5. การอภิปรายและผลการศึกษา
การศึกษาครั้งนี้วิเคราะห์ผลกระทบและศักยภาพที่ไม่ได้รับการสานต่อของโครงการ “กรุงเทพมหานครเมืองกีฬาอัจฉริยะ พ.ศ. 2537” ซึ่งริเริ่มโดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายโครงสร้างพื้นฐาน โครงการดังกล่าวเป็นความพยายามครั้งสำคัญในการบูรณาการการพัฒนาเมืองโดยใช้แนวทางการพัฒนาที่เน้นระบบขนส่งมวลชน (Transit-Oriented Development: TOD) ร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานด้านกีฬา ที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยา และการย้ายชุมชนแออัด เพื่อเปลี่ยนกรุงเทพมหานครให้กลายเป็นมหานครสมัยใหม่ที่พร้อมรองรับการแข่งขันเอเชียนเกมส์ 2541 และอนาคตระยะยาว
การวิเคราะห์ทางเศรษฐมิติที่ใช้แบบจำลอง ARIMA การทดสอบจุดเปลี่ยนโครงสร้าง (Chow Test) และฟังก์ชันการผลิต Cobb–Douglas พบว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างมีนัยสำคัญในแนวโน้มโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย สอดคล้องกับวิกฤตการณ์ทางการเมืองในช่วงปลายปี 2537 ซึ่งส่งผลให้โครงการภายใต้แนวคิด “สุขวิชโนมิกส์” ต้องหยุดชะงัก และประเทศไทยพลาดโอกาสในการพัฒนาเมืองและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
เชิงปริมาณ แบบจำลองประเมินว่า หากโครงการ Smart Sports City ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้กรุงเทพฯ มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสม (CAGR) เพิ่มขึ้น 1.2% ต่อปีในช่วง 2543–2563 โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนด้านทุนทางกายภาพ การบูรณาการแรงงาน และความต่อเนื่องของสถาบัน ซึ่งสะท้อนปฏิสัมพันธ์ทวีคูณของโครงสร้างพื้นฐาน ทุนมนุษย์ และเสถียรภาพของธรรมาภิบาล
ในด้านสังคม การวางแผนย้ายชุมชนคลองเตยเข้าสู่พื้นที่อยู่อาศัยแบบใหม่ที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านกีฬา จะส่งผลเชิงบวกในระยะยาวต่อการพัฒนาทุนมนุษย์ ลดอาชญากรรม และเพิ่มการเคลื่อนย้ายทางสังคม งานวิจัยจำนวนมากสนับสนุนว่าการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านกีฬาที่มีคุณภาพช่วยส่งเสริมวินัยในเยาวชน ลดพฤติกรรมเบี่ยงเบน และเปิดโอกาสทางการศึกษาและอาชีพในสาขากีฬา
แม้โครงการจะแสดงศักยภาพในช่วงปี 2537 แต่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง 11 ธันวาคม 2537 ส่งผลให้โครงการจบลง ได้รับการยืนยันโดยแบบทดสอบ Chow ณ ไตรมาสที่ 1 ปี 2538 ส่งผลให้การลงทุนหยุดชะงัก ชุมชนแออัดไม่ได้รับการพัฒนา และมูลค่าที่ดินในเมืองรวมถึงรายได้จากการท่องเที่ยวไม่เพิ่มขึ้นตามศักยภาพของโครงการ
ในช่วงปี 2539–2540 โครงการย่อยภายใต้แนวคิดสุขวิชโนมิกส์ยังคงมีการดำเนินงานคือ ธรรมศาสตร์สปอร์ตคอมเพล็กซ์ และ หมู่บ้านนักกีฬาเอเชี่ยนส์เกมส์ ยังคงเป็นหอพักนักศึกษาจนถึงปัจจุบัน(2568)
ตั้งแต่ปี 2544 การเมืองแบบประชานิยมที่มุ่งเน้นการแจกจ่ายสวัสดิการในระยะสั้นได้เบี่ยงเบนทรัพยากรและความสนใจออกจากการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว ส่งผลให้การพัฒนากรุงเทพฯ ขาดดุล—เขตใจกลางเมืองเติบโตบ้าง แต่พื้นที่รอบนอกและชุมชนชายขอบยังล้าหลัง สะท้อนความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่และสังคมที่เพิ่มขึ้น
