มรดกแห่งความเงียบ
ลึกลงไปในห้วงอวกาศอันมืดมิด ไกลโพ้นจากกาแล็กซีทางช้างเผือก มีอารยธรรมหนึ่งนามว่า 'ซีลีเนียร์' ผู้ปกครองด้วยปรัชญาอันเยือกเย็นและอำนาจเบ็ดเสร็จ ซีลีเนียร์ไม่ได้ใช้กองยานรบพุ่งเข้าทำลายล้างดาวเคราะห์ที่พวกเขาหมายตา หากแต่ใช้วิธีที่ซับซ้อนและไร้เสียงคร่ำครวญยิ่งกว่า นั่นคือ 'มรดกแห่งความเงียบ'
ดาวเคราะห์ดวงใหม่ล่าสุดที่ถูกผนวกรวมเข้าสู่อาณาจักรอันกว้างใหญ่ของซีลีเนียร์คือ "ไกรอา" โลกสีครามเขียวขจีที่ประดับประดาด้วยมหาสมุทรระยิบระยับและผืนป่าทึบ สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาบนไกรอาคล้ายมนุษย์โลก แต่มีผิวสีเปลือกไม้และดวงตาสีอำพันที่สะท้อนความอยากรู้อยากเห็น ซีลีเนียร์ไม่ได้ส่งกองทัพบุกจู่โจม แต่ส่ง 'สถาปนิกแห่งความสงบ' ลงมาพร้อมข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้
"พวกเราไม่ได้มาเพื่อทำลาย" เสียงสังเคราะห์ที่ไร้อารมณ์ของสถาปนิกซีลีเนียร์ดังก้องไปทั่วไกรอาเมื่อยานขนาดยักษ์จอดลงเหนือเมืองหลวง "พวกเรามาเพื่อมอบสันติภาพที่แท้จริง มอบความเป็นอมตะแก่อารยธรรมของพวกเจ้า... เพียงแค่พวกเจ้าหยุดสร้างชีวิตใหม่"
กฎใหม่ถูกประกาศใช้โดยปราศจากความรุนแรงทางกายภาพใดๆ: "ห้ามให้กำเนิดบุตร" กฎนี้ใช้กับสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาทุกตัวบนไกรอา ตั้งแต่วินาทีที่ซีลีเนียร์เข้ามาปกครอง ไม่มีข้อแม้ ไม่มีข้อยกเว้น สถาปนิกซีลีเนียร์ได้สร้าง 'หอคอยแห่งการสังเกตการณ์' ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าขึ้นทั่วโลก ทุกชีวิตถูกบันทึกและติดตามอย่างใกล้ชิด การละเมิดกฎหมายข้อเดียวนี้... มีบทลงโทษเพียงอย่างเดียวคือ การประหารชีวิตทันที
แต่การประหารชีวิตของซีลีเนียร์นั้นแตกต่างออกไป พวกเขาไม่ได้ใช้เลเซอร์ยิง ไม่ได้แขวนคอ แต่ใช้ 'การลบเลือน' บุคคลที่ฝ่าฝืนกฎจะถูกใช้เทคโนโลยี"ลบเลือน" และจากนั้น... พวกเขาก็จะหายไป ไม่มีใครเห็นอีก ไม่มีซากศพ ไม่มีแม้แต่ความทรงจำที่ชัดเจนในใจของคนใกล้ชิด เหลือไว้เพียงความว่างเปล่าที่ค่อยๆ กัดกิน
ประชาชนบนไกรอากรีดร้องและประท้วงในช่วงแรก แต่ไม่มีการตอบโต้ด้วยกำลัง ซีลีเนียร์เพียงแค่เฝ้ามอง และรอคอย ใครก็ตามที่แสดงเจตนาจะขัดขืน หรือพยายามซ่อนการตั้งครรภ์ ก็จะถูก "ลบเลือน" ไปพร้อมกับผู้เป็นที่รัก แรงกดดันจากความหวาดกลัวที่มองไม่เห็น ทำให้เสียงต่อต้านค่อยๆ แผ่วลง
ปีแล้วปีเล่าผ่านไป ไกรอาสงบเงียบลง ความคับแค้นใจถูกซ่อนอยู่ใต้รอยยิ้มที่ฝืนทน ไม่มีเสียงหัวเราะสดใสของเด็กๆ ไม่มีเสียงฝีเท้าเล็กๆ วิ่งเล่นในทุ่งหญ้าอีกต่อไป โรงเรียนถูกปิดลง ห้องสำหรับเด็กอ่อนกลายเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งความทรงจำที่แสนเศร้าใจ ร้านของเล่นร้างรา ผู้สูงอายุมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่คนหนุ่มสาวค่อยๆ ลดน้อยลง
