หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (29)...ชีวิตนักศึกษากับงานฉลองภาคเรียน
“คร้าบกระผมจะมารับใช้คุณผู้หญิงอย่างสุดความสามารถเลย”
น้าวิวย้อนให้ “แกก็ชอบดูหนังน้ำเน่าเนาะ...ดูพูดจา”
“แหมน้าวิวคะ จะอาศัยเขาก็พูดดี ๆ สิคะ” พี่น้อยขัดขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าวันไหนไม่ได้ด่าผมแกจะไม่สบาย ผมไม่ถือหรอกครับ” แล้วหนอยก็จับดวงเนตรเอาไว้เป็นตัวประกัน ส่วนน้าวิวหมั่นไส้นักแต่
เข้าไปตีหนอยไม่ได้
“ฝากไว้ก่อนเถอะ...ปากดีนัก”
“ไม่รับฝากครับจบเป็นวัน ๆ ” หนอยรีบลากลับที่พั
ก
วันศุกร์เช้า ดวงเนตรไปดูผลสอบกลับมาหน้าบาน น้าวิวและทุกคนดีใจด้วย ส่วนหนอยมาถึงสิบโมงเช้า หนอยเป็นคนตรงเวลามาก แม้น้าวิว
ไม่ย้ำ ด้วยก๋งซึ่งเลี้ยงหนอยมาคอยพร่ำสอนเสมอว่าคนที่จะประสบกันความสำเร็จได้ต้อง มีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลาอย่าให้ใครรอ มีความรับผิดชอบ
และอดทนสู้งานหนัก สาว ๆ แต่งตัวสวยทุกคนเพราะพอสอบเสร็จรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ดวงเนตรหน้าตาสดใส พรุ่งนี้จะโทรไปบอกข่าว
ดีกับเตี่ยทั้งกลุ่มพากันมาขึ้นรถหนอย พอถึงช็อปปิงมอล น้าวิวสรุปว่า
“ต่างคนต่างเดินนะ แล้วพอเที่ยงก็มาเจอกันตรงนี้ แล้วไปกินกลางวันกันนะจ๊ะ จะได้เดินหาซื้ออะไรได้ตามใจชอบ”
หนอยแยกมากับดวงเนตร เธอแวะเข้าคราฟต์ชอป...ร้านขายอุปกรณ์และสินค้าทำมือ ซึ่งมีทั้งไหมพรม ไม้ทักผ้า กระดุม ลูกปัดสีสวยมากมาย
ทุกอย่างที่แม่บ้านต้องการประดิษฐ์ไว้ใช้ทำสิ่งตกแต่งหรือประดับบ้าน หนอยรู้หน้าที่เข็นรถตาม ดวงเนตรซื้ออุปกรณ์สำหรับทำบูเค่...ห่วงกลมทำจาก
ฟางแห้ง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสิบสองนิ้ว...ทั้งหมดเจ็ดอัน ดอกไม้แห้งสีสวยทำจากผ้ามีทั้งดอกกุหลาบ ฟอร์เก็ตมีน็อต ดอกหญ้าแห้ง และดอก
แมกโนเลียที่ทำเป็นช่อหลายสีทั้งสีชมพูแดง ขาวปนม่วงอ่อน ใบองุ่นที่ทำเป็นช่อ แอปเปิลทำด้วยพลาสติกทาสีสวยเหมือนจริง จบลงที่ลูกสนแห้ง
ลูกใหญ่ที่พ่นด้วยสีเงินและสีทอง ส่วนริบบิ้นดวงเนตรเลือกตาสกอตสีเขียวแดงสองม้วน สำหรับของเธอเอง...เลือกผ้าปักครอสสติตช์ขนาดสิบสี่คูณสิบ
สอง เป็นรูปผู้หญิงสาวใส่ชุดกิโมโน ยืนอยู่บนศาลากลางน้ำ ร้านนี้เป็นร้านขายส่งที่ป้าแซลลี่แนะนำให้มาที่นี่
