ไมเคิ่ล นิวแมน สถาปนิกหนุ่มที่มีภรรยาและลูกชายลูกสาว ครอบครัวของเขาดูสมบูรณ์แบบและอบอุ่นในแบบชนชั้นกลางทั่วๆไป
แต่ไมเคิ่ลอยากให้ครอบครัวของเขาดีกว่านั้น เขาพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อหวังให้คนข้างหลังได้กินดีอยู่ดี
มีทุกอย่างเท่าที่เขาจะสามารถให้ได้ วันวันนึงชีวิตของไมเคิ่ลหมดไปกับงานซะเป็นส่วนใหญ่จนทำให้ไม่มีเวลาให้กับครอบครัวเหมือนเก่า
กระทั่งวันนึง.. ไมเคิ่ลไปห้างสรรพสินค้า.. เขาได้พบกับชายปริศนาที่เรียกตัวเองว่ามอร์ตี้..
ชายผู้นี้ได้มอบรีโมตพิเศษให้กับเขา รีโมตที่กดเพียงแค่คลิกเดียวเท่านั้น ก็ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีกเลย
Click เป็นภาพยนตร์ตลกดราม่าแฟนตาซีอเมริกัน กำกับโดย Frank Coraci เขียนบทโดย Steve Koren และ Mark O'Keefe
แสดงนำโดย Adam Sandler ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสร้างร่วมของหนังเรื่องนี้ด้วย
เรื่องราวของหัวหน้าครอบครัวที่ทำงานหนัก และได้รับรีโมตวิเศษที่ทำให้เขาสามารถควบคุมชีวิตให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก "The Magic Thread" 1 ในนิทานพื้นบ้าน
ที่รวมอยู่ใน The Book of Virtues: A Treasury of Great Moral Stories ของ William Bennett
ใช้งบประมาณสร้าง 82.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และทำรายได้ทั่วโลก 240.7 ล้านเหรียญสหรัฐ
ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งเชิงบวกและลบ (แต่กับในบ้านเรา ได้รับคำชมอย่างมาก)
และที่สำคัญนี่คือหนังเรื่องแรกและเรื่องเดียวที่แซนด์เลอร์เป็นผู้ผลิต ที่ได้เข้าชิงสุดยอดรางวัลอย่างออสการ์
ในสาขาแต่งหน้ายอดเยี่ยม แม้ว่าสุดท้ายจะเสียรางวัลให้กับ Pan's Labyrinth ก็ตาม
หนังเก่าที่ยังอยู่ในความทรงจำของหลายๆท่าน หลายคนยกให้เรื่อง Click เป็นหนังที่ดีที่สุดของแซนด์เลอร์เลยก็ว่าได้
ในเรื่องของความประทับใจกับเนื้อหาที่นำเอาความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวมาเล่าเรื่องผ่านเครื่องมือวิเศษ
ที่พระเอกของเราได้มาจากชายปริศนาที่ทำให้ความปรารถนาของไมเคิ่ลเป็นความจริง
นั่นก็คือการจัดการชีวิตที่ยุ่งยากของเขาให้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
คนที่ต้องทำงานหาเงินเข้าบ้าน มีครอบครัวต้องดูแลรับผิดชอบ ในสังคมปัจจุบันก็เป็นแบบนี้
ทำงาน ทำงาน ทำงาน รับสายเจ้านายโทรมา จะช่วงเวลาไหนก็ต้องพร้อมเสมอ แม้ว่าจะเข้าด้ายเข้าเข็มหรืออย่างไรก็ตามที
จนทำให้เหมือนกับว่าเราละเลยจากครอบครัว จากคนที่ตนรัก แต่จะทำยังได้ล่ะ ก็คนต้องทำงานนี่นา
ถ้าไม่ทำงาน จะเอาเงินที่ไหนมาดูแลทุกคนในบ้านได้ล่ะ นี่คืออีก 1 คำถามที่เป็นปัญหาโลกแตก มันยากจะที่จะหาจุดลงตัวได้
จนพระเอกเรามาได้ของวิเศษเป็นรีโมตที่เมื่อกดคลิกไปแล้ว มันจะช่วยจัดการเวลาต่างๆได้ดีขึ้น
ทั้งเร่งเวลาให้เดินหน้า ย้อนหลังไปดูความทรงจำ นั่นคือสิ่งที่ตอบโจทย์ไมเคิ่ลเป็นอย่างมาก
เพราะมันทำให้เขาไปถึงเป้าหมายทุกอย่างได้รวดเร็วทันใจ แม้ว่าระหว่างทางในทุกรายละเอียด
เขาจะไม่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในชีวิตเลยก็ตามที
เหมือนคนที่มองแต่ข้างหน้าโดยไม่สนใจรอบข้าง เป้าหมายของเขาพุ่งทะยานไปสู่ความสำเร็จเพียงอย่างเดียว
โดยไม่สนใจใครเลย แม้ว่าจะเป็นคนที่ข้างกายที่รักเขาก็ตาม .. และสุดท้ายแม้ว่าเขาจะไปถึงฝั่งฝันนั้นได้
แต่กลายเป็นว่าชายหนุ่มก็ต้องสูญเสียสิ่งรอบกายทุกอย่างไป โดยไม่อาจหวนกลับย้อนคืน..
