⦿ วิสาหกิจเพื่อสังคม(Social Enterprise) คืออะไร ?
วิสาหกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise คือธุรกิจที่ การดำเนินธุรกิจนั้น สร้างผลกระทบเชิงบวก ต่อสังคม สิ่งแวดล้อม หรือเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการทำกำไรเพื่อความยั่งยืน
ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เพราะ นิยามเหล่านี้ไม่ได้ขึ้นกับความตั้งใจเดิมของผู้ประกอบการแต่มาจากการที่ สินค้าและบริการนั้นสร้างผลกระทบโดยธรรมชาติของมันเอง อย่างแท้จริง
วิสาหกิจเพื่อสังคม แตกต่างจากองค์กรไม่แสวงหากำไร เพราะ Social Enterprise ใช้การขายสินค้าและบริการเป็นแหล่งรายได้หลัก
ไม่พึ่งพาการบริจาคหรือเงินทุนสนับสนุนอย่างเดียว
อย่างไรก็ดีกรณีต้องการจดแจ้งและใช้ชื่อวิสาหกิจสังคม อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นคำเฉพาะที่กฎหมายคุ้มครอง ไม่สามารถใช้เองได้ จะต้อง มีการประกาศเจตนารมย์ และ รวบรวม ผลกระทบอย่างเป็นทางการส่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นชื่อบริษัท หรือองค์ที่มีคำว่า วิสาหกิจสังคมนั้น คือ ชื่อที่ผ่านการรับรองจากรัฐแล้วทั้งสิ้น ซึ่งต้องทำตามกระบวนการตามกฎหมายอย่างจริงจัง และ มีกรอบภารกิจที่ชัดเจนจารกรัฐมาควบคุม
ธุรกิจประเภทนี้มีเป้าหมายชัดเจนว่า กำไรบางส่วนจะถูกนำกลับไปลงทุนเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวก เช่น พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม หรือสร้างโอกาสให้กลุ่มเปราะบางในสังคม ตัวอย่างง่ายๆ เช่น ร้านกาแฟที่จ้างผู้พิการทำงานเพื่อให้พวกเขามีรายได้และศักดิ์ศรีในสังคม หรือบริษัทจัดงานแต่งที่วางระบบปลอดภัยเพื่อปกป้องสิทธิของผู้หญิงและครอบครัวต่างวัฒนธรรม การทำงานแบบนี้ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมกับสร้างประโยชน์ต่อส่วนรวมไปด้วยในเวลาเดียวกัน
⦿ ตัวอย่างของ Social Enterprise
Social Enterprise หรือวิสาหกิจเพื่อสังคม มีตัวอย่างระดับโลกที่น่าสนใจ เช่น Grameen Bank จากบังกลาเทศที่ให้สินเชื่อรายย่อยกับคนยากจนโดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ทำให้หลายครอบครัวมีรายได้เลี้ยงชีพ, TOMS Shoes จากสหรัฐอเมริกาที่เริ่มจากโมเดล “One for One” บริจาครองเท้าให้เด็กในประเทศกำลังพัฒนา, Fairphone จากเนเธอร์แลนด์ที่ผลิตสมาร์ทโฟนโดยเน้นวัตถุดิบไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งและเงื่อนไขแรงงานที่เป็นธรรม และ Divine Chocolate จากสหราชอาณาจักรที่ให้ผู้ปลูกโกโก้ถือหุ้นในบริษัทเพื่อแบ่งปันกำไรอย่างเป็นธรรม องค์กรเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าธุรกิจสามารถสร้างผลกำไรควบคู่กับการแก้ปัญหาสังคมอย่างยั่งยืนได้จริง
⦿ ความท้าทายของผู้ประกอบการวิสาหกิจเพื่อสังคม
ผู้ประกอบการวิสาหกิจเพื่อสังคมต้องทำงานภายใต้กรอบที่มุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ทำให้โมเดลธุรกิจมีความท้าทายหลายด้าน เช่น การรับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการใช้วัสดุหรือการจัดการทรัพยากรบุคคลที่มีลักษณะเฉพาะ การแข่งขันกับธุรกิจที่มุ่งแสวงหากำไรจึงยากกว่าเพราะต้องรักษาสมดุลระหว่างผลกำไรและเป้าหมายทางสังคม นอกจากนี้ แนวคิดการบริหารของกลุ่มนี้มักเน้นการพึ่งพาตนเองและการหาการสนับสนุนที่ไม่สร้างการพึ่งพิง ทำให้โลกคาดหวังต่อองค์กรเหล่านี้สูงกว่าปกติ เพราะต้องทั้งอยู่รอดทางธุรกิจและสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกไปพร้อมกัน ส่งผลให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจเพื่อสังคมมักมีบุคลิกการบริหารที่แตกต่างจากผู้บริหารธุรกิจทั่วไปอย่างชัดเจน
