จงคิดอย่างแยบคาย
ใช้ชีวิตอย่างแยบยล
เป็นคนอย่างยอดเยี่ยม
ชีวิตที่ดีควรเป็นชีวิตที่มีกำไรทุกวัน เมื่อใดที่รู้ตัวว่าทำงานอย่างไม่มีความสุข นั่นหมายถึง เราเริ่มขาดทุนชีวิต แต่คงไม่มีใครหรอกที่ทำงานแล้วมีความสุขทุกวัน
บางวันก็เป็นวันแห่งความทุกข์ บางวันก็อาจจะเป็นวันมหาวินาศได้ เมื่อในโลกแห่งความเป็นจริง เราไม่อาจเลือกบรรยากาศของการทำงานให้มีความสุขได้ทุกวัน ไม่สามารถเปลี่ยนเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานให้ถูกใจเราได้ หรือแม้แต่จะเปลี่ยนงานก็ยากเหลือเกิน
เพราะฉะนั้น เราควรหันมาเปลี่ยนตัวเราเองดีที่สุด
เมื่อครั้งพุทธกาล มีชายคนหนึ่งชื่อ นายบาป ทำมาหากินอะไรก็ไม่ค่อยรุ่ง จึงมาหาอาจารย์ท่านหนึ่ง
“อาจารย์ครับ ผมอยากเปลี่ยนชื่อครับ เพราะชื่อผมฟังแล้วมันแสลงใจ ชื่อบาป ทำอะไรก็บาป เวลาคนด่ากันก็ด่าว่า คนบาป หรือพวกบาปหนา ผมจึงรู้สึกว่าอะไรที่บาป ๆ ก็มาลงที่ตัวผมหมด”
อาจารย์ได้ยินดังนั้น ก็ไม่ได้ห้ามปรามใดๆ เพียงแต่บอกว่า “เธอไปสรรหาชื่อที่ไพเราะที่สุดมาสัก 10 ชื่อก่อน แล้วอาจารย์จะเปลี่ยนชื่อให้เธอ”
นายบาปเดินทางไปทั่วเมืองและมาเจอกับขบวนแห่ศพชาวอินเดีย มีการนำร่างผู้เสียชีวิตวางบนแคร่ แล้วใช้ชาย 4 คนแห่ไปทั่วเมือง นายบาปก็ตรงเข้าไปถามญาติ ผู้เสียชีวิตว่า “คนที่ตายชื่ออะไร”
ญาติก็บอกว่า “อ๋อ....ชื่อบุญรอด อายุ 7 ขวบ”
นายบาปคิดในใจ “โอ้โห! คนชื่อบุญรอด แต่ทำไมตายตั้งแต่ยังเด็ก"
ระหว่างที่เดินผ่านตรอกซอกซอยไปจนถึงใจกลางเมือง เขาไปเจอผู้หญิงกำลังถูกเหล่านักเลงรุมซ้อม นายบาปก็เข้าไปถามว่า “คนที่ถูกซ้อมชื่ออะไรครับ ทำไมจึงถูกซ้อม นักเลงตอบว่า “อ๋อ... ชื่อทรัพย์เจริญ”ชื่อก็เป็นมงคล แปลว่า รุ่งเรืองไปด้วยทรัพย์สมบัติ น่าจะมีเงินทอง จึงถามนักเลงต่อว่า “ทำไมถึงถูกซ้อม
“อ๋อ ก็กู้หนี้ยืมสินพวกเราแล้วชักดาบ ก็ต้องให้บทเรียนอย่างนี้” นักเลงหันมาตอบ นายบาปเดินต่อไปแล้วก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากชายคนหนึ่ง เขารีบตามไปจนได้เห็นร่างชายที่กำลังจมลงในบ่อโคลนดูด แทนที่เขาจะรีบเข้าช่วย กลับถามชายคนนั้นว่า “พี่ครับ พี่ชื่ออะไร ทำไมจึงมาโดนโคลนดูดอยู่ที่นี่"
ชายหนุ่มพูดพลางตะเกียกตะกายหนีตายจากโคลน“ผมชื่อมัคคุเทศก์ ผมเดินหลงทาง จนมาถูกโคลนดูดตรงนี้ มัคคุเทศก์ แปลว่า ผู้ชี้ทาง แต่กลับหลงทางเสียเองสร้างความรู้สึกสลดหดหู่ใจและผิดหวังให้นายบาปอย่างมาก แต่นั่นเองที่ทำให้เขาเริ่มบรรลุสัจธรรมทีละน้อย
นายบาปเดินทางกลับไปหาอาจารย์และยืนยันอย่างหนักแน่นว่า “อาจารย์ครับ ผมไม่เปลี่ยนชื่อแล้วครับ เพราะผมรู้แล้วว่า คนชื่อบุญรอดตายตั้งแต่ยังเด็ก คนชื่อทรัพย์เจริญกลับถูกซ้อมเพราะไม่มีเงินจ่ายหนี้ ส่วนคนชื่อมัคคุเทศก์ก็เดินหลงทางจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ฉะนั้น ผมยินดีใช้ชื่อนายบาปเหมือนเดิมครับ”