ถึงวันนั้นรีโมตวิเศษก็ช่วยอะไรไมเคิ่ลไม่ได้อีกต่อไป..
แซนด์เลอร์ บวกกับฝีมือกำกับของ Frank Coraci ที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่ The Wedding Singer ในปี 1998
หนังจึงเน้นความฮาอย่างที่เราคุ้นเคยเช่นเดิม มุกใต้สะดือ สัปดน แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร พอให้ได้อมยิ้มกันออกมาเป็นระยะ
ซึ่งนั่นคือช่วงครึ่งแรกของหนัง และหลังจากนั้นจะเข้าสู่ความดราม่า กับผลกระทบที่ตัวเอกต้องได้รับจากการใช้รีโมตวิเศษที่ตนเองมี
ถึงแม้นักวิจารณ์หนังตะวันตกจะมองว่าหนังเรื่องนี้ไม่ค่อยมีอะไรให้จับต้องได้นักมากไปกว่าหนังตลกบ๊องๆ เรื่องนึงที่แซนด์เลอร์นำแสดง
ทว่ากับคอหนังชาวไทย ผมมั่นใจว่าแทบทุกคนที่ได้รับชมต้องมีน้ำตาซึมกันบ้างล่ะ
เพราะหนังจับเอาประเด็นความผูกพันของคนในครอบครัวมาบอกเล่าได้อย่างดีมาก (คนในฝั่งโลกจะตะวันออกจะอินมากกว่า)
และมันทัชใจสุดๆ ที่คนสมัยนี้มักจะหลงลืมคนข้างกาย ไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรจะทำ
จนเมื่อเวลามันสายเกินไป..เราย้อนเวลากลับไปแก้ไขไม่ได้อีกแล้ว
ผมดูหนังเรื่องนี้สมัยที่ทำงานใหม่ๆ ช่วงที่ไฟยังแรงสุดๆ ผมทำงานแบบไม่ลืมหูลืมตา
คือสนุกกับงานนะ มากจนไม่ได้มีเวลาให้กับที่บ้าน ครอบครัวเลยสักนิด วันคืนเหล่านั้นมันผ่านไปไวมาก และหายไปอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งวันนึงเมื่อผมมีสติ หยุดคิด และมองย้อนกลับไป เงินทองที่เราหามาได้ เราไม่สามารถซื้อเวลาที่ผ่านมาคืนได้เลย
พ่อแม่แก่ตัวลงไปทุกวัน.. จริงอยู่ที่เงินที่ได้ก็เพื่อหามาดูแลพวกท่าน แต่แน่ใจแล้วหรือว่า นี่คือสิ่งที่เราต้องการจริงๆ...
เราแทบไม่ได้มีเวลาคุยกันเลย ผมให้เวลากับงานไปหมด ระยะห่างบางอย่างก่อตัวขึ้นในช่วงเวลานั้น
การงานผมก้าวหน้า แต่เวลากับคนข้างกายผมกลับไม่มี.. จนกระทั่งเมื่อผมดูหนังเรื่องนี้มันทำให้ผมคิด
ว่าเราต้องจัดการตัวเองใหม่ แบ่งเวลาให้ถูก เราจะแบกทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวไม่ได้
ผมไม่มีรีโมทวิเศษ ชีวิตนี้ไม่มีปาฏิหาริย์เหมือนในหนัง มันคือความเป็นจริง
Click จึงมากกว่าหนังตลกเบาสมอง มันคือภาพยนตร์ที่ทำให้ผู้ชมได้ตระหนักถึงการให้เวลากับคนรัก คนรอบข้าง
และคอยสอนให้เราได้รู้ว่าเวลาเป็นสิ่งที่มีค่ามากแค่ไหน ทุกอย่างผ่านไปรวดเร็วดุจสายน้ำไหล
ดังนั้นขอให้เราอยู่กับทุกวินาทีอย่างมีค่าที่สุดนะครับ ทำทุกเวลาให้ดีจะได้ไม่มีอะไรให้ติดค้างหรือเสียใจ
เพราะในชีวิตจริง เราคงไม่มีโอกาสที่สองเหมือนในหนังแน่นอน
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== Click (2006) รีโมต.. เร่งเวลา.. ==
ไมเคิ่ล นิวแมน สถาปนิกหนุ่มที่มีภรรยาและลูกชายลูกสาว ครอบครัวของเขาดูสมบูรณ์แบบและอบอุ่นในแบบชนชั้นกลางทั่วๆไป
แต่ไมเคิ่ลอยากให้ครอบครัวของเขาดีกว่านั้น เขาพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อหวังให้คนข้างหลังได้กินดีอยู่ดี
มีทุกอย่างเท่าที่เขาจะสามารถให้ได้ วันวันนึงชีวิตของไมเคิ่ลหมดไปกับงานซะเป็นส่วนใหญ่จนทำให้ไม่มีเวลาให้กับครอบครัวเหมือนเก่า
กระทั่งวันนึง.. ไมเคิ่ลไปห้างสรรพสินค้า.. เขาได้พบกับชายปริศนาที่เรียกตัวเองว่ามอร์ตี้..