“คุณผู้หญิงจะเอาทั้งหมดไปทำบูเค่คริสมาสต์เหรอครับ” หนอยถาม (บูเค่คือช่อดอกไม้และลูกสนประดิษฐิ์ทำแขวนหน้าบ้านในช่วงคริสต์มาส)
“นี่ทำให้บ้านเจ็ดหลังเลยนะ”
“ค่ะ มีป้าแมรี่ ป้าแซลลี่ ป้าแม็กกี้ ลุงพอล ห้องน้าวิว หน้าบ้านพี่หนอย แล้วก็ทำให้พี่วรรณด้วย เขาให้ความช่วยเหลือเรามากเลย เนตรยังคิด
จะชวนพี่ ๆ ทำอาหารไทยไปกินที่บ้านพี่วรรณช่วงปิดเทอมเลยค่ะ”
“อือ! เป็นความคิดที่ดี” เขามองดูเธอด้วยสายตาอ่อนโยน เธอเป็นคนที่ถูกเลี้ยงมาดี รู้จักบุญคุณคน และไม่เคยเอาเปรียบใคร...หนอยคิดและ
เข็นรถไปจ่ายเงิน
“เนตรจ๊ะ ให้พี่หนอยได้ทำความดีร่วมด้วยอีกคนนะ”
“ค่ะ เวลาว่างก็มาช่วยเนตรสิคะ”
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่พี่ขอหารด้วยคนนะ” เสียงอ้อน
“ไม่ดีหรอกค่ะ”
“ดีสิเพราะเป็นสิ่งที่ดีที่เราทำร่วมกัน” หนอยสรุป เขารู้ว่าเธอประหยัดมากเพราะห่วงค่าใช้จ่ายและภาระเตี่ยที่หนักหนา ส่วนเขาแม้จะมีรายได้ที่
เตี่ยผู้มีฐานะกับแม่ส่งมาทั้งสองทาง หนอยก็ประหยัดพอตัว เขาถูกก๋งเลี้ยงมาให้รู้จักค่าของเงิน
“ผ้าปักน่ะมันละเอียดมาก กว่าจะเสร็จน้องหนูต้องใส่แว่นแน่เลย”
“ไม่ยากหรอกคะ เนตรเคยทำ” จ่ายเงินเสร็จก็เที่ยงพอดี ทั้งคณะแวะไปกินไก่ป๊อบอายกับข้าวเคจุนกัน
กลับมาถึงหอ...ทุกคนได้ของติดมือกลับมาด้วย แต่ดูเหมือนดวงเนตรจะหอบกลับมาถุงใหญ่
“พี่หนอยเหนื่อยก็กลับไปพักสักหน่อยดีไหมคะ“
“อือ! ดีเหมือนกันกลับไปงีบสักพักแล้วพี่จะกลับมานะ” หนอยบอกลาทุกคนทุกคน
พวกพี่ ๆ ช่วยกันทำแกงเขียวหวานไก่ ส่วนดวงเนตรเตรียมทำเส้นขนมจีน พอน้ำเดือดดี เธอก็เอาเส้นแป้งสีขาวเส้นเล็กแข็งของญี่ปุ่น ขนาด
เส้นสปาเกตตีลงไปลวกให้สุกดีแล้วรีบเอาขึ้นแช่ในน้ำเย็นพักเดียวเส้นก็นุ่ม ดวงเนตรใช้มือจับเป็นขนมจีนหัวเล็กวางเรียงซ้อนกันจนเสร็จ แล้วเตรียม
ทำผักลวกมีถั่วแขกซอย กระหล่ำปลีซอยหยาบ ๆ ลวก และ ถั่วงอกสดซื้อมาจากเอเชี่ยนมาร์ท แกงของพี่ ๆ กำลังส่งกลิ่นหอม
“หอม ๆ ได้กลิ่นแล้วหิวจังเลย” ความสงบหายไปได้พักเดียว หนอยก็ส่งเสียงมาแต่ไกล เดินเข้ามาพร้อมกีต้าร์ตัวโปรด ช่วงนี้ปิดภาคเรียนแล้ว
ทั่วทั้งหอพักดูครื้นเครงเสียงดัง นักศึกษาต่างชาติบางกลุ่มที่มีฐานะก็เริ่มเดินทางท่องเที่ยว หากในช่วงเปิดเรียนจะห้ามส่งเสียงรบกวนผู้อาศัยใน