เวลา คืออาวุธที่น่ากลัวที่สุดของซีลีเนียร์ พวกเขาไม่จำเป็นต้องเสียทรัพยากรไปกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่ปล่อยให้ธรรมชาติและวัฏจักรชีวิตทำหน้าที่ของมันเอง ประชากรบนไกรอาลดลงอย่างต่อเนื่อง รุ่นสู่รุ่นค่อยๆ หายไปในความเงียบงัน ความสัมพันธ์กลายเป็นสิ่งเปราะบาง เพราะทุกคนรู้ดีว่าในไม่ช้า คนรัก เพื่อน หรือครอบครัว ก็จะต้องจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
บนยานแม่ของซีลีเนียร์ สถาปนิกแห่งความสงบนั่งเฝ้าดูข้อมูลประชากรของไกรอาที่ลดลงอย่างสม่ำเสมอ กราฟเส้นสีฟ้าค่อยๆ ดิ่งลงสู่ศูนย์ ดวงตาที่ไร้อารมณ์ของพวกเขามองเห็นมันเป็นเพียงความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่การทำลายล้างชีวิต
เมื่อประชากรสุดท้ายของไกรอาจากไปพร้อมกับความชรา ดาวดวงนี้ก็จะกลายเป็นเพียงแหล่งทรัพยากรที่บริสุทธิ์ ไร้ซึ่งเสียงก่นด่าหรือการต่อต้าน มรดกแห่งความเงียบของซีลีเนียร์จะคงอยู่ตลอดไป เป็นพยานว่าการกำจัดชีวิตที่ซับซ้อนที่สุดนั้นไม่จำเป็นต้องใช้กำลัง แต่ใช้เพียง การหยุดยั้งอนาคต และปล่อยให้ เวลาทำหน้าที่เป็นเพชฌฆาต ในท้ายที่สุด
เงาของซีลีเนียร์บนโลก
ข่าวลือเริ่มแพร่สะพัดในเงามืดของอินเทอร์เน็ต เสียงกระซิบจากนักวิทยาศาสตร์ผู้สิ้นหวัง... ดาวเทียมบางดวงหายไปจากวงโคจรโดยไม่มีคำอธิบาย ภาพถ่ายจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศที่เคยแสดงถึงความมีชีวิตชีวาของดาวเคราะห์ไกลโพ้นหลายดวง บัดนี้กลับมืดมิด ไร้สัญญาณใดๆ ราวกับถูกลบเลือนไปจากจักรวาล
แล้ววันนั้นก็มาถึง...
มันไม่ได้มาพร้อมกับสงคราม ไม่มีการระเบิด หรือการยิงต่อสู้ ไม่มีแม้แต่เสียงคำรามของยานอวกาศขนาดมหึมาที่บดบังแสงอาทิตย์ ยานของอารยธรรมซีลีเนียร์ปรากฏขึ้นเหนือชั้นบรรยากาศโลกอย่างเงียบเชียบ ราวกับภาพลวงตาที่จางหายไปในพริบตาเมื่อพยายามจับจ้องมอง
การสื่อสารครั้งแรกมาในรูปแบบของคลื่นความถี่ที่แทรกซึมเข้าไปในทุกระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์มือถือ หรือแม้แต่จอคอมพิวเตอร์ ภาพที่ปรากฏคือสัญลักษณ์เรขาคณิตที่สลับซับซ้อน เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ พร้อมกับเสียงสังเคราะห์ที่ไร้อารมณ์ แต่แฝงด้วยความเด็ดขาดที่สะกดให้ทุกคนต้องหยุดนิ่ง
"สิ่งมีชีวิตบนโลก ไกรอาได้ถูกผนวกรวมเข้าสู่สันติภาพอันสมบูรณ์แบบแล้ว ถึงเวลาสำหรับพวกเจ้าที่จะได้รับมรดกแห่งความสงบเช่นกัน กฎหนึ่งเดียวจะปกครองพวกเจ้าจากนี้ไป..."
