันนี้จะยังเศร้าอยู่บ้าง แต่เรื่องราวดีๆ ที่มีกับเค้าตลอดสิบกว่าปี นึกแล้วก็ยังยิ้มได้เหมือนเดิมครับ ทุกวันที่พาออกมาฉี่ที่สวน เวลาผมกลับมาบ้านแล้วเค้าวิ่งมาหา เสียงเห่าที่ได้ยินประจำเวลาเจอคนแปลกหน้ามาบ้าน หรือ เจอ งู ไม่มีแล้ว ก็แอบใจหายนิดๆ ครับ
ขอบคุณที่อ่านกันมาถึงตรงนี้นะครับ ผมสบายใจขึ้นเยอะที่ได้พิมพ์เรื่องราวช่วงสุดท้ายของชีวิตเค้าเก็บเอาไว้ เอาไว้เป้นเรื่องราวเผื่อใครกำลังเจอสถานการณ์เดียวกัน จะได้พอเข้าใจได้นะครับ
เรื่องเล่าของเจ้าหมาที่โชคร้ายเป็นมะเร็ง จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
หมาชราตามวัย เริ่มมีความเสื่อม
ปีนี้หมาของผม อายุ 12 ปี น้ำหนักค่อนข้างเยอะครับ น้องเป็นพันธุ์บางแก้วผสมพันธุ์ไทย ช่วงหลังๆ มาเค้าเดินน้อยลง นั่งมากขึ้น ขึ้นบันไดลำบาก เพราะตัวอ้วนหน่อย แต่ก็สุขภาพแข็งแรงดีมาตลอด ตรวจร่างกายเป็นประจำ น้องเป็นหมาที่สุภาพเรียบร้อย รักเจ้าของ ช่วยเหลือครอบครัวเราเป็นอย่างดี เฝ้าบ้าน เ้าสัตว์มีพิษต่างๆ สู้ให้พวกเรามาตลอดครับ
พอเข้าต้นปีมานี้ น้องมีอาการเดินกะเผลก เลยพาไปให้คลีนิคแถวบ้านดู คุณหมอตรวจร่างกายเจาะเลือดอะไรไป ก็บอกว่า ปกติ ไม่มีอะไร อาจจะน้ำหนักมาก เลยทำให้กระดูกข้อสะโพกเสื่อม ซึ่งเป็นโรคยอดฮิตของสุนัขแก่ครับ ก็ให้ยาบำรุงข้อมาทาน (ไม่ได้ X Ray)
____________________________________________________________________________
จุดเริ่มต้นเล็กๆ ของอาการป่วย
ผ่านไป 1 เดือนหลังจากทานยาแก้ปวดบำรุงข้อไป น้องก็ยังเดินกะเผลกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ ขาหลังข้างนึง เหมือนจะเหยียบพื้นไม่ได้เลยครับ สั่นมาก เวลาเดิน น้องเหมือนจะต้องโยกหัวดันตัวเพื่อไปข้างหน้า ดูสภาพแล้วน่าสงสารมากครับ เลยพาไปใหม่
คุณหมอจับๆ ดู บอกว่า น่าจะกระดูกข้อเสื่อมจริง ๆนะ ก็ฉีดยามาให้ พวกเราก็เลยกลับมาหาข้อมูลกันหน่อย จะกายภาพ จะบริหารเค้ายังไงดี
ผ่านไปอีก 1 สัปดาห์จากนั้น ชักดูไม่ดีแล้ว ทีนี้ น้องลุกเดินลำบากมาก ขาหลังตอนนี้ ยกลอยแล้ว ไม่เหยียบเลย เราเลยคิดว่า ลองไปหาคลีนิคอีกที่ เพื่อเป็น Second Opinion ดีกว่านะ ก็ไปกัน
มาถึงคุณหมอจับ X ray ดูตรงขาที่กระเผลกก่อนเลย พอผลออกปุ๊ป คุณหมอเรียกเรามาดูผลกัน....
