การเรียนต่อ Top U มอบประสบการณ์ล้ำค่า ทั้งด้านวิชาการ มุมมองใหม่ และการใช้ชีวิต แต่สำหรับหลายคน จุดประสงค์หลักคือ
"การหางาน" โดยเฉพาะเมื่อตั้งใจทำงานต่างประเทศ หลายคนเชื่อว่าจบ MBA จาก Top U จะมีรายได้เกินแสนดอลลาร์ต่อปี ซึ่งจริงสำหรับบางประเทศอย่างอเมริกาหรืออังกฤษ
ทว่าหากกลับมาทำงานที่ไทย
ความจริงคือส่วนใหญ่หางานยาก และมักต้องพึ่งพาคอนเนกชัน หรืออย่างน้อยต้องได้งานตั้งแต่ยังเรียน MBA อยู่
จากประสบการณ์ตรงของผม Top MBA แถวๆ New York ที่ได้ประเมินตัวเอง ผมอยากแชร์
"จุดอ่อน" ที่คิดว่าส่งผลต่อการหางาน เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกท่านครับ
1. สมัครงานแบบไร้ทิศทาง: หว่านไปทุกวงการโดยไม่โฟกัส
ผมสมัครแทบทุกสาย ทั้ง consulting, tech, finance, startup ฯลฯ ทำให้เตรียมตัวไม่ลึกพอในแต่ละสายงาน และพลาดโอกาสไปหลายครั้งเพราะขาดการโฟกัสและไม่เข้าใจลักษณะงานอย่างแท้จริง
2. ความสัมพันธ์กับศิษย์เก่า: สิ่งที่มองข้ามไม่ได้ ไม่ใช่ว่าคนเก่งทุกคนจะเป็นคนดี บางคนก็ดีกับคุณเพราะหวังประโยชน์
มีศิษย์เก่าบางท่านไม่สนับสนุนการไปเรียนต่อของผมตั้งแต่แรก หรือแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจ ผมเคยมีนัดสัมภาษณ์กับบริษัทข้ามชาติ แต่บางท่านกลับไม่มาตามนัดเลย นี่เป็นบทเรียนสำคัญเรื่อง
"Human Factor" ที่ไม่ควรมองข้าม หากมีปัญหากับศิษย์เก่าตั้งแต่ต้น เช่น โดนขัดแข้งขัดขา แนะนำให้รีบแก้ไข หรือหากมีทางเลือกอื่น ควรพิจารณาโรงเรียนอื่นไปเลย ถึงคุณภาพการสอนของ Top U จะเท่ากัน แต่เรื่องสังคมสำคัญกว่ามาก บางที่ในไทย Alumni เล็กๆแต่สนิทกัน ยังดีกว่าที่ๆใหญ่ๆแต่คนทำร้ายกัน
3. Internship ที่กินเวลาหางาน
ช่วงเรียน MBA ผมทำ Internship ควบคู่ไปหลายเดือน แม้จะได้ประสบการณ์ แต่ก็ทำให้ไม่มีเวลาเตรียมตัวหางานอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะช่วงที่บริษัทเปิดรับสมัครจริงจัง สุดท้ายผมพลาดรอบสัมภาษณ์สำคัญไปหลายแห่ง
4. ยึดติดกับ "แบรนด์มหาวิทยาลัย" มากเกินไป
หากคิดว่าแค่จบ Top 5 MBA ของโลกแล้วจะประสบความสำเร็จทันที
คุณคิดผิดครับ ส่วนใหญ่ผู้ที่ไปเรียนก็มีโปรไฟล์ดีอยู่แล้ว หรือได้ทุนเลยไปเพื่อต่อยอด หรือหาคู่ชีวิตที่มีโปรไฟล์ฐานะดี แต่ถ้าหวังแค่
"ขอแค่เรียนจบที่นี่ก็พอ" บอกเลยว่าไม่ใช่ บางครั้งแบรนด์มหาวิทยาลัยกลับกลายเป็นภาระได้ เช่น เวลาสัมภาษณ์งาน บางบริษัทเห็นโปรไฟล์ดีเกินไป กลับไม่กล้าเลือกเราเข้าทีม เพราะคิดว่าจะอยู่ไม่นาน หรือไม่เหมาะกับวัฒนธรรมองค์กร
5. เวลาคุณมีค่า