เสียงนั้นหยุดลงชั่วขณะ โลกทั้งใบกลั้นหายใจรอฟัง
"...ห้ามให้กำเนิดบุตร"
คำพูดสั้นๆ เพียงไม่กี่คำนี้ ดังก้องไปทั่วทุกมุมโลก กฎหมายใหม่ของซีลีเนียร์ถูกประกาศใช้ทันที พร้อมบทลงโทษที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้: 'การลบเลือน' หากใครฝ่าฝืน พวกเขาจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีซากศพ ไม่มีแม้แต่เงาในความทรงจำของคนใกล้ชิด เหลือไว้เพียงความว่างเปล่าที่ค่อยๆ กัดกินจิตวิญญาณ
แรกเริ่ม โลกอยู่ในภาวะโกลาหล มีทั้งความไม่เชื่อ การปฏิเสธ และการประท้วงจากรัฐบาลและประชาชนทั่วทุกมุมโลก กองทัพของมหาอำนาจพยายามตอบโต้ แต่พลังของซีลีเนียร์นั้นเหนือกว่าจินตนาการ พวกเขาสามารถทำให้ระบบอาวุธล้มเหลว สร้างกำแพงพลังงานที่มองไม่เห็น หรือแม้แต่ "ลบเลือน" บุคลากรสำคัญที่พยายามต่อต้านไปในพริบตาโดยไม่ทิ้งร่องรอย
เมื่อความรุนแรงไม่เป็นผล ความกลัวจึงเข้าครอบงำ ค่อยๆ กัดกินความหวัง เสียงประท้วงค่อยๆ เงียบลง โลกที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและเสียงร้องไห้ของทารกกลับกลายเป็นดินแดนแห่งความเงียบสงัด
ปีแล้วปีเล่าผ่านไป...
โรงเรียนค่อยๆ ปิดตัวลงทีละแห่ง เพราะไม่มีเด็กนักเรียนรุ่นใหม่เข้ามาอีกแล้ว สวนสนุกร้างรา เครื่องเล่นหยุดนิ่งสนิท สนามเด็กเล่นกลายเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความเศร้า ร้านขายของเล่นกลายเป็นเพียงพิพิธภัณฑ์แห่งอดีตที่ไม่มีวันหวนคืน ผู้คนเดินไปมาด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ แม้จะยังมีชีวิตอยู่ แต่ดูเหมือนจิตวิญญาณได้ตายไปแล้ว
มรดกแห่งความเงียบของซีลีเนียร์กำลังทำงานอย่างช้าๆ แต่แน่นอน เวลาคืออาวุธที่พวกเขาเลือกใช้เพื่อกำจัดเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ อนาคตของโลกถูกตัดขาด และความหวังทั้งหมดของมนุษยชาติกำลังจะค่อยๆ จางหายไปในความมืดมิดของอวกาศ ทิ้งไว้เพียงความเงียบงัน... ตลอดไป.