หอพัก
“มีอะไรที่พี่หนอยทำไม่เป็นบ้างคะ กีฬาก็เล่น ดนตรีก็เล่น” ดวงเนตรถามเหมือนไม่ค่อยเชื่อ ผู้ชายเล่นกีต้าร์ด้วยสาเหตุเดียวคือเอาไว้จีบผู้หญิง
เธอคิด แต่ที่เล่นเก่ง ๆ ไม่ค่อยเจอ มีแต่ลากไปมาให้ดูเท่ เอาเข้าจริงก็เล่นได้ไม่กี่เพลง
“หนอยไม่เป็นทุกอย่างหรอก ที่ไม่เป็นเรื่องเลยคือทำงาน เห็นแต่ใช้เงินเตี่ยแม่ละก็ถนัดนัก” น้าวิวตอบแทนให้ หนอยไม่โต้เถียงแค่ยิ้มกว้าง
พี่หนอยอาบน้ำมาแล้วพอถอดเสื้อหนังออก เสื้อตัวในเป็นเสื้อยืด กางเกงยีน แค่นี้ก็ดูดีแล้วสำหรับดวงเนตร
“จวนเสร็จแล้ว ถ้าหิวก็ชากาแฟกินกับคุกกี้ไปก่อนนะ” พี่ศิริพูดขึ้น หนอยยกเก้าอี้เข้ามานั่งใกล้สาว ๆ เขาเกากีต้าร์อยู่ครู่หนึ่งแล้วตั้งสาย เพียง
ครู่เดียวทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะหนอยร้องเพลงที่พี่รุ่นใหญ่ชอบมาก
***เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม ฉันเก็บเอาไว้ให้เธอ และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ...ฮือๆ*** (วงทีโบน) เพลงจบรอยยิ้มกระจายเต็มห้องไปหมด เพลงรักจบลงด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนที่คนเล่นส่งตรงไปที่ดวงเนตร ยามขับขาน
เอื้อนเอ่ยเปรียบเช่นดั่งสัญญารักจากใจสู่ใจ เสียงปรบมือดังมาอีกชุดจากพี่พลซึ่งเพิ่งมาถึง
“เก่งมากฝีมือไม่ตกเลยนะเรา” พี่พลยืนฟังอยู่หน้าห้อง แม้จะเสียการได้ยินจากอุบัติเหตุ แต่ไม่ทั้งหมด ยังคงแว่ว ๆ เสียงไพเราะของหนอย
“ถ้ากลับจากหอไม่ดึกก็ซ้อมบ้างเป็นบางครั้งครับ มาทันเวลาพอดี มาช่วยผมหน่อยพี่พล” พี่พลเอาเก้าอี้มานั่งใกล้ ๆ ดวงเนตรเก็บอาหารเข้ามุม
ก่อน ทุกคนอยากมีความสุขไปกับเสียงเพลงอันไพเราะกันก่อนเริ่มอาหารมื้อเย็น
“โน้น! กีต้าร์ของพลอยู่มุมในสุด” น้าวิวชี้มือไป พี่พลลุกขึ้นไปเอามาแล้วเทียบเสียงกัน พี่น้อยนั่งชิดดวงเนตรแกกระซิบเสียงเบา
“เห็นเก่ง ๆ แบบนี้นะ หนอยเขากลัวอยู่สองอย่าง”
“อะไรคะ”
“กลัวความสูงกับกลัวดวงเนตรไม่รัก”
“พี่น้อยมาแซวกันเองนี่คะ” ดวงเนตรแก้มแดงก้มหน้า
“ตอนไปแข่งยูโดรอบตัดเชือกที่ชิคาโกนะคะ เขามาเมาท์กันให้ฟังว่า คุณเธอพักอยู่ชั้นห้า ไม่ยอมขึ้นลิฟท์แก้วเพราะกลัวความสูงต้องใช้วิธีวิ่ง