คุณหมอสันณิษฐานว่า น้อง น่าจะเป็นมะเร็งที่กระดูกครับ !!! แต่คุณหมอไม่ใช่คุณหมอเฉพาะทางด้านมะเร็ง เพียงแต่จากฟิล์มพบว่า
กระดูกของน้อง เหมือนถูกเชื้อโรคอะไรสักอย่าง กัดจนข้อมันแทบจะไม่เหลือแล้ว นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้น้องไม่สามารถใช้ขานี้ได้ เพราะเหยียบไปคงเจ็บ
คุณหมอแนะนำว่า ถ้าอยากตรวจ ให้ไปที่โรงพยาบาลใหญ่ คือ โรงพยาบาลประศุอาทร ของมหิดล ที่ศาลายาครับ
ผมจึงเตรียมพาน้องไปที่นั่น แบบด่วนเลย ใจคอไม่ค่อยจะดีแล้ว
_____________________________________________________________________________
โรงพยาบาลสัตว์ประศุอาทร คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
เป็นโรงพยาบาลที่รับรักษาสัตว์โดยเฉพาะ ผมก็เพิ่งเคยได้ยินชื่อครั้งแรก โทรไปสอบถามดู เจ้าหน้าที่บอกว่า ต้องมาลงทะเบียนก่อนนะ วันอาทิตย์ แต่เช้า เลยไปกันครับ 8:30 น. โอ้โห ตกใจมาก คนเยอะล้านแปด แนะนำว่า ใครมาครั้งแรก รีบมาเอาคิวก่อนได้เลย ไม่ต้องรอ 8:30 น. คิวลงทะเบียนอย่างเดียวก็จะสองชั่วโมงแล้วครับ 5555 แต่ที่นี่ จะต่างกับคลีนิคแถวบ้าน คือ เจ้าของต้องช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง ทั้งเข็นน้องขึ้นไป พาไปชั่งน้ำหนัก แม้กระทั่ง ยกขึ้นเตียง
ถ้าหมาใครตัวใหญ่ พาผู้ชายแข็งแรงๆ ไปด้วยนะครับ
เมื่อลงทะเบียนเสร็จ ก็นั่งรอเรียกตรวจ ได้คิวตอน 11:30 น.จะร้องไห้ ก็ไปเจาะเลือด นี่ล่ะครับ ที่เกริ่นไปข้างบน ต้องยกกันเอง ลำบากมาก น้องก็หนักเกือบ 30 โล ไม่มีคนช่วยใดๆ เจาะเลือดเสร็จ ต้องพาไป X ray ก็เหมือนเดิม ต้องยกขึ้นเตียง Xray ด้วย ต้องจับด้วย โดนยิงแสงใส่ไป 1 ช้อต ก็งงอยู่ เอ้า แล้วทำไมไม่บอกให้หลบล่ะ 555 ดิบมากที่นี่
เสร็จแล้วต้องรอผลตรวจ 1 ชั่วโมง ติดเที่ยงพอดี รอ 13:30 ถึงจะได้เข้าตรวจครับ
หมอดูฟิล์มกันแล้ว ยืนยันว่า มะเร็ง 90% มะเร็งกินกระดูกข้อจนพรุนแล้ว อีก 10% ถ้าอยากชัวร์ ต้องเจาะชิ้นเนื้อกระดูกไปตรวจ...ถ้าโชคดี ก็อาจจะแค่ติดเชื้อธรรมดา รักษาได้
_____________________________________________________________________________
ชีวิตต้องเลือก
คราวนี้ก็มีการตัดสินใจกันแล้วครับ คุณหมอแจ้งทางเลือกมาให้
1.ตัดขาข้างนี้ เพื่อเซฟน้อง ไม่ให้มะเร็งลามไปที่อื่น มีคิวอีก 7 วัน
2 เจาะชั้นเนื้อไปตรวจก่อน มีคิวอีก 7 วัน และถ้าเป็นมะเร็ง ต้องตัดขาเหมือนกัน ต้องรอคิวไปอีก 15 วัน
3. ไม่ตัด รักษาตามอาการ หมอบอกว่า ส่วนใหญ่ถ้าเจอแบบนี้ อยู่ได้ประมาณ 6 เดือน แต่ถ้าตัด อาจจะอยู่ได้ถึง 1 ปี
เป็นเพื่อนๆ จะเลือกทางไหนกันดีครับ????
วันที่ผมไปหาหมอ คือ เดือน 21/5 ครับ
พวกเราปรึกษากันแล้ว คิดว่า ถ้าเลือกเจาะ ถ้าเจอ ก็ต้องตัดอยู่ดี อาการค่อนข้างชัดแล้ว ตัดก็ตัด น้ำตาไหลเลยผม น้องต้องเสียขาแล้ว เค้าจะเดินได้มั้ยนะ ??