---
ราชินีเซราฟี: สถาปนิกแห่งการสูญพันธุ์อันเงียบงัน
ในใจกลางของอาณาจักรอันกว้างใหญ่และเยือกเย็นของซีลีเนียร์ คือที่ประทับของ **ราชินีเซราฟี** ประมุขผู้ปกครองด้วยปัญญาอันลึกล้ำและความเด็ดขาดที่ไร้ซึ่งอารมณ์ เธอไม่ใช่ผู้นำที่กระหายเลือด แต่เป็นผู้ที่มองเห็น "ความสงบ" ที่แท้จริงในการลบเลือนความหลากหลายทางชีวภาพที่สับสนวุ่นวายของจักรวาล
ราชินีเซราฟีไม่ได้สั่งการให้กองทัพซีลีเนียร์ทำลายล้างด้วยไฟสงคราม แต่เธอเป็นผู้ริเริ่มปรัชญา **"มรดกแห่งความเงียบ"** ซึ่งเป็นหลักการหลักในการขยายอาณาจักรของซีลีเนียร์ เธอมองว่าความวุ่นวายของการเกิดและการตายที่ไร้การควบคุมในเผ่าพันธุ์พื้นเมืองต่างๆ นั้น เป็นอุปสรรคต่อความสมบูรณ์แบบที่เธอแสวงหา
ภายใต้การนำของราชินีเซราฟี กองยานซีลีเนียร์ได้เข้ายึดครองดาวเคราะห์นับไม่ถ้วน ไม่มีการสาดกระสุน ไม่มีการระเบิดที่สร้างความเสียหายแก่พื้นผิวโลก สิ่งที่พวกเขาทำคือการส่ง 'สถาปนิกแห่งความสงบ' ลงไปประกาศกฎหมายเพียงข้อเดียว: "ห้ามให้กำเนิดบุตร"
ดาวเคราะห์แล้วดาวเคราะห์เล่า เผ่าพันธุ์แล้วเผ่าพันธุ์เล่าที่เคยรุ่งเรืองกลับต้องเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่มองไม่เห็น ผู้ที่ไม่เชื่อฟังจะถูก "ลบเลือน" ไปในความว่างเปล่าอย่างไร้ร่องรอย ราชินีเซราฟีไม่จำเป็นต้องใช้กำลังในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่เธอใช้ **เวลา** ให้ทำหน้าที่เป็นเพชฌฆาต ปล่อยให้รุ่นสู่รุ่นค่อยๆ จางหายไปในความเงียบงัน ไม่มีเสียงหัวเราะของเด็ก ไม่มีอนาคตที่จะสืบต่อ
บนยานแม่ของซีลีเนียร์ ราชินีเซราฟีนั่งมองภาพจำลองของดาวเคราะห์ที่ถูกผนวกรวมเข้าสู่อาณาจักรของเธอ กราฟประชากรของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาบนดาวเหล่านั้นค่อยๆ ดิ่งลงสู่ศูนย์อย่างช้าๆ ด้วยใบหน้าที่สงบนิ่งและดวงตาที่สะท้อนถึงความว่างเปล่า เธอไม่ได้รู้สึกถึงความเห็นอกเห็นใจหรือความรู้สึกผิดใดๆ
สำหรับราชินีเซราฟี นี่คือ "ความสงบ" ที่แท้จริง คือการนำจักรวาลไปสู่ระเบียบที่ไร้ซึ่งความวุ่นวายของการเกิดใหม่และการสิ้นสุดอันไร้จุดหมาย เผ่าพันธุ์พื้นเมืองเหล่านั้นไม่ได้ถูกฆ่า แต่ถูกทำให้ "จางหายไป" อย่างเงียบเชียบ เหลือทิ้งไว้เพียงดาวเคราะห์ที่บริสุทธิ์พร้อมสำหรับวัตถุประสงค์ของซีลีเนียร์
ราชินีเซราฟีคือสถาปนิกแห่งการสูญพันธุ์ เธอคือผู้ที่เข้าใจว่าการควบคุมชะตากรรมของชีวิตนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ดาบ แต่ใช้เพียง **คำสั่งที่ห้ามการดำรงอยู่ของอนาคต** และปล่อยให้ **กาลเวลา** ทำหน้าที่เป็นพยานของการลบเลือนอันเงียบงัน.
