ผม "วัยรุ่น AI" ครับ นักเขียนนิยายมือใหม่ที่เพิ่งปล่อยผลงานชิ้นแรก "เธอน่ะไม่ต้องเก่งกว่านี้" ออกสู่สายตาผู้อ่าน

นิยายเรื่องนี้จะพาไปรู้จัก "ภูมิ" ชายหนุ่มผู้แบกรับความคาดหวังจนพบ "ตะวัน" เซฟโซนหนึ่งเดียวในชีวิตแต่เมื่อความสุขถูกพรากไปภูมิก็ต้องหลงทางและเผชิญโลกที่ไม่เปิดใจ

ในฐานะมือใหม่ ยินดีรับทุกคำแนะนำติชม เพื่อพัฒนาฝีมือครับ

หวังว่าเรื่องราวของภูมิจะเข้าถึงใจ และเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังต่อสู้เพื่อเป็นตัวเองนะครับ

ฝาก "เธอน่ะไม่ต้องเก่งกว่านี้" ไว้ในอ้อมใจด้วยครับ!
วัยรุ่น AI

เรื่อง เธอน่ะไม่ต้องเก่งกว่านี้
"บางครั้ง...การยอมรับว่าเราไม่สมบูรณ์แบบ คือจุดเริ่มต้นของการเบ่งบานที่แท้จริง"
“ภูมิ” เด็กหนุ่มที่เคยเป็นความหวังของครอบครัว และภายนอกดูเป็นคนเก่งแบบไม่มีที่ติ
แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความเปราะบาง และความลับที่ไม่เคยกล้าบอกใคร
จนกระทั่งเขาได้พบกับ “ตะวัน” — ชายหนุ่มที่เป็นเหมือนเซฟโซนเดียวในชีวิต
ทว่า...เมื่อความสุขที่เพิ่งค้นพบถูกพรากไปในพริบตา
ภูมิก็ตกสู่ห้วงแห่งความมืด และเดินหลงทางในโลกที่เขาไม่เข้าใจ
การเยียวยาตัวเองในโลกที่ไม่เปิดใจต่อความต่าง จะเป็นไปได้ไหม?
หรือสุดท้าย… เขาจะไม่มีวันกลับมาเป็น “ตัวเอง” ได้อีกเลย?
ส่วนที่ 1: โลกที่กดดันและภูมิที่เปราะบาง
บทที่ 1: แสงไฟนีออนสีขาวจากจอคอมพิวเตอร์...
แสงไฟนีออนสีขาวจากจอคอมพิวเตอร์ส่องสะท้อนแว่นตาของภูมิ ดวงตาคู่นั้นยังคงจับจ้องไปที่กราฟ และตัวเลขบนหน้าจออย่างไม่ลดละ เสียงแป้นพิมพ์ดังรัวเป็นจังหวะ บอกเล่าถึงความมุ่งมั่นและประสิทธิภาพในการทำงานของเขา สองชั่วโมงที่ผ่านมา ภูมิยังคงนั่งอยู่หน้าจอหลังจากที่พนักงานคนอื่น ๆ ในแผนกส่วนใหญ่กลับบ้านไปหมดแล้ว เหลือเพียงเขาและแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างบานใหญ่ของตึกสูงระฟ้า "ภูมิ... เสร็จแล้วเหรอ?" เสียงทุ้มของพี่หัวหน้าดังขึ้นจากด้านหลัง ภูมิสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปยิ้มตอบและพยักหน้า "ครับพี่ เสร็จเรียบร้อยแล้วครับ"