ขึ้นวิ่งลงค่ะ” พี่น้อยยังไม่จบดวงเนตรฟังแล้วหัวเราะแทบกลิ้ง
“คุณผู้หญิงที่หัวเราะอยู่นั่นมาผิดงานหรือเปล่า จำอวดหน้าม่านอยู่ห้องถัดไปนะครับ” ดวงเนตรถูกเบรกเกือบหัวทิ่ม เขาเลยได้รางวัลเป็นค้อน
วงใหญ่ พี่น้อยยังไม่จบกระซิบต่อ
“หนอยเขาเล่นกีต้าร์ตั้งแต่สิบขวบ เพราะลูกพี่ลูกน้องชวนเขาเล่น นี่ก็แค่ไปแจมด้วย ไป ๆ มา ๆ เล่นคล่องกว่าคนอื่นซะเฉยเลยค่ะ” ดวงเนตรยิ้ม
พี่น้อยรู้เรื่องหนอยเยอะผ่านทางน้าวิว
“ปีใหม่ทุกปีที่จัดงาน ก็ได้สองหนุ่มแหละเขาเล่นเข้ากันดี ร้องประสานเสียงยิ่งไพเราะ คนหนึ่งเสียงนุ่มทุ่มคนหนึ่งเสียงสูง” พี่น้อยเล่าให้ฟังต่อ
“เมื่อก่อนคงแฟนเยอะแน่เลย” ดวงเนตรเอ่ย
“หนอยเขาควงแต่ฝรั่ง ไม่เห็นชอบใครเป็นพิเศษเลยค่ะ” สิ่งที่ดวงเนตรได้ฟังมามันทำให้เธอขุ่นใจบ้าง แต่ดวงเนตรก็เข้าใจว่าประการแรกเขา
เป็นผู้ชาย และประการหลังคืออดีตเหล่านี้มันผ่านไปหมดแล้ว แต่บางครั้งเธอก็อดคิดไม่ได้ว่าเราสองคนจะประคองความรักนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่งไหม
และถ้าไม่...ดวงเนตรจะปวดร้าวเพียงใด “เฮ้อ!”
“ถอนใจทำไมคะ” พี่น้อยถาม
หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (29)...นักศึกษากับงานฉลองภาคเรียน
“คร้าบกระผมจะมารับใช้คุณผู้หญิงอย่างสุดความสามารถเลย”
น้าวิวย้อนให้ “แกก็ชอบดูหนังน้ำเน่าเนาะ...ดูพูดจา”
“แหมน้าวิวคะ จะอาศัยเขาก็พูดดี ๆ สิคะ” พี่น้อยขัดขึ้น
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าวันไหนไม่ได้ด่าผมแกจะไม่สบาย ผมไม่ถือหรอกครับ” แล้วหนอยก็จับดวงเนตรเอาไว้เป็นตัวประกัน ส่วนน้าวิวหมั่นไส้นักแต่
เข้าไปตีหนอยไม่ได้
“ฝากไว้ก่อนเถอะ...ปากดีนัก”
“ไม่รับฝากครับจบเป็นวัน ๆ ” หนอยรีบลากลับที่พัก
วันศุกร์เช้า ดวงเนตรไปดูผลสอบกลับมาหน้าบาน น้าวิวและทุกคนดีใจด้วย ส่วนหนอยมาถึงสิบโมงเช้า หนอยเป็นคนตรงเวลามาก แม้น้าวิว
ไม่ย้ำ ด้วยก๋งซึ่งเลี้ยงหนอยมาคอยพร่ำสอนเสมอว่าคนที่จะประสบกันความสำเร็จได้ต้อง มีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลาอย่าให้ใครรอ มีความรับผิดชอบ
และอดทนสู้งานหนัก สาว ๆ แต่งตัวสวยทุกคนเพราะพอสอบเสร็จรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ดวงเนตรหน้าตาสดใส พรุ่งนี้จะโทรไปบอกข่าว