อารยธรรมต่างดาวที่ยึดครองดาวต่างๆและออกกฎให้มนุษย์บนดาวนั้นหยุดมีลูก
ลึกลงไปในห้วงอวกาศอันมืดมิด ไกลโพ้นจากกาแล็กซีทางช้างเผือก มีอารยธรรมหนึ่งนามว่า 'ซีลีเนียร์' ผู้ปกครองด้วยปรัชญาอันเยือกเย็นและอำนาจเบ็ดเสร็จ ซีลีเนียร์ไม่ได้ใช้กองยานรบพุ่งเข้าทำลายล้างดาวเคราะห์ที่พวกเขาหมายตา หากแต่ใช้วิธีที่ซับซ้อนและไร้เสียงคร่ำครวญยิ่งกว่า นั่นคือ 'มรดกแห่งความเงียบ'
ดาวเคราะห์ดวงใหม่ล่าสุดที่ถูกผนวกรวมเข้าสู่อาณาจักรอันกว้างใหญ่ของซีลีเนียร์คือ "ไกรอา" โลกสีครามเขียวขจีที่ประดับประดาด้วยมหาสมุทรระยิบระยับและผืนป่าทึบ สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาบนไกรอาคล้ายมนุษย์โลก แต่มีผิวสีเปลือกไม้และดวงตาสีอำพันที่สะท้อนความอยากรู้อยากเห็น ซีลีเนียร์ไม่ได้ส่งกองทัพบุกจู่โจม แต่ส่ง 'สถาปนิกแห่งความสงบ' ลงมาพร้อมข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้
"พวกเราไม่ได้มาเพื่อทำลาย" เสียงสังเคราะห์ที่ไร้อารมณ์ของสถาปนิกซีลีเนียร์ดังก้องไปทั่วไกรอาเมื่อยานขนาดยักษ์จอดลงเหนือเมืองหลวง "พวกเรามาเพื่อมอบสันติภาพที่แท้จริง มอบความเป็นอมตะแก่อารยธรรมของพวกเจ้า... เพียงแค่พวกเจ้าหยุดสร้างชีวิตใหม่"
กฎใหม่ถูกประกาศใช้โดยปราศจากความรุนแรงทางกายภาพใดๆ: "ห้ามให้กำเนิดบุตร" กฎนี้ใช้กับสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาทุกตัวบนไกรอา ตั้งแต่วินาทีที่ซีลีเนียร์เข้ามาปกครอง ไม่มีข้อแม้ ไม่มีข้อยกเว้น สถาปนิกซีลีเนียร์ได้สร้าง 'หอคอยแห่งการสังเกตการณ์' ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าขึ้นทั่วโลก ทุกชีวิตถูกบันทึกและติดตามอย่างใกล้ชิด การละเมิดกฎหมายข้อเดียวนี้... มีบทลงโทษเพียงอย่างเดียวคือ การประหารชีวิตทันที
แต่การประหารชีวิตของซีลีเนียร์นั้นแตกต่างออกไป พวกเขาไม่ได้ใช้เลเซอร์ยิง ไม่ได้แขวนคอ แต่ใช้ 'การลบเลือน' บุคคลที่ฝ่าฝืนกฎจะถูกใช้เทคโนโลยี"ลบเลือน" และจากนั้น... พวกเขาก็จะหายไป ไม่มีใครเห็นอีก ไม่มีซากศพ ไม่มีแม้แต่ความทรงจำที่ชัดเจนในใจของคนใกล้ชิด เหลือไว้เพียงความว่างเปล่าที่ค่อยๆ กัดกิน