ภูมิเดินออกจากออฟฟิศในเวลาสามทุ่มกว่า ๆ ทิ้งตัวลงในรถยนต์คันหรูที่จอดรออยู่ คอนโดที่พักอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานมากนัก ในเวลาไม่ถึงสิบห้านาทีเขาก็ขับรถมาถึงชั้นจอดรถส่วนตัว ภูมิโยนกระเป๋าทำงานลงบนโซฟาตัวยาว ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง ราวกับน้ำหนักของทุกความคาดหวังที่แบกรับมาตลอดทั้งวันถาโถมเข้าใส่ กำแพงที่เขาสร้างขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งตลอดหลายชั่วโมงพังทลายลงในเสี้ยววินาที มือเรียวยกขึ้นนวดขมับเบา ๆ ก่อนจะเลื่อนไปปลดเนกไทให้หลุดจากคอ เสื้อเชิ้ตสีขาวที่เคยเนี้ยบยับยู่ยี่ตามแรงบีบของความเหนื่อยล้า ที่กัดกินทั้งร่างกายและจิตใจอย่างเงียบงัน
เขาเดินเข้าห้องน้ำ เปิดฝักบัว ปล่อยให้น้ำเย็นกระทบผิวกาย ทุกหยดน้ำที่ไหลผ่านราวกับชะล้างความรู้สึกผิดหวังที่สั่งสมมาตลอดทั้งวันให้ไหลลงท่อไป แต่กลับไม่สามารถล้างความว่างเปล่าที่กัดกินอยู่ข้างในได้ น้ำตาอุ่นร้อนก็ไหลปะปนไปกับหยดน้ำใส ไหลลงมาอย่างเงียบเชียบ ปราศจากเสียงสะอื้นใด ๆ ทว่าหยดน้ำตาเหล่านั้นไม่ใช่เพียงความอ่อนแอชั่วคราว หากแต่เป็นคลื่นของความเจ็บปวดที่ซัดสาดเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับจะบอกให้รู้ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยาวนานที่เขาจะต้องเผชิญหน้ากับมัน ภูมิรู้ดี ว่าความอ่อนแอเช่นนี้ ไม่สามารถให้ใครเห็นได้เลย และเขาไม่รู้เลยว่าต้อง 'ใช้เวลา' อีกนานเท่าไหร่กัน กว่าน้ำตาเหล่านี้จะแห้งเหือดไปจนหมดสิ้น และเขาสามารถกลับมาหายใจได้อย่างเต็มปอดอีกครั้ง
เขานั่งลงบนพื้นห้องน้ำ กอดเข่าแน่นราวกับต้องการปกป้องตัวเองจากโลกที่โหดร้าย "ทำไมกันนะ..." เสียงพึมพำแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากลำคอ เขาเก่ง เขาฉลาด เขาทำได้ทุกอย่างที่ใคร ๆ คาดหวัง แต่ทำไม... ยิ่งพยายามมากเท่าไร ยิ่ง 'ใช้เวลา' ไปกับการเป็นคนที่คนอื่นต้องการมากเท่าไร กำแพงที่สร้างขึ้นมากลับยิ่งหนาขึ้นเรื่อย ๆ จนเขามองไม่เห็นทางออก
บทที่ 2: เช้าวันอาทิตย์ที่ควรจะเป็นวันพักผ่อน...