ชายผู้นี้ได้มอบรีโมตพิเศษให้กับเขา รีโมตที่กดเพียงแค่คลิกเดียวเท่านั้น ก็ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีกเลย
Click เป็นภาพยนตร์ตลกดราม่าแฟนตาซีอเมริกัน กำกับโดย Frank Coraci เขียนบทโดย Steve Koren และ Mark O'Keefe
แสดงนำโดย Adam Sandler ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสร้างร่วมของหนังเรื่องนี้ด้วย
เรื่องราวของหัวหน้าครอบครัวที่ทำงานหนัก และได้รับรีโมตวิเศษที่ทำให้เขาสามารถควบคุมชีวิตให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก "The Magic Thread" 1 ในนิทานพื้นบ้าน
ที่รวมอยู่ใน The Book of Virtues: A Treasury of Great Moral Stories ของ William Bennett
ใช้งบประมาณสร้าง 82.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และทำรายได้ทั่วโลก 240.7 ล้านเหรียญสหรัฐ
ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งเชิงบวกและลบ (แต่กับในบ้านเรา ได้รับคำชมอย่างมาก)
และที่สำคัญนี่คือหนังเรื่องแรกและเรื่องเดียวที่แซนด์เลอร์เป็นผู้ผลิต ที่ได้เข้าชิงสุดยอดรางวัลอย่างออสการ์
ในสาขาแต่งหน้ายอดเยี่ยม แม้ว่าสุดท้ายจะเสียรางวัลให้กับ Pan's Labyrinth ก็ตาม
หนังเก่าที่ยังอยู่ในความทรงจำของหลายๆท่าน หลายคนยกให้เรื่อง Click เป็นหนังที่ดีที่สุดของแซนด์เลอร์เลยก็ว่าได้
ในเรื่องของความประทับใจกับเนื้อหาที่นำเอาความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวมาเล่าเรื่องผ่านเครื่องมือวิเศษ
ที่พระเอกของเราได้มาจากชายปริศนาที่ทำให้ความปรารถนาของไมเคิ่ลเป็นความจริง
นั่นก็คือการจัดการชีวิตที่ยุ่งยากของเขาให้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
คนที่ต้องทำงานหาเงินเข้าบ้าน มีครอบครัวต้องดูแลรับผิดชอบ ในสังคมปัจจุบันก็เป็นแบบนี้
ทำงาน ทำงาน ทำงาน รับสายเจ้านายโทรมา จะช่วงเวลาไหนก็ต้องพร้อมเสมอ แม้ว่าจะเข้าด้ายเข้าเข็มหรืออย่างไรก็ตามที
จนทำให้เหมือนกับว่าเราละเลยจากครอบครัว จากคนที่ตนรัก แต่จะทำยังได้ล่ะ ก็คนต้องทำงานนี่นา
ถ้าไม่ทำงาน จะเอาเงินที่ไหนมาดูแลทุกคนในบ้านได้ล่ะ นี่คืออีก 1 คำถามที่เป็นปัญหาโลกแตก มันยากจะที่จะหาจุดลงตัวได้
จนพระเอกเรามาได้ของวิเศษเป็นรีโมตที่เมื่อกดคลิกไปแล้ว มันจะช่วยจัดการเวลาต่างๆได้ดีขึ้น
ทั้งเร่งเวลาให้เดินหน้า ย้อนหลังไปดูความทรงจำ นั่นคือสิ่งที่ตอบโจทย์ไมเคิ่ลเป็นอย่างมาก
เพราะมันทำให้เขาไปถึงเป้าหมายทุกอย่างได้รวดเร็วทันใจ แม้ว่าระหว่างทางในทุกรายละเอียด
เขาจะไม่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในชีวิตเลยก็ตามที
เหมือนคนที่มองแต่ข้างหน้าโดยไม่สนใจรอบข้าง เป้าหมายของเขาพุ่งทะยานไปสู่ความสำเร็จเพียงอย่างเดียว
โดยไม่สนใจใครเลย แม้ว่าจะเป็นคนที่ข้างกายที่รักเขาก็ตาม .. และสุดท้ายแม้ว่าเขาจะไปถึงฝั่งฝันนั้นได้
แต่กลายเป็นว่าชายหนุ่มก็ต้องสูญเสียสิ่งรอบกายทุกอย่างไป โดยไม่อาจหวนกลับย้อนคืน..