⦿ DNA ที่มักพบในวิสาหกิจเพื่อสังคม
1.รายได้และผลกระทบทางสังคมเป็นเรื่องเดียวกันวิสาหกิจ
เพื่อสังคมออกแบบโมเดลธุรกิจให้รายได้จากการขายสินค้าและบริการเชื่อมโยงโดยตรงกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ทำให้ทุกกิจกรรมทางธุรกิจกลายเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาที่องค์กรตั้งเป้าไว้
2.เป็นองค์กรที่พึ่งพาตัวเอง
แม้เปิดรับการสนับสนุนจากภายนอก เช่น ทุนหรือความร่วมมือเพื่อการขยายผล แต่ระบบหลักขององค์กรถูกออกแบบให้ยืนหยัดได้ด้วยรายได้ของตนเอง การพึ่งพาตัวเองช่วยให้เกิดความยั่งยืนและลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนแหล่งทุนระยะยาว
3.ไม่พึ่งพาอำนาจแนวดิ่ง
การจัดการของวิสาหกิจเพื่อสังคมมักเลี่ยงการพึ่งพาโครงสร้างอำนาจจากบนลงล่าง เพราะอำนาจแนวดิ่งอาจสร้างการกดทับหรือเป็นหนึ่งในสาเหตุของปัญหาสังคม องค์กรจึงเลือกทำงานกับภาคส่วนต่างๆ บนฐานความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยและเท่าเทียมกัน
4.เน้นการเชื่อมต่อกับตลาดและสังคมโดยตรง
วิสาหกิจเพื่อสังคมให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภคและชุมชน โดยใช้ตลาดและสังคมเป็นผู้รับรองคุณค่าของสินค้าและบริการ สิ่งนี้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากรากฐานเป็นหลัก
⦿ วิธีดูว่ากิจการของเราเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมหรือไม่ ?
1. Business Model – โมเดลธุรกิจต้องเชื่อมโยง “คุณค่า” ที่สร้างขึ้นกับ “ผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม” อย่างแท้จริง สินค้าและบริการไม่ได้ทำกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คน สิ่งแวดล้อม หรือเศรษฐกิจ เช่น สร้างโอกาสให้กลุ่มเปราะบาง ลดความเหลื่อมล้ำ หรือฟื้นฟูทรัพยากร
2️.Theory of Change (ToC) – แผนการเปลี่ยนแปลงต้องแสดงให้เห็นว่า “กิจกรรมที่สร้างรายได้ (Revenue Activity)” คือส่วนหนึ่งของกระบวนการแก้ปัญหาสังคมอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่แยกกำไรกับภารกิจ แต่ทั้งสองต้องเป็นระบบเดียวกัน เพื่อให้การสร้างรายได้หนุนเสริมผลลัพธ์ทางสังคม
☑ หากทั้งสองฝั่งนี้สอดคล้องกัน กิจการนั้นจึงเป็น “วิสาหกิจเพื่อสังคม” ที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงธุรกิจที่ทำ CSR หรือองค์กรการกุศลที่หารายได้เสริม
⦿ บทสรุป
การเป็นผู้ประกอบการวิสาหกิจเพื่อสังคมอาจไม่ง่าย เพราะต้องสร้างสมดุลระหว่างการอยู่รอดทางธุรกิจและการสร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อสังคม แต่สิ่งนี้คือเส้นทางที่ทำให้ธุรกิจมีความหมายและสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง หากใครกำลังสนใจเส้นทางนี้ สิ่งสำคัญคือต้องไม่ลืม DNA ของวิสาหกิจเพื่อสังคม ทั้งการเชื่อมโยงรายได้กับผลกระทบ การพึ่งพาตัวเอง การทำงานบนความเท่าเทียม และการให้ตลาดกับสังคมเป็นผู้รับรอง เพราะนี่คือหัวใจที่ทำให้องค์กรประเภทนี้แตกต่างและมีคุณค่าต่อโลก ยิ่งมีคนร่วมสร้างมากขึ้น เส้นทางนี้ยิ่งแข็งแรง และสังคมก็จะได้ประโยชน์มากขึ้นเช่นกัน