ดีกับเตี่ยทั้งกลุ่มพากันมาขึ้นรถหนอย พอถึงช็อปปิงมอล น้าวิวสรุปว่า
“ต่างคนต่างเดินนะ แล้วพอเที่ยงก็มาเจอกันตรงนี้ แล้วไปกินกลางวันกันนะจ๊ะ จะได้เดินหาซื้ออะไรได้ตามใจชอบ”
หนอยแยกมากับดวงเนตร เธอแวะเข้าคราฟต์ชอป...ร้านขายอุปกรณ์และสินค้าทำมือ ซึ่งมีทั้งไหมพรม ไม้ทักผ้า กระดุม ลูกปัดสีสวยมากมาย
ทุกอย่างที่แม่บ้านต้องการประดิษฐ์ไว้ใช้ทำสิ่งตกแต่งหรือประดับบ้าน หนอยรู้หน้าที่เข็นรถตาม ดวงเนตรซื้ออุปกรณ์สำหรับทำบูเค่...ห่วงกลมทำจาก
ฟางแห้ง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสิบสองนิ้ว...ทั้งหมดเจ็ดอัน ดอกไม้แห้งสีสวยทำจากผ้ามีทั้งดอกกุหลาบ ฟอร์เก็ตมีน็อต ดอกหญ้าแห้ง และดอก
แมกโนเลียที่ทำเป็นช่อหลายสีทั้งสีชมพูแดง ขาวปนม่วงอ่อน ใบองุ่นที่ทำเป็นช่อ แอปเปิลทำด้วยพลาสติกทาสีสวยเหมือนจริง จบลงที่ลูกสนแห้ง
ลูกใหญ่ที่พ่นด้วยสีเงินและสีทอง ส่วนริบบิ้นดวงเนตรเลือกตาสกอตสีเขียวแดงสองม้วน สำหรับของเธอเอง...เลือกผ้าปักครอสสติตช์ขนาดสิบสี่คูณสิบ
สอง เป็นรูปผู้หญิงสาวใส่ชุดกิโมโน ยืนอยู่บนศาลากลางน้ำ ร้านนี้เป็นร้านขายส่งที่ป้าแซลลี่แนะนำให้มาที่นี่
“คุณผู้หญิงจะเอาทั้งหมดไปทำบูเค่คริสมาสต์เหรอครับ” หนอยถาม (บูเค่คือช่อดอกไม้และลูกสนประดิษฐิ์ทำแขวนหน้าบ้านในช่วงคริสต์มาส)
“นี่ทำให้บ้านเจ็ดหลังเลยนะ”
“ค่ะ มีป้าแมรี่ ป้าแซลลี่ ป้าแม็กกี้ ลุงพอล ห้องน้าวิว หน้าบ้านพี่หนอย แล้วก็ทำให้พี่วรรณด้วย เขาให้ความช่วยเหลือเรามากเลย เนตรยังคิด
จะชวนพี่ ๆ ทำอาหารไทยไปกินที่บ้านพี่วรรณช่วงปิดเทอมเลยค่ะ”
“อือ! เป็นความคิดที่ดี” เขามองดูเธอด้วยสายตาอ่อนโยน เธอเป็นคนที่ถูกเลี้ยงมาดี รู้จักบุญคุณคน และไม่เคยเอาเปรียบใคร...หนอยคิดและ
เข็นรถไปจ่ายเงิน
“เนตรจ๊ะ ให้พี่หนอยได้ทำความดีร่วมด้วยอีกคนนะ”
“ค่ะ เวลาว่างก็มาช่วยเนตรสิคะ”
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่พี่ขอหารด้วยคนนะ” เสียงอ้อน
“ไม่ดีหรอกค่ะ”
“ดีสิเพราะเป็นสิ่งที่ดีที่เราทำร่วมกัน” หนอยสรุป เขารู้ว่าเธอประหยัดมากเพราะห่วงค่าใช้จ่ายและภาระเตี่ยที่หนักหนา ส่วนเขาแม้จะมีรายได้ที่
เตี่ยผู้มีฐานะกับแม่ส่งมาทั้งสองทาง หนอยก็ประหยัดพอตัว เขาถูกก๋งเลี้ยงมาให้รู้จักค่าของเงิน