เขาเดินทางกลับไปดำเนินชีวิตโดยใช้ชื่อเดิมและประสบความสำเร็จเจริญรุ่งเรืองในที่สุด เห็นหรือไม่ว่า ความพยายามเปลี่ยนแปลงปัจจัยภายนอกนั้นไม่ได้ทำให้คนเรามีความสุขขึ้นมาได้ หากการเปลี่ยนแปลงภายในใจมากกว่าที่จะช่วยให้คนเราพ้นจากความทุกข์
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “จิตเตน นียติ โลโก” แปลว่า“โลกหมุนไปเพราะความคิด” กล่าวคือ คนเราคิดอย่างไรก็จะดำเนินชีวิตคล้อยตามความคิดนั้น ความคิดจึงไม่ต่างอะไรจาก “หางเสือ” ในการดำเนินชีวิต เพราะฉะนั้น หากอยากเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้เปลี่ยนแปลงความคิดตัวเองเสียก่อน
ดังนั้น หากเราอยากเปลี่ยนการทำงานให้มันรื่นรมย์ แต่เราเชิญเจ้านายออกไม่ได้หรือจะลาออกเองก็ไม่ได้ มีทางเดียวเท่านั้น คือเปลี่ยนวิธีคิด ซึ่งวิธีคิดก็มี 2 วิธี คือคิดบวก และ คิดลบ
สมมติว่าเจองานหนัก หากคิดลบ เราก็จะโทษวิบากกรรม “เวรกรรม! คนในออฟฟิศเป็นสิบ ทำไมเจ้านายไม่เลือก มาเลือกฉันทำไม” คิดเสียอย่างนี้ งานที่หนักก็ยิ่งหนักหนาสาหัสสากรรจ์ และสร้างความทุกข์ใจให้คนทำงาน หากเลือก “คิดบวก” งานหนักจะกลายเป็นโอกาสเตรียมความพร้อมสู่การเป็นมืออาชีพทันที คิดอย่างนี้ทำให้เรายินดีทำเต็มที่ เพราะงานหนักจะช่วยพัฒนาเราให้เป็นมืออาชีพมากขึ้น
ชีวิตที่ไม่ขาดทุน โดย ว.วชิรเมธี
จงคิดอย่างแยบคาย
ใช้ชีวิตอย่างแยบยล
เป็นคนอย่างยอดเยี่ยม
ชีวิตที่ดีควรเป็นชีวิตที่มีกำไรทุกวัน เมื่อใดที่รู้ตัวว่าทำงานอย่างไม่มีความสุข นั่นหมายถึง เราเริ่มขาดทุนชีวิต แต่คงไม่มีใครหรอกที่ทำงานแล้วมีความสุขทุกวัน
บางวันก็เป็นวันแห่งความทุกข์ บางวันก็อาจจะเป็นวันมหาวินาศได้ เมื่อในโลกแห่งความเป็นจริง เราไม่อาจเลือกบรรยากาศของการทำงานให้มีความสุขได้ทุกวัน ไม่สามารถเปลี่ยนเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานให้ถูกใจเราได้ หรือแม้แต่จะเปลี่ยนงานก็ยากเหลือเกิน
เพราะฉะนั้น เราควรหันมาเปลี่ยนตัวเราเองดีที่สุด
เมื่อครั้งพุทธกาล มีชายคนหนึ่งชื่อ นายบาป ทำมาหากินอะไรก็ไม่ค่อยรุ่ง จึงมาหาอาจารย์ท่านหนึ่ง
“อาจารย์ครับ ผมอยากเปลี่ยนชื่อครับ เพราะชื่อผมฟังแล้วมันแสลงใจ ชื่อบาป ทำอะไรก็บาป เวลาคนด่ากันก็ด่าว่า คนบาป หรือพวกบาปหนา ผมจึงรู้สึกว่าอะไรที่บาป ๆ ก็มาลงที่ตัวผมหมด”
อาจารย์ได้ยินดังนั้น ก็ไม่ได้ห้ามปรามใดๆ เพียงแต่บอกว่า “เธอไปสรรหาชื่อที่ไพเราะที่สุดมาสัก 10 ชื่อก่อน แล้วอาจารย์จะเปลี่ยนชื่อให้เธอ”
นายบาปเดินทางไปทั่วเมืองและมาเจอกับขบวนแห่ศพชาวอินเดีย มีการนำร่างผู้เสียชีวิตวางบนแคร่ แล้วใช้ชาย 4 คนแห่ไปทั่วเมือง นายบาปก็ตรงเข้าไปถามญาติ ผู้เสียชีวิตว่า “คนที่ตายชื่ออะไร”