DNA ของวิสาหกิจเพื่อสังคม - จากผู้ปฏิบัติงานจริง
วิสาหกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise คือธุรกิจที่ การดำเนินธุรกิจนั้น สร้างผลกระทบเชิงบวก ต่อสังคม สิ่งแวดล้อม หรือเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการทำกำไรเพื่อความยั่งยืน ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เพราะ นิยามเหล่านี้ไม่ได้ขึ้นกับความตั้งใจเดิมของผู้ประกอบการแต่มาจากการที่ สินค้าและบริการนั้นสร้างผลกระทบโดยธรรมชาติของมันเอง อย่างแท้จริง
วิสาหกิจเพื่อสังคม แตกต่างจากองค์กรไม่แสวงหากำไร เพราะ Social Enterprise ใช้การขายสินค้าและบริการเป็นแหล่งรายได้หลัก ไม่พึ่งพาการบริจาคหรือเงินทุนสนับสนุนอย่างเดียว อย่างไรก็ดีกรณีต้องการจดแจ้งและใช้ชื่อวิสาหกิจสังคม อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นคำเฉพาะที่กฎหมายคุ้มครอง ไม่สามารถใช้เองได้ จะต้อง มีการประกาศเจตนารมย์ และ รวบรวม ผลกระทบอย่างเป็นทางการส่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นชื่อบริษัท หรือองค์ที่มีคำว่า วิสาหกิจสังคมนั้น คือ ชื่อที่ผ่านการรับรองจากรัฐแล้วทั้งสิ้น ซึ่งต้องทำตามกระบวนการตามกฎหมายอย่างจริงจัง และ มีกรอบภารกิจที่ชัดเจนจารกรัฐมาควบคุม
ธุรกิจประเภทนี้มีเป้าหมายชัดเจนว่า กำไรบางส่วนจะถูกนำกลับไปลงทุนเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวก เช่น พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม หรือสร้างโอกาสให้กลุ่มเปราะบางในสังคม ตัวอย่างง่ายๆ เช่น ร้านกาแฟที่จ้างผู้พิการทำงานเพื่อให้พวกเขามีรายได้และศักดิ์ศรีในสังคม หรือบริษัทจัดงานแต่งที่วางระบบปลอดภัยเพื่อปกป้องสิทธิของผู้หญิงและครอบครัวต่างวัฒนธรรม การทำงานแบบนี้ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมกับสร้างประโยชน์ต่อส่วนรวมไปด้วยในเวลาเดียวกัน
⦿ ตัวอย่างของ Social Enterprise
Social Enterprise หรือวิสาหกิจเพื่อสังคม มีตัวอย่างระดับโลกที่น่าสนใจ เช่น Grameen Bank จากบังกลาเทศที่ให้สินเชื่อรายย่อยกับคนยากจนโดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ทำให้หลายครอบครัวมีรายได้เลี้ยงชีพ, TOMS Shoes จากสหรัฐอเมริกาที่เริ่มจากโมเดล “One for One” บริจาครองเท้าให้เด็กในประเทศกำลังพัฒนา, Fairphone จากเนเธอร์แลนด์ที่ผลิตสมาร์ทโฟนโดยเน้นวัตถุดิบไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งและเงื่อนไขแรงงานที่เป็นธรรม และ Divine Chocolate จากสหราชอาณาจักรที่ให้ผู้ปลูกโกโก้ถือหุ้นในบริษัทเพื่อแบ่งปันกำไรอย่างเป็นธรรม องค์กรเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าธุรกิจสามารถสร้างผลกำไรควบคู่กับการแก้ปัญหาสังคมอย่างยั่งยืนได้จริง
⦿ ความท้าทายของผู้ประกอบการวิสาหกิจเพื่อสังคม
ผู้ประกอบการวิสาหกิจเพื่อสังคมต้องทำงานภายใต้กรอบที่มุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ทำให้โมเดลธุรกิจมีความท้าทายหลายด้าน เช่น การรับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการใช้วัสดุหรือการจัดการทรัพยากรบุคคลที่มีลักษณะเฉพาะ การแข่งขันกับธุรกิจที่มุ่งแสวงหากำไรจึงยากกว่าเพราะต้องรักษาสมดุลระหว่างผลกำไรและเป้าหมายทางสังคม นอกจากนี้ แนวคิดการบริหารของกลุ่มนี้มักเน้นการพึ่งพาตนเองและการหาการสนับสนุนที่ไม่สร้างการพึ่งพิง ทำให้โลกคาดหวังต่อองค์กรเหล่านี้สูงกว่าปกติ เพราะต้องทั้งอยู่รอดทางธุรกิจและสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกไปพร้อมกัน ส่งผลให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจเพื่อสังคมมักมีบุคลิกการบริหารที่แตกต่างจากผู้บริหารธุรกิจทั่วไปอย่างชัดเจน