คุณหมอบอกว่า หมาที่โดนตัดขา จะสามารถปรับตัวกับสามขาได้ 1 เดือนก็กลับมาเดินได้เป็นปกติ เอ้า ตัดก็ตัด เซฟมะเร็งก่อนละกัน
ตอนตัดเสร็จก็คุยกับคุณหมอว่า ขอฝากน้องไว้ที่ รพ ละกัน แต่ที่นี่มีที่จำกัด จะฝากน้องต้องแบบว่า อาศัยดวงนิดนึง แต่พวกเราโชคดี มีห้องว่าง น้องเลยได้พักฟื้นที่ รพ ที่นี่เยี่ยมได้ตอน 13:00-16:00 วันเสาร์-พฤหัส วันศุกร์ 13:00-15:00 น. แต่จริงๆ ไปเยี่ยมแล้วก็หดหู่ น้องร้องตามตลอดเลย น้ำตาไหล โหยหวน จะร้องไห้
_____________________________________________________________________________
ช่วงพักฟื้น
หลังจากผ่าตัดเรียบร้อยดี แผลหายแล้ว เราต้องไปเช็คแผลกันทุกอาทิตย์ ตรวจโรคอื่นๆ ไปด้วย ก็ทุลักทุเลกันทุกอาทิตย์ เพราะต้องใช้รถเข็น รพ ที่หนักมากๆ เป็นรถเหล็ก แถมตอนจะพามาอุ้มขึ้นรถจากในบ้านก็ลำบาก เลยต้องไปออกรถป้ายแดงให้น้องหน่อย 555
รถคันใหญ่สะใจ ยกขึ้นลงสะดวก ราคาโอเคใช้ดีครับ แนะนำเลย 555 ไม่ได้ค่าคอมใดๆ ยี่ห้อ Pawwy Husky Stroller ครับ น้ำหนักเบา แต่แข็งแรงดีครับ ซื้อที่เดอะมอลล์ในแผนกรถเข็นเด็ก 555 ไม่นึกว่าจะอยู่แผนกนี้ ตลกดี
ช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่เครียดมากเลย เพราะเป็นห่วงเจ้าหมา ไป รพ ทีไร น้ำตาไหลสงสารมันทุกที ผมก็เครียดไปด้วยเลย ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่ไปช่วยยกน้องขึ้นๆ ลงๆ ที่ รพ
ช่วงกลับมาบ้าน เหมือนจะเป็นไปด้วยดีแล้วนะครับ แต่พอสักพัก เค้ากลับเริ่มซึมลงเรื่อยๆ ...
ทานอาหารน้อยลง ไม่ค่อยยอมเดิน
พอมาถึง รพ ตามนัดประจำอาทิตย์ คุณหมอตรวจเลือดแล้วพบว่า มะเร็ง มันลามครับ !!
คราวนี้ต้องรักษา โดยการคีโมคุณหมอยังให้กำลังใจ ว่า ถ้าคีโมไปด้วยดี ค่ามะเร็งลดลง อาจจะอยู่ได้อีกพักใหญ่ๆ เลย
การคีโมของหมาผม ใช้การทานคีโมเป็นยาเม็ดครับ ป้อนยากมากเลย มันไม่ยอมกิน ต้องให้คุณหมอจัดการให้ ล้วงไปในคอเลย
แผนคือ คีโมไปสัก 1 เดือนครับ มารับยาทุกอาทิตย์
___________________________________________________________________
ช่วงสุดท้ายของชีวิต
หลังคีโมไปได้ 2 รอบ น้องอาการแย่ลงครับ เพลียมาก ไม่ทานอาหารเลย พอพบคุณหมอตรวจเลือดแล้วพบว่า เกล็ดเลือดต่ำมาก ต้องให้ยากันอีกแล้ว
หลังจากวันนั้นมา น้องก็อาการทรุดลงอย่างเห็นได้ชัดครับ
ไม่ทานอาหารเลย มีอาการเหนื่อยหอบ หายใจแรง จะไปฉี่ยังต้องอุ้มพาไปที่ประจำเค้า ไปเองไม่ไหวแล้ว
คราวนี้เลยไป Xray ที่คลีนิคแถวบ้านบ้าง ไปมหิดลไม่ไหวแล้วเหนื่อย พบปัญหาใหม่แล้ว คือ มะเร็ง ลามไปที่ปอด!!