สรุปแล้ว แม้สุขวิชโนมิกส์และโครงการ Smart Sports City จะวางรากฐานเชิงวิสัยทัศน์สำหรับการพัฒนาเมืองแบบบูรณาการผ่านกีฬาและโครงสร้างพื้นฐาน แต่ศักยภาพทั้งหมดถูกจำกัดด้วยความไม่ต่อเนื่องทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย ต้นทุนเชิงโอกาสที่เกิดขึ้นนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญอย่างยิ่งของธรรมาภิบาลที่มั่นคง และความต่อเนื่องระหว่างรัฐบาลในการผลักดันโครงการพัฒนาเมืองขนาดใหญ่ในระยะยาว
6. สรุปและแนวทางวิจัยในอนาคต
งานวิจัยนี้สรุปว่าโครงการ “กรุงเทพมหานครเมืองกีฬาอัจฉริยะ พ.ศ. 2537” ซึ่งเป็นแกนกลางของแนวคิดสุขวิชโนมิกส์ ถือเป็นกรอบนโยบายการพัฒนาเมืองที่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมได้อย่างรอบด้าน ทั้งในมิติของโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทุนมนุษย์ และการยกระดับการเคลื่อนย้ายทางสังคม โดยอิงจากแนวคิด “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง”
ผ่านการวิเคราะห์ทางเศรษฐมิติสมัยใหม่ ได้แก่ แบบจำลอง ARIMA การทดสอบโครงสร้าง Chow และฟังก์ชัน Cobb–Douglas เราพบว่า การที่โครงการไม่ได้ดำเนินการต่อได้สร้างต้นทุนเชิงโอกาสที่สามารถวัดได้ต่อผลิตภาพของเมืองและการพัฒนาอย่างครอบคลุมในระยะยาว
ผลการทดสอบ Chow ยืนยันจุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างในไตรมาสแรกของปี 2538 ซึ่งเกิดจากการล่มสลายของรัฐบาลเทคโนแครต ไม่ใช่เพราะปัจจัยเศรษฐกิจโดยตรง ตรงกันข้ามกับคำอธิบายทางมหภาคที่นิยมว่าเศรษฐกิจไทยซบเซาหลังวิกฤตปี 2540 รายงานของธนาคารโลกกลับชี้ว่า ในช่วงปี 2537–2543 รายได้ครัวเรือนไทย (โดยเฉพาะในภาคอีสาน) เพิ่มขึ้นถึง 46% และอัตราความยากจนลดลงจาก 21.3% เหลือเพียง 11.3% ส่วนหนึ่งมาจากการขยายโอกาสทางการศึกษาและโครงสร้างพื้นฐานสังคมภายใต้การปฏิรูปการศึกษาปี 2538
ดังนั้น ข้อค้นพบนี้ท้าทายความเชื่อเดิมที่ว่า “วิกฤต” เป็นต้นเหตุหลักของการชะงักของประเทศ แต่ชี้ว่า จุดพลิกผันแท้จริงคือ การเปลี่ยนผ่านเชิงการเมืองที่ลดความสำคัญของการวางแผนระยะยาว และหันไปเน้นนโยบายประชานิยมแบบรายวัน ส่งผลให้การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานถูกตัดทอน และสถาบันไม่สามารถดำเนินต่อได้อย่างมั่นคง
การวิเคราะห์แบบจำลอง ARIMA ชี้ว่า หากไม่มีจุดเปลี่ยนอ11 ธันวาคม 2537 ผลิตภาพทางเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ อาจเติบโตเร็วขึ้นอีก 1.2% ต่อปี โดยอาศัย TOD, การเพิ่มมูลค่าที่ดิน และการลดต้นทุนสังคม เช่น อาชญากรรม การว่างงาน และการถูกทอดทิ้งของเยาวชน
โมเดล Cobb–Douglas ซึ่งรวมทุนโครงสร้างพื้นฐาน (K), การบูรณาการแรงงาน (L), และเสถียรภาพเชิงสถาบัน (T) ย้ำว่า “ธรรมาภิบาล” คือปัจจัยที่มักถูกมองข้าม แต่จำเป็นต่อการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน
โครงการนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงโอกาสที่สูญเสียไปทางนโยบาย แต่ยังเป็น “กรณีศึกษา” สำหรับการเข้าใจผลกระทบของความไม่ต่อเนื่องเชิงสถาบันอย่างลึกซึ้ง
งานวิจัยในอนาคตควรมุ่งเน้น 3 ประเด็นสำคัญ:
พัฒนาแบบจำลองเศรษฐกิจการเมืองเพื่อจำลองผลลัพธ์ของโครงสร้างพื้นฐานภายใต้บริบทการเมืองต่าง ๆ
ศึกษาเปรียบเทียบกับเมืองอื่นที่ใช้กีฬาเป็นกลไกพัฒนา เช่น บาร์เซโลนา ปี 1992
ขยายโมเดลไปยังตัวแปรสังคม เช่น สุขภาพ ความปลอดภัย และผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่สัมพันธ์กับโครงสร้างพื้นฐานกีฬาและชุมชน
การพัฒนา “ชุดข้อมูลสมมุติฐานภายใต้เสถียรภาพทางการเมือง” (counterfactual continuity dataset) อาจช่วยให้เห็นภาพชัดขึ้นว่ากรุงเทพฯ จะพัฒนาอย่างไร หากโครงการได้รับการสานต่อข้ามรัฐบาลอย่างจริงจัง
สรุปแล้ว โครงการนี้เป็นกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นถึง ต้นทุนแห่งการเมืองระยะสั้น ซึ่งอาจส่งผลเสียหายระยะยาวต่อประเทศในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และการพัฒนา
7. ข้อเสนอเชิงนโยบาย และการประยุกต์ใช้ในภาคปฏิบัติและงานวิจัยอนาคต
ผลการศึกษานี้มีข้อเสนอสำคัญต่อการวางแผนเศรษฐกิจเมือง นโยบายโครงสร้างพื้นฐาน และแนวทางวิจัยในบริบทของความไม่ต่อเนื่องเชิงโครงสร้างในกระบวนการพัฒนาเมือง
การประยุกต์แบบจำลอง ARIMA, SARIMA และ Cobb–Douglas เพื่อประเมินเส้นทางพัฒนาโครงการ Smart Sports City ภายใต้กรอบนโยบาย “สุขวิชโนมิกส์” แสดงให้เห็นถึงความสามารถและข้อจำกัดของเครื่องมือทางเศรษฐมิติในการวิเคราะห์โครงการขนาดใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
ในมิติของนโยบายสาธารณะ ผลการศึกษาให้หลักฐานเชิงประจักษ์ว่าการยกเลิกโครงการพัฒนาเมืองอย่างฉับพลันสามารถสร้างความสูญเสียเชิงโครงสร้าง ทั้งด้านผลิตภาพเมือง ความครอบคลุมทางสังคม และประสิทธิภาพของระบบขนส่ง
การใช้แบบจำลองดังกล่าวควรถูกบูรณาการเข้าสู่การตัดสินใจเชิงนโยบาย เพื่อคาดการณ์ผลกระทบล่วงหน้า ป้องกันการลงทุนไม่เพียงพอ และวางแผนการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพระยะยาว
ในแง่ของการวางผังเมือง การวิเคราะห์เปรียบเทียบพื้นที่ เช่น แนวรถไฟฟ้า เขตพัฒนาอัจฉริยะ และเขตกรุงเทพฯ โดยรวม ชี้ให้เห็นว่าการพัฒนาแบบ TOD และการวางแผนอย่างบูรณาการมีความสำคัญยิ่ง
นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ใช้แบบจำลองที่รองรับความผันผวนสูง เช่น Markov-Switching, ARIMA-GARCH หรือ BSTS และผสมผสานกับวิธีการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) รวมถึงตัวแปรภายนอก เช่น ดัชนีนโยบาย มูลค่าที่ดิน ใบอนุญาตก่อสร้าง เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
ในทางวิทยาศาสตร์ งานวิจัยนี้มีส่วนสนับสนุนการพัฒนา “การจำลองเมืองสมมุติ” (counterfactual urban modeling) ซึ่งช่วยฟื้นฟูเรื่องเล่านโยบายที่สูญหาย และประเมินผลกระทบที่เกิดจากการขาดความต่อเนื่อง
สุดท้าย การศึกษาแสดงให้เห็นว่า “โครงสร้างพื้นฐาน + ความเสมอภาคทางสังคม + ความต่อเนื่องทางสถาบัน” คือสูตรสำคัญในการสร้างความยืดหยุ่นและความยั่งยืนของเมือง