ญาติก็บอกว่า “อ๋อ....ชื่อบุญรอด อายุ 7 ขวบ”
นายบาปคิดในใจ “โอ้โห! คนชื่อบุญรอด แต่ทำไมตายตั้งแต่ยังเด็ก"
ระหว่างที่เดินผ่านตรอกซอกซอยไปจนถึงใจกลางเมือง เขาไปเจอผู้หญิงกำลังถูกเหล่านักเลงรุมซ้อม นายบาปก็เข้าไปถามว่า “คนที่ถูกซ้อมชื่ออะไรครับ ทำไมจึงถูกซ้อม นักเลงตอบว่า “อ๋อ... ชื่อทรัพย์เจริญ”ชื่อก็เป็นมงคล แปลว่า รุ่งเรืองไปด้วยทรัพย์สมบัติ น่าจะมีเงินทอง จึงถามนักเลงต่อว่า “ทำไมถึงถูกซ้อม
“อ๋อ ก็กู้หนี้ยืมสินพวกเราแล้วชักดาบ ก็ต้องให้บทเรียนอย่างนี้” นักเลงหันมาตอบ นายบาปเดินต่อไปแล้วก็ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากชายคนหนึ่ง เขารีบตามไปจนได้เห็นร่างชายที่กำลังจมลงในบ่อโคลนดูด แทนที่เขาจะรีบเข้าช่วย กลับถามชายคนนั้นว่า “พี่ครับ พี่ชื่ออะไร ทำไมจึงมาโดนโคลนดูดอยู่ที่นี่"
ชายหนุ่มพูดพลางตะเกียกตะกายหนีตายจากโคลน“ผมชื่อมัคคุเทศก์ ผมเดินหลงทาง จนมาถูกโคลนดูดตรงนี้ มัคคุเทศก์ แปลว่า ผู้ชี้ทาง แต่กลับหลงทางเสียเองสร้างความรู้สึกสลดหดหู่ใจและผิดหวังให้นายบาปอย่างมาก แต่นั่นเองที่ทำให้เขาเริ่มบรรลุสัจธรรมทีละน้อย
นายบาปเดินทางกลับไปหาอาจารย์และยืนยันอย่างหนักแน่นว่า “อาจารย์ครับ ผมไม่เปลี่ยนชื่อแล้วครับ เพราะผมรู้แล้วว่า คนชื่อบุญรอดตายตั้งแต่ยังเด็ก คนชื่อทรัพย์เจริญกลับถูกซ้อมเพราะไม่มีเงินจ่ายหนี้ ส่วนคนชื่อมัคคุเทศก์ก็เดินหลงทางจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ฉะนั้น ผมยินดีใช้ชื่อนายบาปเหมือนเดิมครับ”
เขาเดินทางกลับไปดำเนินชีวิตโดยใช้ชื่อเดิมและประสบความสำเร็จเจริญรุ่งเรืองในที่สุด เห็นหรือไม่ว่า ความพยายามเปลี่ยนแปลงปัจจัยภายนอกนั้นไม่ได้ทำให้คนเรามีความสุขขึ้นมาได้ หากการเปลี่ยนแปลงภายในใจมากกว่าที่จะช่วยให้คนเราพ้นจากความทุกข์
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “จิตเตน นียติ โลโก” แปลว่า“โลกหมุนไปเพราะความคิด” กล่าวคือ คนเราคิดอย่างไรก็จะดำเนินชีวิตคล้อยตามความคิดนั้น ความคิดจึงไม่ต่างอะไรจาก “หางเสือ” ในการดำเนินชีวิต เพราะฉะนั้น หากอยากเปลี่ยนแปลงชีวิต ให้เปลี่ยนแปลงความคิดตัวเองเสียก่อน
ดังนั้น หากเราอยากเปลี่ยนการทำงานให้มันรื่นรมย์ แต่เราเชิญเจ้านายออกไม่ได้หรือจะลาออกเองก็ไม่ได้ มีทางเดียวเท่านั้น คือเปลี่ยนวิธีคิด ซึ่งวิธีคิดก็มี 2 วิธี คือคิดบวก และ คิดลบ
สมมติว่าเจองานหนัก หากคิดลบ เราก็จะโทษวิบากกรรม “เวรกรรม! คนในออฟฟิศเป็นสิบ ทำไมเจ้านายไม่เลือก มาเลือกฉันทำไม” คิดเสียอย่างนี้ งานที่หนักก็ยิ่งหนักหนาสาหัสสากรรจ์ และสร้างความทุกข์ใจให้คนทำงาน หากเลือก “คิดบวก” งานหนักจะกลายเป็นโอกาสเตรียมความพร้อมสู่การเป็นมืออาชีพทันที คิดอย่างนี้ทำให้เรายินดีทำเต็มที่ เพราะงานหนักจะช่วยพัฒนาเราให้เป็นมืออาชีพมากขึ้น