เช้าวันอาทิตย์ที่ควรจะเป็นวันพักผ่อน กลับกลายเป็นวันรวมญาติที่ตลบอบอวลไปด้วยคำถามที่คุ้นเคย "ภูมิ เมื่อไหร่จะมีแฟนสักทีลูก?" เสียงแม่ถามขึ้นระหว่างมื้อเช้า "เพื่อน ๆ วัยเดียวกันเขามีคู่กันหมดแล้วนะ" พ่อเสริมขึ้นพลางตักกับข้าวให้ ภูมิได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ พลางรับคำ "ครับแม่ เดี๋ยวผมดู ๆ อยู่ครับ" คำพูดที่ไม่ได้มาจากใจจริงนั้นทำให้ความรู้สึกผิดหน่วงขึ้นมาในอกอย่างหนักอึ้ง เขารู้ดีว่าความคาดหวังเหล่านั้นมาจากความรัก แต่เป็นความรักที่มาพร้อมกับกรอบที่บีบรัด จนเขาแทบหายใจไม่ออก และไม่สามารถหลุดพ้นไปได้เลย
พ่อกับแม่ไม่เคยรู้เลยว่าข้างในเขานั้นกำลังต่อสู้กับอะไร การที่ต้อง 'ใช้เวลา' ทั้งชีวิตเพื่อพยายามเป็น 'ลูกชายที่สมบูรณ์แบบ' ในสายตาของทุกคนนั้น มันช่างเหนื่อยล้าและว่างเปล่าเพียงใด ที่ผ่านมา ภูมิพยายามอย่างหนักที่จะกลบฝังความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ภายใน เขา 'ใช้เวลา' ไปกับการพยายามเดทกับผู้หญิงหลายคน พยายามหลอกตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่า 'นี่แหละคือสิ่งที่ถูกต้อง' 'นี่แหละคือทางที่สังคมยอมรับ' แต่ทุกครั้งมันก็จบลงด้วยความว่างเปล่า และความรู้สึกผิดที่เขามอบให้กับผู้หญิงเหล่านั้น
ความจริงที่ว่าภูมิไม่ได้ชอบผู้หญิง เป็นความลับที่เขาเก็บซ่อนมาตั้งแต่เด็ก ความกลัวที่จะถูกมองว่าเป็นตัวประหลาด ความกลัวที่จะทำให้พ่อแม่ผิดหวัง มันฝังรากลึกอยู่ในใจ เขาเคยได้ยินข่าวลือในที่ฝึกงานเก่า มีรุ่นพี่คนหนึ่งที่ถูกพูดถึงลับหลังเรื่องรสนิยมทางเพศ ทุกคำพูดที่ได้ยินล้วนเป็นพิษ เป็นการตัดสินที่รุนแรง และเป็นเหมือนภาพสะท้อนว่าหากเขากล้าเปิดเผยตัวตน เขาจะต้องเจออะไรบ้าง โลกภายนอกมันโหดร้ายเกินไปสำหรับเขา… และภูมิก็ไม่รู้เลยว่าต้อง 'ใช้เวลา' อีกนานแค่ไหนกว่าโลกใบนี้จะกว้างพอสำหรับความแตกต่าง
ส่วนที่ 2: แสงสว่างและความหวัง: เซฟโซนที่แสนสั้น
บทที่ 3: ความกดดันจากการฝึกงานและคำคาดหวังจากครอบครัว...
ความกดดันจากการฝึกงานและคำคาดหวังจากครอบครัวบีบรัดภูมิจนแทบหายใจไม่ออก ทุกวันเขารู้สึกเหมือนกำลังจมดิ่งลงไปในทะเลที่มืดมิดอย่างไร้จุดหมาย คืนหนึ่งหลังจากกลับจากงานเลี้ยงรุ่นที่เต็มไปด้วยคำถามเรื่อง 'เมื่อไหร่จะมีแฟน' ภูมิก็ทรุดตัวลงบนเตียง ร่างกายและจิตใจอ่อนล้าจนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง น้ำตาอุ่นร้อนไหลรินออกมาอีกครั้ง ราวกับว่าเขาใช้เวลามามากพอแล้วกับการพยายามเป็นคนอื่น แต่ก็ยังไม่เจอที่ของตัวเอง โลกใบนี้ดูเหมือนจะไม่มีที่ให้เขาได้เป็นตัวเองเลย
ภูมิไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัดสินใจได้อย่างไร แค่ในไม่กี่นาทีเขาก็เปิดแอปฯ จองตั๋วแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง ราวกับว่าต้องการหลีกหนีจากทุกสิ่งทุกอย่างให้ไกลที่สุด เพื่อขอ 'เวลา' ให้ตัวเองได้พักหายใจในโลกที่เขาไม่ต้องสวมหน้ากาก จุดหมายปลายทางคือเทศกาลดนตรีกลางแจ้งที่เขาเคยฝันอยากไปสักครั้งในชีวิต
เสียงเพลงอินดี้ที่ลอยมาตามลมในงานเทศกาลดนตรีกลางแจ้งทำให้ภูมิรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย ความตึงเครียดที่เกาะกินร่างกายค่อยๆ คลายลงทีละน้อย ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและรสนิยมต่างมารวมตัวกันที่นี่ ทุกคนดูเป็นอิสระและมีความสุข ในแบบที่ภูมิไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตประจำวันของเขา ภูมิเดินเตร็ดเตร่ไปตามร้านค้าเล็ก ๆ ที่วางขายเครื่องประดับทำมือ และนั่นคือครั้งแรกที่ ตะวัน ก้าวเข้ามาในชีวิตของภูมิ ตะวันไม่เหมือนใครที่ภูมิเคยรู้จัก เขามีออร่าของความร่าเริงและมองโลกในแง่ดีอย่างเหลือเชื่อ ทุกคำพูดของตะวันเต็มไปด้วยพลังบวก ทำให้ภูมิรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด ราวกับได้หายใจเต็มปอดเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ตะวันไม่ได้ถามว่าภูมิทำงานอะไร หรือมาจากไหน เขาแค่คุยเรื่องสร้อยข้อมือ สีสันที่สดใส และความฝันเล็ก ๆ ของตัวเองที่อยากจะทำให้คนรอบข้างมีความสุข ภูมิรู้สึกเหมือนได้ปลดเปลื้องภาระบางอย่างลง เมื่อเขาพบว่าตะวันมอบ 'เวลา' และ 'พื้นที่' ที่เขาไม่ต้องพยายาม ตลอดบทสนทนา ตะวันไม่เคยตัดสินเขาเลยแม้แต่น้อย
รอยยิ้มของตะวันช่างอบอุ่นและจริงใจจนภูมิเผลอยิ้มตอบไปโดยไม่รู้ตัว มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อใคร ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความคาดหวังของใคร แต่มันมาจากความรู้สึกสบายใจอย่างแท้จริง เป็นรอยยิ้มที่ภูมิไม่เคยคิดว่าจะได้กลับคืนมาหลังจาก 'ใช้เวลา' อยู่กับความมืดมิดมานานแสนนาน นับตั้งแต่วันนั้น ตะวันก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของภูมิอย่างรวดเร็ว ความสัมพันธ์ของพวกเขาเติบโตขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ทุกครั้งที่อยู่กับตะวัน ภูมิรู้สึกเหมือนกำแพงในใจที่เคยสูงใหญ่กำลังค่อย ๆ พังทลายลง ไม่ใช่ในพริบตา แต่เป็นทีละอิฐ ทีละก้อนที่หลุดออกไปอย่างช้า ๆ ในช่วง 'เวลา' ที่ตะวันอยู่เคียงข้าง ตะวันไม่ได้พยายามเปลี่ยนแปลงภูมิ เขาแค่ยอมรับภูมิในแบบที่ภูมิเป็น และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเยียวยาอย่างแท้จริง
บทที่ 4: ค่ำคืนหนึ่งในห้องคอนโดของภูมิ...