ตอนเรียน คุณควรคิดเผื่อไว้เสมอว่านี่คือเวลา 2 ปีที่เสียไป หากจบมาไม่ตรงตามเป้าหมาย คุณอาจเห็นคนรอบข้างก้าวหน้าไปมาก แต่ตัวเองยังอยู่ที่เดิม
ชีวิตเด็กทุนจะดีกว่า เพราะเหมือนไปเรียนฟรี ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ แต่ถ้าคุณลงทุนเองแล้วพลาด อาจรู้สึกผิดหวังและคิดว่าไม่คุ้มเลย บทเรียนหลายอย่างที่ได้รับ ก็ไม่ได้แตกต่างจากการเรียนคอร์สออนไลน์ Coursera ทั่วๆ ไปเลยครับ จริงๆแล้วมันเป็นความภูมิใจที่จับต้องยากมาก เพราะถ้าเทียบกับทำงานเดิมก่อนไปเรียน 2 ปี การงานผมน่าจะอยู่ในจุดที่ดีกว่าตอนนี้
6. ตอบแทนสังคมอย่างไรไม่ให้กลายเป็นจุดอ่อน (แถม)
หลายคนที่เรียนจบจาก Top U อยากตอบแทนสังคม เช่น ทำงานองค์กรอิสระไม่แสวงหากำไร เลือกรับเงินเดือนน้อยๆ เพื่อช่วยเหลือผู้คน หรือสร้างผลกระทบเชิงบวกให้สังคม ซึ่งเป็นเจตนาดีครับ
แต่สิ่งที่ผมอยากเตือนคือ — บางครั้งสิ่งเหล่านี้อาจกลายเป็น “จุดอ่อน” ที่ย้อนกลับมาทำร้ายเราได้โดยไม่รู้ตัว
บางองค์กรที่ดูดีจากภายนอก อาจมีวัฒนธรรมการทำงานที่ไม่เอื้อต่อการเติบโต เช่น เพื่อนร่วมงานที่ขาดความเป็นมืออาชีพ หัวหน้าที่ไม่ได้มีความตั้งใจเดียวกับเรา บางคนก็ล้อเล่นกับความตั้งใจของคุณ หรือระบบการเมืองภายในที่ล้าหลัง ซึ่งอาจดึงศักยภาพคุณให้ลดลงไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว
ที่สำคัญคือ หากวันหนึ่งอยากย้ายกลับมาทำงานภาคเอกชน HR บางแห่งอาจมองว่าเรา "ยอมรับเงินเดือนต่ำได้" และใช้จุดนั้นเป็นเครื่องมือต่อรองเงินเดือนเราต่อไป
อีกทั้งยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับงานสายสังคม เช่น มองว่าเรา “เปลี่ยนสาย” หรือ “ไม่จริงจังกับสายอาชีพหลัก” ซึ่งอาจกระทบโอกาสในอนาคตได้
แนะนำ: หากอยากตอบแทนสังคมจริงๆ ให้ทำในรูปแบบที่ไม่กระทบเส้นทางอาชีพ เช่น ทำโปรเจกต์อาสาในเวลาว่าง หรือเข้าร่วมกิจกรรม CSR ที่สอดคล้องกับทักษะที่อยากต่อยอด จะเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนกว่า
คิดว่าจบจาก Top U แล้วจะได้งานดี เงินเดือนสูง… แต่ความจริงคือกลับมาตั้งหลักใหม่หมด
ทว่าหากกลับมาทำงานที่ไทย ความจริงคือส่วนใหญ่หางานยาก และมักต้องพึ่งพาคอนเนกชัน หรืออย่างน้อยต้องได้งานตั้งแต่ยังเรียน MBA อยู่
จากประสบการณ์ตรงของผม Top MBA แถวๆ New York ที่ได้ประเมินตัวเอง ผมอยากแชร์ "จุดอ่อน" ที่คิดว่าส่งผลต่อการหางาน เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับทุกท่านครับ
1. สมัครงานแบบไร้ทิศทาง: หว่านไปทุกวงการโดยไม่โฟกัส
ผมสมัครแทบทุกสาย ทั้ง consulting, tech, finance, startup ฯลฯ ทำให้เตรียมตัวไม่ลึกพอในแต่ละสายงาน และพลาดโอกาสไปหลายครั้งเพราะขาดการโฟกัสและไม่เข้าใจลักษณะงานอย่างแท้จริง