เศรษฐมิติ
การศึกษาครั้งนี้วิเคราะห์ผลกระทบและศักยภาพที่ไม่ได้รับการสานต่อของโครงการ “กรุงเทพมหานครเมืองกีฬาอัจฉริยะ พ.ศ. 2537” ซึ่งริเริ่มโดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายโครงสร้างพื้นฐาน โครงการดังกล่าวเป็นความพยายามครั้งสำคัญในการบูรณาการการพัฒนาเมืองโดยใช้แนวทางการพัฒนาที่เน้นระบบขนส่งมวลชน (Transit-Oriented Development: TOD) ร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานด้านกีฬา ที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยา และการย้ายชุมชนแออัด เพื่อเปลี่ยนกรุงเทพมหานครให้กลายเป็นมหานครสมัยใหม่ที่พร้อมรองรับการแข่งขันเอเชียนเกมส์ 2541 และอนาคตระยะยาว
การวิเคราะห์ทางเศรษฐมิติที่ใช้แบบจำลอง ARIMA การทดสอบจุดเปลี่ยนโครงสร้าง (Chow Test) และฟังก์ชันการผลิต Cobb–Douglas พบว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างมีนัยสำคัญในแนวโน้มโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย สอดคล้องกับวิกฤตการณ์ทางการเมืองในช่วงปลายปี 2537 ซึ่งส่งผลให้โครงการภายใต้แนวคิด “สุขวิชโนมิกส์” ต้องหยุดชะงัก และประเทศไทยพลาดโอกาสในการพัฒนาเมืองและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
เชิงปริมาณ แบบจำลองประเมินว่า หากโครงการ Smart Sports City ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้กรุงเทพฯ มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสม (CAGR) เพิ่มขึ้น 1.2% ต่อปีในช่วง 2543–2563 โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนด้านทุนทางกายภาพ การบูรณาการแรงงาน และความต่อเนื่องของสถาบัน ซึ่งสะท้อนปฏิสัมพันธ์ทวีคูณของโครงสร้างพื้นฐาน ทุนมนุษย์ และเสถียรภาพของธรรมาภิบาล
ในด้านสังคม การวางแผนย้ายชุมชนคลองเตยเข้าสู่พื้นที่อยู่อาศัยแบบใหม่ที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านกีฬา จะส่งผลเชิงบวกในระยะยาวต่อการพัฒนาทุนมนุษย์ ลดอาชญากรรม และเพิ่มการเคลื่อนย้ายทางสังคม งานวิจัยจำนวนมากสนับสนุนว่าการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านกีฬาที่มีคุณภาพช่วยส่งเสริมวินัยในเยาวชน ลดพฤติกรรมเบี่ยงเบน และเปิดโอกาสทางการศึกษาและอาชีพในสาขากีฬา
แม้โครงการจะแสดงศักยภาพในช่วงปี 2537 แต่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง 11 ธันวาคม 2537 ส่งผลให้โครงการจบลง ได้รับการยืนยันโดยแบบทดสอบ Chow ณ ไตรมาสที่ 1 ปี 2538 ส่งผลให้การลงทุนหยุดชะงัก ชุมชนแออัดไม่ได้รับการพัฒนา และมูลค่าที่ดินในเมืองรวมถึงรายได้จากการท่องเที่ยวไม่เพิ่มขึ้นตามศักยภาพของโครงการ
ในช่วงปี 2539–2540 โครงการย่อยภายใต้แนวคิดสุขวิชโนมิกส์ยังคงมีการดำเนินงานคือ ธรรมศาสตร์สปอร์ตคอมเพล็กซ์ และ หมู่บ้านนักกีฬาเอเชี่ยนส์เกมส์ ยังคงเป็นหอพักนักศึกษาจนถึงปัจจุบัน(2568)
ตั้งแต่ปี 2544 การเมืองแบบประชานิยมที่มุ่งเน้นการแจกจ่ายสวัสดิการในระยะสั้นได้เบี่ยงเบนทรัพยากรและความสนใจออกจากการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว ส่งผลให้การพัฒนากรุงเทพฯ ขาดดุล—เขตใจกลางเมืองเติบโตบ้าง แต่พื้นที่รอบนอกและชุมชนชายขอบยังล้าหลัง สะท้อนความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่และสังคมที่เพิ่มขึ้น