ประชาชนบนไกรอากรีดร้องและประท้วงในช่วงแรก แต่ไม่มีการตอบโต้ด้วยกำลัง ซีลีเนียร์เพียงแค่เฝ้ามอง และรอคอย ใครก็ตามที่แสดงเจตนาจะขัดขืน หรือพยายามซ่อนการตั้งครรภ์ ก็จะถูก "ลบเลือน" ไปพร้อมกับผู้เป็นที่รัก แรงกดดันจากความหวาดกลัวที่มองไม่เห็น ทำให้เสียงต่อต้านค่อยๆ แผ่วลง
ปีแล้วปีเล่าผ่านไป ไกรอาสงบเงียบลง ความคับแค้นใจถูกซ่อนอยู่ใต้รอยยิ้มที่ฝืนทน ไม่มีเสียงหัวเราะสดใสของเด็กๆ ไม่มีเสียงฝีเท้าเล็กๆ วิ่งเล่นในทุ่งหญ้าอีกต่อไป โรงเรียนถูกปิดลง ห้องสำหรับเด็กอ่อนกลายเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งความทรงจำที่แสนเศร้าใจ ร้านของเล่นร้างรา ผู้สูงอายุมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่คนหนุ่มสาวค่อยๆ ลดน้อยลง
เวลา คืออาวุธที่น่ากลัวที่สุดของซีลีเนียร์ พวกเขาไม่จำเป็นต้องเสียทรัพยากรไปกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่ปล่อยให้ธรรมชาติและวัฏจักรชีวิตทำหน้าที่ของมันเอง ประชากรบนไกรอาลดลงอย่างต่อเนื่อง รุ่นสู่รุ่นค่อยๆ หายไปในความเงียบงัน ความสัมพันธ์กลายเป็นสิ่งเปราะบาง เพราะทุกคนรู้ดีว่าในไม่ช้า คนรัก เพื่อน หรือครอบครัว ก็จะต้องจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
บนยานแม่ของซีลีเนียร์ สถาปนิกแห่งความสงบนั่งเฝ้าดูข้อมูลประชากรของไกรอาที่ลดลงอย่างสม่ำเสมอ กราฟเส้นสีฟ้าค่อยๆ ดิ่งลงสู่ศูนย์ ดวงตาที่ไร้อารมณ์ของพวกเขามองเห็นมันเป็นเพียงความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่การทำลายล้างชีวิต
เมื่อประชากรสุดท้ายของไกรอาจากไปพร้อมกับความชรา ดาวดวงนี้ก็จะกลายเป็นเพียงแหล่งทรัพยากรที่บริสุทธิ์ ไร้ซึ่งเสียงก่นด่าหรือการต่อต้าน มรดกแห่งความเงียบของซีลีเนียร์จะคงอยู่ตลอดไป เป็นพยานว่าการกำจัดชีวิตที่ซับซ้อนที่สุดนั้นไม่จำเป็นต้องใช้กำลัง แต่ใช้เพียง การหยุดยั้งอนาคต และปล่อยให้ เวลาทำหน้าที่เป็นเพชฌฆาต ในท้ายที่สุด
เงาของซีลีเนียร์บนโลก
ข่าวลือเริ่มแพร่สะพัดในเงามืดของอินเทอร์เน็ต เสียงกระซิบจากนักวิทยาศาสตร์ผู้สิ้นหวัง... ดาวเทียมบางดวงหายไปจากวงโคจรโดยไม่มีคำอธิบาย ภาพถ่ายจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศที่เคยแสดงถึงความมีชีวิตชีวาของดาวเคราะห์ไกลโพ้นหลายดวง บัดนี้กลับมืดมิด ไร้สัญญาณใดๆ ราวกับถูกลบเลือนไปจากจักรวาล
แล้ววันนั้นก็มาถึง...