“ผ้าปักน่ะมันละเอียดมาก กว่าจะเสร็จน้องหนูต้องใส่แว่นแน่เลย”
“ไม่ยากหรอกคะ เนตรเคยทำ” จ่ายเงินเสร็จก็เที่ยงพอดี ทั้งคณะแวะไปกินไก่ป๊อบอายกับข้าวเคจุนกัน
กลับมาถึงหอ...ทุกคนได้ของติดมือกลับมาด้วย แต่ดูเหมือนดวงเนตรจะหอบกลับมาถุงใหญ่
“พี่หนอยเหนื่อยก็กลับไปพักสักหน่อยดีไหมคะ“
“อือ! ดีเหมือนกันกลับไปงีบสักพักแล้วพี่จะกลับมานะ” หนอยบอกลาทุกคนทุกคน
พวกพี่ ๆ ช่วยกันทำแกงเขียวหวานไก่ ส่วนดวงเนตรเตรียมทำเส้นขนมจีน พอน้ำเดือดดี เธอก็เอาเส้นแป้งสีขาวเส้นเล็กแข็งของญี่ปุ่น ขนาด
เส้นสปาเกตตีลงไปลวกให้สุกดีแล้วรีบเอาขึ้นแช่ในน้ำเย็นพักเดียวเส้นก็นุ่ม ดวงเนตรใช้มือจับเป็นขนมจีนหัวเล็กวางเรียงซ้อนกันจนเสร็จ แล้วเตรียม
ทำผักลวกมีถั่วแขกซอย กระหล่ำปลีซอยหยาบ ๆ ลวก และ ถั่วงอกสดซื้อมาจากเอเชี่ยนมาร์ท แกงของพี่ ๆ กำลังส่งกลิ่นหอม
“หอม ๆ ได้กลิ่นแล้วหิวจังเลย” ความสงบหายไปได้พักเดียว หนอยก็ส่งเสียงมาแต่ไกล เดินเข้ามาพร้อมกีต้าร์ตัวโปรด ช่วงนี้ปิดภาคเรียนแล้ว
ทั่วทั้งหอพักดูครื้นเครงเสียงดัง นักศึกษาต่างชาติบางกลุ่มที่มีฐานะก็เริ่มเดินทางท่องเที่ยว หากในช่วงเปิดเรียนจะห้ามส่งเสียงรบกวนผู้อาศัยใน
หอพัก
“มีอะไรที่พี่หนอยทำไม่เป็นบ้างคะ กีฬาก็เล่น ดนตรีก็เล่น” ดวงเนตรถามเหมือนไม่ค่อยเชื่อ ผู้ชายเล่นกีต้าร์ด้วยสาเหตุเดียวคือเอาไว้จีบผู้หญิง
เธอคิด แต่ที่เล่นเก่ง ๆ ไม่ค่อยเจอ มีแต่ลากไปมาให้ดูเท่ เอาเข้าจริงก็เล่นได้ไม่กี่เพลง
“หนอยไม่เป็นทุกอย่างหรอก ที่ไม่เป็นเรื่องเลยคือทำงาน เห็นแต่ใช้เงินเตี่ยแม่ละก็ถนัดนัก” น้าวิวตอบแทนให้ หนอยไม่โต้เถียงแค่ยิ้มกว้าง
พี่หนอยอาบน้ำมาแล้วพอถอดเสื้อหนังออก เสื้อตัวในเป็นเสื้อยืด กางเกงยีน แค่นี้ก็ดูดีแล้วสำหรับดวงเนตร
“จวนเสร็จแล้ว ถ้าหิวก็ชากาแฟกินกับคุกกี้ไปก่อนนะ” พี่ศิริพูดขึ้น หนอยยกเก้าอี้เข้ามานั่งใกล้สาว ๆ เขาเกากีต้าร์อยู่ครู่หนึ่งแล้วตั้งสาย เพียง
ครู่เดียวทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะหนอยร้องเพลงที่พี่รุ่นใหญ่ชอบมาก ***เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม ฉันเก็บเอาไว้ให้เธอ และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ...ฮือๆ*** (วงทีโบน) เพลงจบรอยยิ้มกระจายเต็มห้องไปหมด เพลงรักจบลงด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนที่คนเล่นส่งตรงไปที่ดวงเนตร ยามขับขาน