ถึงวันนั้นรีโมตวิเศษก็ช่วยอะไรไมเคิ่ลไม่ได้อีกต่อไป..
แซนด์เลอร์ บวกกับฝีมือกำกับของ Frank Coraci ที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่ The Wedding Singer ในปี 1998
หนังจึงเน้นความฮาอย่างที่เราคุ้นเคยเช่นเดิม มุกใต้สะดือ สัปดน แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร พอให้ได้อมยิ้มกันออกมาเป็นระยะ
ซึ่งนั่นคือช่วงครึ่งแรกของหนัง และหลังจากนั้นจะเข้าสู่ความดราม่า กับผลกระทบที่ตัวเอกต้องได้รับจากการใช้รีโมตวิเศษที่ตนเองมี
ถึงแม้นักวิจารณ์หนังตะวันตกจะมองว่าหนังเรื่องนี้ไม่ค่อยมีอะไรให้จับต้องได้นักมากไปกว่าหนังตลกบ๊องๆ เรื่องนึงที่แซนด์เลอร์นำแสดง
ทว่ากับคอหนังชาวไทย ผมมั่นใจว่าแทบทุกคนที่ได้รับชมต้องมีน้ำตาซึมกันบ้างล่ะ
เพราะหนังจับเอาประเด็นความผูกพันของคนในครอบครัวมาบอกเล่าได้อย่างดีมาก (คนในฝั่งโลกจะตะวันออกจะอินมากกว่า)
และมันทัชใจสุดๆ ที่คนสมัยนี้มักจะหลงลืมคนข้างกาย ไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรจะทำ
จนเมื่อเวลามันสายเกินไป..เราย้อนเวลากลับไปแก้ไขไม่ได้อีกแล้ว
ผมดูหนังเรื่องนี้สมัยที่ทำงานใหม่ๆ ช่วงที่ไฟยังแรงสุดๆ ผมทำงานแบบไม่ลืมหูลืมตา
คือสนุกกับงานนะ มากจนไม่ได้มีเวลาให้กับที่บ้าน ครอบครัวเลยสักนิด วันคืนเหล่านั้นมันผ่านไปไวมาก และหายไปอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งวันนึงเมื่อผมมีสติ หยุดคิด และมองย้อนกลับไป เงินทองที่เราหามาได้ เราไม่สามารถซื้อเวลาที่ผ่านมาคืนได้เลย
พ่อแม่แก่ตัวลงไปทุกวัน.. จริงอยู่ที่เงินที่ได้ก็เพื่อหามาดูแลพวกท่าน แต่แน่ใจแล้วหรือว่า นี่คือสิ่งที่เราต้องการจริงๆ...
เราแทบไม่ได้มีเวลาคุยกันเลย ผมให้เวลากับงานไปหมด ระยะห่างบางอย่างก่อตัวขึ้นในช่วงเวลานั้น
การงานผมก้าวหน้า แต่เวลากับคนข้างกายผมกลับไม่มี.. จนกระทั่งเมื่อผมดูหนังเรื่องนี้มันทำให้ผมคิด
ว่าเราต้องจัดการตัวเองใหม่ แบ่งเวลาให้ถูก เราจะแบกทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวไม่ได้
ผมไม่มีรีโมทวิเศษ ชีวิตนี้ไม่มีปาฏิหาริย์เหมือนในหนัง มันคือความเป็นจริง
Click จึงมากกว่าหนังตลกเบาสมอง มันคือภาพยนตร์ที่ทำให้ผู้ชมได้ตระหนักถึงการให้เวลากับคนรัก คนรอบข้าง
และคอยสอนให้เราได้รู้ว่าเวลาเป็นสิ่งที่มีค่ามากแค่ไหน ทุกอย่างผ่านไปรวดเร็วดุจสายน้ำไหล
ดังนั้นขอให้เราอยู่กับทุกวินาทีอย่างมีค่าที่สุดนะครับ ทำทุกเวลาให้ดีจะได้ไม่มีอะไรให้ติดค้างหรือเสียใจ
เพราะในชีวิตจริง เราคงไม่มีโอกาสที่สองเหมือนในหนังแน่นอน
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===