⦿ DNA ที่มักพบในวิสาหกิจเพื่อสังคม
1.รายได้และผลกระทบทางสังคมเป็นเรื่องเดียวกันวิสาหกิจ
เพื่อสังคมออกแบบโมเดลธุรกิจให้รายได้จากการขายสินค้าและบริการเชื่อมโยงโดยตรงกับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ทำให้ทุกกิจกรรมทางธุรกิจกลายเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาที่องค์กรตั้งเป้าไว้
2.เป็นองค์กรที่พึ่งพาตัวเอง
แม้เปิดรับการสนับสนุนจากภายนอก เช่น ทุนหรือความร่วมมือเพื่อการขยายผล แต่ระบบหลักขององค์กรถูกออกแบบให้ยืนหยัดได้ด้วยรายได้ของตนเอง การพึ่งพาตัวเองช่วยให้เกิดความยั่งยืนและลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนแหล่งทุนระยะยาว
3.ไม่พึ่งพาอำนาจแนวดิ่ง
การจัดการของวิสาหกิจเพื่อสังคมมักเลี่ยงการพึ่งพาโครงสร้างอำนาจจากบนลงล่าง เพราะอำนาจแนวดิ่งอาจสร้างการกดทับหรือเป็นหนึ่งในสาเหตุของปัญหาสังคม องค์กรจึงเลือกทำงานกับภาคส่วนต่างๆ บนฐานความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยและเท่าเทียมกัน
4.เน้นการเชื่อมต่อกับตลาดและสังคมโดยตรง
วิสาหกิจเพื่อสังคมให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภคและชุมชน โดยใช้ตลาดและสังคมเป็นผู้รับรองคุณค่าของสินค้าและบริการ สิ่งนี้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากรากฐานเป็นหลัก
⦿ วิธีดูว่ากิจการของเราเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมหรือไม่ ?
1. Business Model – โมเดลธุรกิจต้องเชื่อมโยง “คุณค่า” ที่สร้างขึ้นกับ “ผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม” อย่างแท้จริง สินค้าและบริการไม่ได้ทำกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คน สิ่งแวดล้อม หรือเศรษฐกิจ เช่น สร้างโอกาสให้กลุ่มเปราะบาง ลดความเหลื่อมล้ำ หรือฟื้นฟูทรัพยากร
2️.Theory of Change (ToC) – แผนการเปลี่ยนแปลงต้องแสดงให้เห็นว่า “กิจกรรมที่สร้างรายได้ (Revenue Activity)” คือส่วนหนึ่งของกระบวนการแก้ปัญหาสังคมอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่แยกกำไรกับภารกิจ แต่ทั้งสองต้องเป็นระบบเดียวกัน เพื่อให้การสร้างรายได้หนุนเสริมผลลัพธ์ทางสังคม
☑ หากทั้งสองฝั่งนี้สอดคล้องกัน กิจการนั้นจึงเป็น “วิสาหกิจเพื่อสังคม” ที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงธุรกิจที่ทำ CSR หรือองค์กรการกุศลที่หารายได้เสริม
⦿ บทสรุป
การเป็นผู้ประกอบการวิสาหกิจเพื่อสังคมอาจไม่ง่าย เพราะต้องสร้างสมดุลระหว่างการอยู่รอดทางธุรกิจและการสร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อสังคม แต่สิ่งนี้คือเส้นทางที่ทำให้ธุรกิจมีความหมายและสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง หากใครกำลังสนใจเส้นทางนี้ สิ่งสำคัญคือต้องไม่ลืม DNA ของวิสาหกิจเพื่อสังคม ทั้งการเชื่อมโยงรายได้กับผลกระทบ การพึ่งพาตัวเอง การทำงานบนความเท่าเทียม และการให้ตลาดกับสังคมเป็นผู้รับรอง เพราะนี่คือหัวใจที่ทำให้องค์กรประเภทนี้แตกต่างและมีคุณค่าต่อโลก ยิ่งมีคนร่วมสร้างมากขึ้น เส้นทางนี้ยิ่งแข็งแรง และสังคมก็จะได้ประโยชน์มากขึ้นเช่นกัน