เอื้อนเอ่ยเปรียบเช่นดั่งสัญญารักจากใจสู่ใจ เสียงปรบมือดังมาอีกชุดจากพี่พลซึ่งเพิ่งมาถึง
“เก่งมากฝีมือไม่ตกเลยนะเรา” พี่พลยืนฟังอยู่หน้าห้อง แม้จะเสียการได้ยินจากอุบัติเหตุ แต่ไม่ทั้งหมด ยังคงแว่ว ๆ เสียงไพเราะของหนอย
“ถ้ากลับจากหอไม่ดึกก็ซ้อมบ้างเป็นบางครั้งครับ มาทันเวลาพอดี มาช่วยผมหน่อยพี่พล” พี่พลเอาเก้าอี้มานั่งใกล้ ๆ ดวงเนตรเก็บอาหารเข้ามุม
ก่อน ทุกคนอยากมีความสุขไปกับเสียงเพลงอันไพเราะกันก่อนเริ่มอาหารมื้อเย็น
“โน้น! กีต้าร์ของพลอยู่มุมในสุด” น้าวิวชี้มือไป พี่พลลุกขึ้นไปเอามาแล้วเทียบเสียงกัน พี่น้อยนั่งชิดดวงเนตรแกกระซิบเสียงเบา
“เห็นเก่ง ๆ แบบนี้นะ หนอยเขากลัวอยู่สองอย่าง”
“อะไรคะ”
“กลัวความสูงกับกลัวดวงเนตรไม่รัก”
“พี่น้อยมาแซวกันเองนี่คะ” ดวงเนตรแก้มแดงก้มหน้า
“ตอนไปแข่งยูโดรอบตัดเชือกที่ชิคาโกนะคะ เขามาเมาท์กันให้ฟังว่า คุณเธอพักอยู่ชั้นห้า ไม่ยอมขึ้นลิฟท์แก้วเพราะกลัวความสูงต้องใช้วิธีวิ่ง
ขึ้นวิ่งลงค่ะ” พี่น้อยยังไม่จบดวงเนตรฟังแล้วหัวเราะแทบกลิ้ง
“คุณผู้หญิงที่หัวเราะอยู่นั่นมาผิดงานหรือเปล่า จำอวดหน้าม่านอยู่ห้องถัดไปนะครับ” ดวงเนตรถูกเบรกเกือบหัวทิ่ม เขาเลยได้รางวัลเป็นค้อน
วงใหญ่ พี่น้อยยังไม่จบกระซิบต่อ
“หนอยเขาเล่นกีต้าร์ตั้งแต่สิบขวบ เพราะลูกพี่ลูกน้องชวนเขาเล่น นี่ก็แค่ไปแจมด้วย ไป ๆ มา ๆ เล่นคล่องกว่าคนอื่นซะเฉยเลยค่ะ” ดวงเนตรยิ้ม
พี่น้อยรู้เรื่องหนอยเยอะผ่านทางน้าวิว
“ปีใหม่ทุกปีที่จัดงาน ก็ได้สองหนุ่มแหละเขาเล่นเข้ากันดี ร้องประสานเสียงยิ่งไพเราะ คนหนึ่งเสียงนุ่มทุ่มคนหนึ่งเสียงสูง” พี่น้อยเล่าให้ฟังต่อ
“เมื่อก่อนคงแฟนเยอะแน่เลย” ดวงเนตรเอ่ย
“หนอยเขาควงแต่ฝรั่ง ไม่เห็นชอบใครเป็นพิเศษเลยค่ะ” สิ่งที่ดวงเนตรได้ฟังมามันทำให้เธอขุ่นใจบ้าง แต่ดวงเนตรก็เข้าใจว่าประการแรกเขา
เป็นผู้ชาย และประการหลังคืออดีตเหล่านี้มันผ่านไปหมดแล้ว แต่บางครั้งเธอก็อดคิดไม่ได้ว่าเราสองคนจะประคองความรักนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่งไหม
และถ้าไม่...ดวงเนตรจะปวดร้าวเพียงใด “เฮ้อ!”
“ถอนใจทำไมคะ” พี่น้อยถาม