2. ความสัมพันธ์กับศิษย์เก่า: สิ่งที่มองข้ามไม่ได้ ไม่ใช่ว่าคนเก่งทุกคนจะเป็นคนดี บางคนก็ดีกับคุณเพราะหวังประโยชน์
มีศิษย์เก่าบางท่านไม่สนับสนุนการไปเรียนต่อของผมตั้งแต่แรก หรือแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจ ผมเคยมีนัดสัมภาษณ์กับบริษัทข้ามชาติ แต่บางท่านกลับไม่มาตามนัดเลย นี่เป็นบทเรียนสำคัญเรื่อง "Human Factor" ที่ไม่ควรมองข้าม หากมีปัญหากับศิษย์เก่าตั้งแต่ต้น เช่น โดนขัดแข้งขัดขา แนะนำให้รีบแก้ไข หรือหากมีทางเลือกอื่น ควรพิจารณาโรงเรียนอื่นไปเลย ถึงคุณภาพการสอนของ Top U จะเท่ากัน แต่เรื่องสังคมสำคัญกว่ามาก บางที่ในไทย Alumni เล็กๆแต่สนิทกัน ยังดีกว่าที่ๆใหญ่ๆแต่คนทำร้ายกัน
3. Internship ที่กินเวลาหางาน
ช่วงเรียน MBA ผมทำ Internship ควบคู่ไปหลายเดือน แม้จะได้ประสบการณ์ แต่ก็ทำให้ไม่มีเวลาเตรียมตัวหางานอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะช่วงที่บริษัทเปิดรับสมัครจริงจัง สุดท้ายผมพลาดรอบสัมภาษณ์สำคัญไปหลายแห่ง
4. ยึดติดกับ "แบรนด์มหาวิทยาลัย" มากเกินไป
หากคิดว่าแค่จบ Top 5 MBA ของโลกแล้วจะประสบความสำเร็จทันที คุณคิดผิดครับ ส่วนใหญ่ผู้ที่ไปเรียนก็มีโปรไฟล์ดีอยู่แล้ว หรือได้ทุนเลยไปเพื่อต่อยอด หรือหาคู่ชีวิตที่มีโปรไฟล์ฐานะดี แต่ถ้าหวังแค่ "ขอแค่เรียนจบที่นี่ก็พอ" บอกเลยว่าไม่ใช่ บางครั้งแบรนด์มหาวิทยาลัยกลับกลายเป็นภาระได้ เช่น เวลาสัมภาษณ์งาน บางบริษัทเห็นโปรไฟล์ดีเกินไป กลับไม่กล้าเลือกเราเข้าทีม เพราะคิดว่าจะอยู่ไม่นาน หรือไม่เหมาะกับวัฒนธรรมองค์กร
5. เวลาคุณมีค่า
ตอนเรียน คุณควรคิดเผื่อไว้เสมอว่านี่คือเวลา 2 ปีที่เสียไป หากจบมาไม่ตรงตามเป้าหมาย คุณอาจเห็นคนรอบข้างก้าวหน้าไปมาก แต่ตัวเองยังอยู่ที่เดิม ชีวิตเด็กทุนจะดีกว่า เพราะเหมือนไปเรียนฟรี ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ แต่ถ้าคุณลงทุนเองแล้วพลาด อาจรู้สึกผิดหวังและคิดว่าไม่คุ้มเลย บทเรียนหลายอย่างที่ได้รับ ก็ไม่ได้แตกต่างจากการเรียนคอร์สออนไลน์ Coursera ทั่วๆ ไปเลยครับ จริงๆแล้วมันเป็นความภูมิใจที่จับต้องยากมาก เพราะถ้าเทียบกับทำงานเดิมก่อนไปเรียน 2 ปี การงานผมน่าจะอยู่ในจุดที่ดีกว่าตอนนี้
6. ตอบแทนสังคมอย่างไรไม่ให้กลายเป็นจุดอ่อน (แถม)
แต่สิ่งที่ผมอยากเตือนคือ — บางครั้งสิ่งเหล่านี้อาจกลายเป็น “จุดอ่อน” ที่ย้อนกลับมาทำร้ายเราได้โดยไม่รู้ตัว
อีกทั้งยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับงานสายสังคม เช่น มองว่าเรา “เปลี่ยนสาย” หรือ “ไม่จริงจังกับสายอาชีพหลัก” ซึ่งอาจกระทบโอกาสในอนาคตได้