มันไม่ได้มาพร้อมกับสงคราม ไม่มีการระเบิด หรือการยิงต่อสู้ ไม่มีแม้แต่เสียงคำรามของยานอวกาศขนาดมหึมาที่บดบังแสงอาทิตย์ ยานของอารยธรรมซีลีเนียร์ปรากฏขึ้นเหนือชั้นบรรยากาศโลกอย่างเงียบเชียบ ราวกับภาพลวงตาที่จางหายไปในพริบตาเมื่อพยายามจับจ้องมอง
การสื่อสารครั้งแรกมาในรูปแบบของคลื่นความถี่ที่แทรกซึมเข้าไปในทุกระบบอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์มือถือ หรือแม้แต่จอคอมพิวเตอร์ ภาพที่ปรากฏคือสัญลักษณ์เรขาคณิตที่สลับซับซ้อน เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ พร้อมกับเสียงสังเคราะห์ที่ไร้อารมณ์ แต่แฝงด้วยความเด็ดขาดที่สะกดให้ทุกคนต้องหยุดนิ่ง
"สิ่งมีชีวิตบนโลก ไกรอาได้ถูกผนวกรวมเข้าสู่สันติภาพอันสมบูรณ์แบบแล้ว ถึงเวลาสำหรับพวกเจ้าที่จะได้รับมรดกแห่งความสงบเช่นกัน กฎหนึ่งเดียวจะปกครองพวกเจ้าจากนี้ไป..."
เสียงนั้นหยุดลงชั่วขณะ โลกทั้งใบกลั้นหายใจรอฟัง
"...ห้ามให้กำเนิดบุตร"
คำพูดสั้นๆ เพียงไม่กี่คำนี้ ดังก้องไปทั่วทุกมุมโลก กฎหมายใหม่ของซีลีเนียร์ถูกประกาศใช้ทันที พร้อมบทลงโทษที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้: 'การลบเลือน' หากใครฝ่าฝืน พวกเขาจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีซากศพ ไม่มีแม้แต่เงาในความทรงจำของคนใกล้ชิด เหลือไว้เพียงความว่างเปล่าที่ค่อยๆ กัดกินจิตวิญญาณ
แรกเริ่ม โลกอยู่ในภาวะโกลาหล มีทั้งความไม่เชื่อ การปฏิเสธ และการประท้วงจากรัฐบาลและประชาชนทั่วทุกมุมโลก กองทัพของมหาอำนาจพยายามตอบโต้ แต่พลังของซีลีเนียร์นั้นเหนือกว่าจินตนาการ พวกเขาสามารถทำให้ระบบอาวุธล้มเหลว สร้างกำแพงพลังงานที่มองไม่เห็น หรือแม้แต่ "ลบเลือน" บุคลากรสำคัญที่พยายามต่อต้านไปในพริบตาโดยไม่ทิ้งร่องรอย
เมื่อความรุนแรงไม่เป็นผล ความกลัวจึงเข้าครอบงำ ค่อยๆ กัดกินความหวัง เสียงประท้วงค่อยๆ เงียบลง โลกที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและเสียงร้องไห้ของทารกกลับกลายเป็นดินแดนแห่งความเงียบสงัด
ปีแล้วปีเล่าผ่านไป...
โรงเรียนค่อยๆ ปิดตัวลงทีละแห่ง เพราะไม่มีเด็กนักเรียนรุ่นใหม่เข้ามาอีกแล้ว สวนสนุกร้างรา เครื่องเล่นหยุดนิ่งสนิท สนามเด็กเล่นกลายเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความเศร้า ร้านขายของเล่นกลายเป็นเพียงพิพิธภัณฑ์แห่งอดีตที่ไม่มีวันหวนคืน ผู้คนเดินไปมาด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ แม้จะยังมีชีวิตอยู่ แต่ดูเหมือนจิตวิญญาณได้ตายไปแล้ว
มรดกแห่งความเงียบของซีลีเนียร์กำลังทำงานอย่างช้าๆ แต่แน่นอน เวลาคืออาวุธที่พวกเขาเลือกใช้เพื่อกำจัดเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ อนาคตของโลกถูกตัดขาด และความหวังทั้งหมดของมนุษยชาติกำลังจะค่อยๆ จางหายไปในความมืดมิดของอวกาศ ทิ้งไว้เพียงความเงียบงัน... ตลอดไป.