เท่ากับ Game Over แล้วนะครับ ถ้ามาที่นี่ เพราะมันจะลามจนปอดใช้ไม่ได้ พอหายใจไม่ออก ทีนี้ก็ลากันครับ
หลังจากวันนั้น พวกเราก็พยายามประคับประคองช่วงสุดท้ายของชีวิตเค้าให้ดีที่สุดเท่าที่พวกเราจะทำได้ครับ
ทุกวัน ตอนเช้า จะเข็นใส่รถ เดินไปคลีนิคปากซอยกัน ต้องอุ้มกันขึ้นรถเข็น พากันเดินไป ให้คุณหมอป้อนยาขยายหลอดลม ป้อนอาหาร ให้พอมีแรงบ้าง
ตอนเย็น ก็อีก 1 รอบ
ผ่านไป 3 วัน น้องหายใจแรงขึ้น หอบหนักมาก คลีนิคแนะนำให้อยู่ตู้อบ อ่ะ อบก็อบ อบออกมา หายใจดี หน้าตาสดใสเลย คุณหมอถามว่า อยากเช่าตู้มั้ย อ่ะ เช่ามาเลย ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ให้เค้าอยู่สบายๆ ละกัน
ช่วงนี้ก็ต้องเพิ่มภารกิจอุ้มเข้าออกตู้กันทั้งวันทั้งคืน พามาฉี่ มาสูดอากาศข้างนอก ไปหาหมอป้อนข้าวป้อนยา
จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 24/7 ผลเอ็กซเรย์สุดท้าย พบว่า มะเร็งลามทั่วปอดแล้ว 90% ไม่มีทางรอดแล้ว คุณหมอบอกว่า ทำใจได้เลย ถ้าจะให้สบาย ฉีดยาให้เค้าหลับได้ ไปอย่างสงบ แต่พวกเราเลือกที่จะเอากลับมาบ้านอีกวัน เพราะพ่อแม่ยังทำใจไม่ค่อยได้ที่จะทำให้เค้าจากไปแบบนั้น
อ้อ ตัวน้องไม่ได้โหยหวนร้องอะไรเลยนะครับ เหมือนหมาปกติมากๆ ตาใส หันไปหันมาปกติ เรียกกระดิกหางอยู่ แต่ไม่มีแรงจะเดินครับ
พอถึงสิบโมงวันที่ 25/7 ก็ถึงเวลาอันสมควรครับ
เช้าวันนั้น กำลังว่าจะไปหาหมอป้อนยาป้อนอาหาร แต่เค้านอนเล่นอยู่ข้างนอก หอบๆ อยู่ เลยว่าจะพามาเข้าตู้ก่อนค่อยไป แต่เค้าไม่ยอมเข้าครับ พอจับเข้าไป ก็จะออกท่าเดียว ออกมานั่งได้สักครู่ เค้าก็ลุกเดินมาสองก้าว นั่งลงมองไปมองมา แล้วล้มตัวนอนลงไปเลย ...
คุณแม่ก็ตกใจ เรียกคุณพ่อมาดู น้องนอนสักพัก พอคุณพ่อมาหา เค้าก็สั่นหางอย่างแรง ตัวเกร็ง ฉี่ไหลออกมา เป็นทาง กระตุกอยู่สองที เลือดออกทางปาก แล้วก็จากไปเลยครับ ไม่ร้อง ไม่โหยหวนอะไรเลย น้องจากพวกเราไปแล้วครับ
เราก็พาน้องไปฌาปนกิจที่วัดแถวบ้าน รำลึกถึงเรื่องราวดีๆ ที่เคยอยู่ร่วมกันมา น้องเป็นเด็กดีจริงๆ จนนาทีสุดท้าย พวกเราก็อวยพรให้น้องไปสู่สุขคติ ภาวนาอธิษฐานกันไปครับ ทุกสิ่งเกิดมามีจาก มีดับไป ก็ต้องทำใจกันไป
ถึงวันนี้จะยังเศร้าอยู่บ้าง แต่เรื่องราวดีๆ ที่มีกับเค้าตลอดสิบกว่าปี นึกแล้วก็ยังยิ้มได้เหมือนเดิมครับ ทุกวันที่พาออกมาฉี่ที่สวน เวลาผมกลับมาบ้านแล้วเค้าวิ่งมาหา เสียงเห่าที่ได้ยินประจำเวลาเจอคนแปลกหน้ามาบ้าน หรือ เจอ งู ไม่มีแล้ว ก็แอบใจหายนิดๆ ครับ
ขอบคุณที่อ่านกันมาถึงตรงนี้นะครับ ผมสบายใจขึ้นเยอะที่ได้พิมพ์เรื่องราวช่วงสุดท้ายของชีวิตเค้าเก็บเอาไว้ เอาไว้เป้นเรื่องราวเผื่อใครกำลังเจอสถานการณ์เดียวกัน จะได้พอเข้าใจได้นะครับ