สรุปแล้ว แม้สุขวิชโนมิกส์และโครงการ Smart Sports City จะวางรากฐานเชิงวิสัยทัศน์สำหรับการพัฒนาเมืองแบบบูรณาการผ่านกีฬาและโครงสร้างพื้นฐาน แต่ศักยภาพทั้งหมดถูกจำกัดด้วยความไม่ต่อเนื่องทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย ต้นทุนเชิงโอกาสที่เกิดขึ้นนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญอย่างยิ่งของธรรมาภิบาลที่มั่นคง และความต่อเนื่องระหว่างรัฐบาลในการผลักดันโครงการพัฒนาเมืองขนาดใหญ่ในระยะยาว
6. สรุปและแนวทางวิจัยในอนาคต
งานวิจัยนี้สรุปว่าโครงการ “กรุงเทพมหานครเมืองกีฬาอัจฉริยะ พ.ศ. 2537” ซึ่งเป็นแกนกลางของแนวคิดสุขวิชโนมิกส์ ถือเป็นกรอบนโยบายการพัฒนาเมืองที่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมได้อย่างรอบด้าน ทั้งในมิติของโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทุนมนุษย์ และการยกระดับการเคลื่อนย้ายทางสังคม โดยอิงจากแนวคิด “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง”
ผ่านการวิเคราะห์ทางเศรษฐมิติสมัยใหม่ ได้แก่ แบบจำลอง ARIMA การทดสอบโครงสร้าง Chow และฟังก์ชัน Cobb–Douglas เราพบว่า การที่โครงการไม่ได้ดำเนินการต่อได้สร้างต้นทุนเชิงโอกาสที่สามารถวัดได้ต่อผลิตภาพของเมืองและการพัฒนาอย่างครอบคลุมในระยะยาว
ผลการทดสอบ Chow ยืนยันจุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างในไตรมาสแรกของปี 2538 ซึ่งเกิดจากการล่มสลายของรัฐบาลเทคโนแครต ไม่ใช่เพราะปัจจัยเศรษฐกิจโดยตรง ตรงกันข้ามกับคำอธิบายทางมหภาคที่นิยมว่าเศรษฐกิจไทยซบเซาหลังวิกฤตปี 2540 รายงานของธนาคารโลกกลับชี้ว่า ในช่วงปี 2537–2543 รายได้ครัวเรือนไทย (โดยเฉพาะในภาคอีสาน) เพิ่มขึ้นถึง 46% และอัตราความยากจนลดลงจาก 21.3% เหลือเพียง 11.3% ส่วนหนึ่งมาจากการขยายโอกาสทางการศึกษาและโครงสร้างพื้นฐานสังคมภายใต้การปฏิรูปการศึกษาปี 2538
ดังนั้น ข้อค้นพบนี้ท้าทายความเชื่อเดิมที่ว่า “วิกฤต” เป็นต้นเหตุหลักของการชะงักของประเทศ แต่ชี้ว่า จุดพลิกผันแท้จริงคือ การเปลี่ยนผ่านเชิงการเมืองที่ลดความสำคัญของการวางแผนระยะยาว และหันไปเน้นนโยบายประชานิยมแบบรายวัน ส่งผลให้การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานถูกตัดทอน และสถาบันไม่สามารถดำเนินต่อได้อย่างมั่นคง
การวิเคราะห์แบบจำลอง ARIMA ชี้ว่า หากไม่มีจุดเปลี่ยนอ11 ธันวาคม 2537 ผลิตภาพทางเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ อาจเติบโตเร็วขึ้นอีก 1.2% ต่อปี โดยอาศัย TOD, การเพิ่มมูลค่าที่ดิน และการลดต้นทุนสังคม เช่น อาชญากรรม การว่างงาน และการถูกทอดทิ้งของเยาวชน
โมเดล Cobb–Douglas ซึ่งรวมทุนโครงสร้างพื้นฐาน (K), การบูรณาการแรงงาน (L), และเสถียรภาพเชิงสถาบัน (T) ย้ำว่า “ธรรมาภิบาล” คือปัจจัยที่มักถูกมองข้าม แต่จำเป็นต่อการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน
โครงการนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงโอกาสที่สูญเสียไปทางนโยบาย แต่ยังเป็น “กรณีศึกษา” สำหรับการเข้าใจผลกระทบของความไม่ต่อเนื่องเชิงสถาบันอย่างลึกซึ้ง
งานวิจัยในอนาคตควรมุ่งเน้น 3 ประเด็นสำคัญ:
พัฒนาแบบจำลองเศรษฐกิจการเมืองเพื่อจำลองผลลัพธ์ของโครงสร้างพื้นฐานภายใต้บริบทการเมืองต่าง ๆ
ศึกษาเปรียบเทียบกับเมืองอื่นที่ใช้กีฬาเป็นกลไกพัฒนา เช่น บาร์เซโลนา ปี 1992
ขยายโมเดลไปยังตัวแปรสังคม เช่น สุขภาพ ความปลอดภัย และผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่สัมพันธ์กับโครงสร้างพื้นฐานกีฬาและชุมชน
การพัฒนา “ชุดข้อมูลสมมุติฐานภายใต้เสถียรภาพทางการเมือง” (counterfactual continuity dataset) อาจช่วยให้เห็นภาพชัดขึ้นว่ากรุงเทพฯ จะพัฒนาอย่างไร หากโครงการได้รับการสานต่อข้ามรัฐบาลอย่างจริงจัง
สรุปแล้ว โครงการนี้เป็นกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นถึง ต้นทุนแห่งการเมืองระยะสั้น ซึ่งอาจส่งผลเสียหายระยะยาวต่อประเทศในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และการพัฒนา
7. ข้อเสนอเชิงนโยบาย และการประยุกต์ใช้ในภาคปฏิบัติและงานวิจัยอนาคต
ผลการศึกษานี้มีข้อเสนอสำคัญต่อการวางแผนเศรษฐกิจเมือง นโยบายโครงสร้างพื้นฐาน และแนวทางวิจัยในบริบทของความไม่ต่อเนื่องเชิงโครงสร้างในกระบวนการพัฒนาเมือง
การประยุกต์แบบจำลอง ARIMA, SARIMA และ Cobb–Douglas เพื่อประเมินเส้นทางพัฒนาโครงการ Smart Sports City ภายใต้กรอบนโยบาย “สุขวิชโนมิกส์” แสดงให้เห็นถึงความสามารถและข้อจำกัดของเครื่องมือทางเศรษฐมิติในการวิเคราะห์โครงการขนาดใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
ในมิติของนโยบายสาธารณะ ผลการศึกษาให้หลักฐานเชิงประจักษ์ว่าการยกเลิกโครงการพัฒนาเมืองอย่างฉับพลันสามารถสร้างความสูญเสียเชิงโครงสร้าง ทั้งด้านผลิตภาพเมือง ความครอบคลุมทางสังคม และประสิทธิภาพของระบบขนส่ง
การใช้แบบจำลองดังกล่าวควรถูกบูรณาการเข้าสู่การตัดสินใจเชิงนโยบาย เพื่อคาดการณ์ผลกระทบล่วงหน้า ป้องกันการลงทุนไม่เพียงพอ และวางแผนการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพระยะยาว
ในแง่ของการวางผังเมือง การวิเคราะห์เปรียบเทียบพื้นที่ เช่น แนวรถไฟฟ้า เขตพัฒนาอัจฉริยะ และเขตกรุงเทพฯ โดยรวม ชี้ให้เห็นว่าการพัฒนาแบบ TOD และการวางแผนอย่างบูรณาการมีความสำคัญยิ่ง
นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ใช้แบบจำลองที่รองรับความผันผวนสูง เช่น Markov-Switching, ARIMA-GARCH หรือ BSTS และผสมผสานกับวิธีการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) รวมถึงตัวแปรภายนอก เช่น ดัชนีนโยบาย มูลค่าที่ดิน ใบอนุญาตก่อสร้าง เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
ในทางวิทยาศาสตร์ งานวิจัยนี้มีส่วนสนับสนุนการพัฒนา “การจำลองเมืองสมมุติ” (counterfactual urban modeling) ซึ่งช่วยฟื้นฟูเรื่องเล่านโยบายที่สูญหาย และประเมินผลกระทบที่เกิดจากการขาดความต่อเนื่อง
สุดท้าย การศึกษาแสดงให้เห็นว่า “โครงสร้างพื้นฐาน + ความเสมอภาคทางสังคม + ความต่อเนื่องทางสถาบัน” คือสูตรสำคัญในการสร้างความยืดหยุ่นและความยั่งยืนของเมือง