ค่ำคืนหนึ่งในห้องคอนโดของภูมิ แสงไฟสลัว ๆ ส่องกระทบภาพเงาของคนสองคนที่กำลังนั่งคุยกันอย่างเปิดอก ภูมิถอนหายใจเฮือกใหญ่ ราวกับปลดปล่อยลมหายใจที่อัดอั้นมานานหลายปี ก่อนจะค่อย ๆ เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ตะวันฟัง ตั้งแต่ความคาดหวังของครอบครัวที่เขาต้องแบกรับ ความพยายามที่จะเป็นคนที่สมบูรณ์แบบในสายตาคนอื่น ไปจนถึงความสับสนในตัวตนทางเพศของตัวเองที่เขาไม่เคยกล้าบอกใคร ความลับที่เขา 'ใช้เวลา' เก็บงำไว้ภายในมาตลอดชีวิต ตะวันนั่งฟังอย่างเงียบ ๆ ไม่มีคำพูดใด ๆ มีเพียงสายตาที่เต็มไปด้วยความเข้าใจและไม่ตัดสิน ทุกนาทีที่ภูมิเล่า ตะวันใช้เวลาฟังอย่างตั้งใจ ราวกับให้พื้นที่และ 'เวลา' แก่ภูมิได้อย่างเต็มที่ที่สุด เมื่อภูมิเล่าจบ เขาก้มหน้าลง รู้สึกเหมือนน้ำหนักหลายตันถูกยกออกจากบ่า ความโล่งใจเข้าแทนที่ความกดดันอย่างฉับพลัน แต่ก็ยังมีความกลัวเกาะกุมอยู่ กลัวว่าตะวันจะเปลี่ยนไป กลัวว่าตะวันจะรับไม่ได้ เพราะเขาไม่เคยรู้ว่าคนอื่นจะ 'ใช้เวลา' นานแค่ไหนกว่าจะทำความเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของเขาได้
ตะวันไม่พูดอะไร เขาค่อย ๆ ขยับตัวเข้ามาใกล้ ช้า ๆ แล้วดึงร่างของภูมิเข้ามากอดไว้แน่น อ้อมกอดนั้นไม่ใช่แค่การปลอบประโลม แต่เป็นเหมือนคำตอบที่ภูมิเฝ้ารอมาตลอดชีวิต เป็นเครื่องยืนยันว่าเขาได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง กลิ่นหอมจาง ๆ ของตะวันโอบล้อมภูมิไว้ราวกับผ้าห่มผืนหนาที่แสนอบอุ่น ภูมิซบหน้าลงกับไหล่ของตะวัน ปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาอีกครั้ง แต่น้ำตาในครั้งนี้ไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจ หากเป็นน้ำตาแห่งความโล่งใจที่ได้ 'ใช้เวลา' ค้นพบเซฟโซนที่แท้จริงของตัวเอง
จากนั้น เสียงฮัมเพลงแผ่วเบาก็ลอยเข้ามากระทบข้างหูของภูมิ มันเป็นท่วงทำนองที่คุ้นเคย ราวกับบทเพลงที่ถูกแต่งขึ้นเพื่อปลอบโยนหัวใจที่เหนื่อยล้า เนื้อเพลงไม่ได้ถูกเอื้อนเอ่ยออกมา แต่ความหมายที่ตะวันส่งผ่านบทเพลงนั้นกลับชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดใดๆ: เธอไม่ต้องเก่งกว่านี้... ฉันก็รักเธออยู่ดี... เธอไม่จำเป็นต้องเป็นแบบที่ใครคาดหวัง... เสียงฮัมเพลงนั้นเป็นดั่งสายลมที่พัดพาความกลัวและความโดดเดี่ยวออกไปจากใจของภูมิ เหลือไว้เพียงความรู้สึกปลอดภัยและความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ความรู้สึกที่ภูมิไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน ไม่ว่าเขาจะ 'ใช้เวลา' พยายามมากเท่าไหร่ก็ตาม คืนนั้น ภูมิรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ หลังจาก 'ใช้เวลา' อยู่ในความมืดมิดและสับสนมานานแสนนาน ตะวันคือเซฟโซนที่แท้จริงของเขา เป็นพื้นที่เดียวที่เขาไม่ต้องสวมหน้ากาก ไม่ต้องพิสูจน์ตัวเอง ไม่ต้องเก่งไปกว่านี้ ภูมิรู้แล้วว่าการได้รักและถูกรักในแบบที่ตัวเองเป็นนั้นมันวิเศษเพียงใด เขามีความสุขที่สุดในชีวิต และมั่นใจว่านี่คือจุดเริ่มต้นของบทใหม่ที่สดใส บทที่เขาจะ 'ใช้เวลา' เพื่อเป็นตัวเองอย่างแท้จริง


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่