---
ราชินีเซราฟี: สถาปนิกแห่งการสูญพันธุ์อันเงียบงัน
ในใจกลางของอาณาจักรอันกว้างใหญ่และเยือกเย็นของซีลีเนียร์ คือที่ประทับของ **ราชินีเซราฟี** ประมุขผู้ปกครองด้วยปัญญาอันลึกล้ำและความเด็ดขาดที่ไร้ซึ่งอารมณ์ เธอไม่ใช่ผู้นำที่กระหายเลือด แต่เป็นผู้ที่มองเห็น "ความสงบ" ที่แท้จริงในการลบเลือนความหลากหลายทางชีวภาพที่สับสนวุ่นวายของจักรวาล
ราชินีเซราฟีไม่ได้สั่งการให้กองทัพซีลีเนียร์ทำลายล้างด้วยไฟสงคราม แต่เธอเป็นผู้ริเริ่มปรัชญา **"มรดกแห่งความเงียบ"** ซึ่งเป็นหลักการหลักในการขยายอาณาจักรของซีลีเนียร์ เธอมองว่าความวุ่นวายของการเกิดและการตายที่ไร้การควบคุมในเผ่าพันธุ์พื้นเมืองต่างๆ นั้น เป็นอุปสรรคต่อความสมบูรณ์แบบที่เธอแสวงหา
ภายใต้การนำของราชินีเซราฟี กองยานซีลีเนียร์ได้เข้ายึดครองดาวเคราะห์นับไม่ถ้วน ไม่มีการสาดกระสุน ไม่มีการระเบิดที่สร้างความเสียหายแก่พื้นผิวโลก สิ่งที่พวกเขาทำคือการส่ง 'สถาปนิกแห่งความสงบ' ลงไปประกาศกฎหมายเพียงข้อเดียว: "ห้ามให้กำเนิดบุตร"
ดาวเคราะห์แล้วดาวเคราะห์เล่า เผ่าพันธุ์แล้วเผ่าพันธุ์เล่าที่เคยรุ่งเรืองกลับต้องเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่มองไม่เห็น ผู้ที่ไม่เชื่อฟังจะถูก "ลบเลือน" ไปในความว่างเปล่าอย่างไร้ร่องรอย ราชินีเซราฟีไม่จำเป็นต้องใช้กำลังในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่เธอใช้ **เวลา** ให้ทำหน้าที่เป็นเพชฌฆาต ปล่อยให้รุ่นสู่รุ่นค่อยๆ จางหายไปในความเงียบงัน ไม่มีเสียงหัวเราะของเด็ก ไม่มีอนาคตที่จะสืบต่อ
บนยานแม่ของซีลีเนียร์ ราชินีเซราฟีนั่งมองภาพจำลองของดาวเคราะห์ที่ถูกผนวกรวมเข้าสู่อาณาจักรของเธอ กราฟประชากรของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาบนดาวเหล่านั้นค่อยๆ ดิ่งลงสู่ศูนย์อย่างช้าๆ ด้วยใบหน้าที่สงบนิ่งและดวงตาที่สะท้อนถึงความว่างเปล่า เธอไม่ได้รู้สึกถึงความเห็นอกเห็นใจหรือความรู้สึกผิดใดๆ
สำหรับราชินีเซราฟี นี่คือ "ความสงบ" ที่แท้จริง คือการนำจักรวาลไปสู่ระเบียบที่ไร้ซึ่งความวุ่นวายของการเกิดใหม่และการสิ้นสุดอันไร้จุดหมาย เผ่าพันธุ์พื้นเมืองเหล่านั้นไม่ได้ถูกฆ่า แต่ถูกทำให้ "จางหายไป" อย่างเงียบเชียบ เหลือทิ้งไว้เพียงดาวเคราะห์ที่บริสุทธิ์พร้อมสำหรับวัตถุประสงค์ของซีลีเนียร์
ราชินีเซราฟีคือสถาปนิกแห่งการสูญพันธุ์ เธอคือผู้ที่เข้าใจว่าการควบคุมชะตากรรมของชีวิตนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ดาบ แต่ใช้เพียง **คำสั่งที่ห้ามการดำรงอยู่ของอนาคต** และปล่อยให้ **กาลเวลา** ทำหน้าที่เป็นพยานของการลบเลือนอันเงียบงัน.