🌿 เวรกำ 🌿
กลางเดือนห้า แดดเมืองน่านยังร้อนระอุเหมือนกับโทษกรรมที่ยังไม่ชดใช้หมด…
> “ปั้น เอ็งดูซิว่าวันนี้บ้านไหนหุงข้าวกลิ่นหอมจั๊ด”
“นั่นไงลุงโต ข้างล่างบ้านยายสมหมาย เห็นเขาหุงข้าวเหนียวกับปลาแดก หอมจั๊ดนัก”
เสียงพูดคุยของชายชราอายุ 75 ปี ผู้ชื่อว่า ลุงโต กับหญิงชราผู้เป็นเมียชื่อว่า ปั้น ดังขึ้นระหว่างการเดินเท้าในหมู่บ้านที่ 3 ของอำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน
สองคนนี้ไม่มีบ้าน ไม่มีอาชีพ ไม่มียางอายมากนัก เพราะชีวิตพวกเขาก็ชินกับการ ขอข้าวเขากินเป็นวัฏจักร
> “คนจนแต่ใจยังมี มันก็พออยู่ได้” ลุงโตเคยพูดไว้กับพระแถววัดท้ายบ้าน
ลุงโตและปั้นเร่ร่อนเดินทางจากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง บางครั้งก็ข้ามจังหวัดจากน่านไปพะเยา บ้างก็ไปสุโขทัย นอนตามกระท่อมไร่ ตามสวนยางพารา บางทีก็ได้เจ้าของไร่ใจดีให้ข้าวสาร น้ำปลา หรือแม้แต่เสื้อผ้ามือสอง
> “เอ็งว่าไหมปั้น ชีวิตแบบนี้มันก็อิสระดีนะ”
“มันอิสระดีอยู่หรอกลุงโต แต่ข้าอยากมีบ้านให้นอนตอนฝนตกบ้าง”
---
แต่ความอิสระก็ไม่ยั่งยืน
ในเช้าวันหนึ่ง ปั้นเริ่มหายใจขัด ลมหายใจแรงขึ้นทุกวัน จนกระทั่ง…
> “ลุง…ข้าไม่ไหวแล้ว ข้าฝันถึงแม่ข้า ข้าฝันถึงบ้านเราเมื่อนานมาแล้ว”
และคืนนั้น ปั้นจากไป โดยไม่มีแม้แต่ผ้าห่มผืนสุดท้ายคลุมร่างเธอ
ลุงโตเงียบไปหลายวัน…
เขาไม่พูด ไม่ขอ ไม่เร่ ไม่เดิน เขานั่งนิ่งอยู่ใต้ต้นมะขามริมคลอง คิดถึงคนที่เคยเดินเคียงข้างเสมอ
---
หลายเดือนผ่านไป ลุงโตกลับมาเร่ร่อนอีกครั้ง แต่ร่างกายก็เริ่มทรุดโทรม วันหนึ่งในสวนมะขามหวาน เขาเห็นลูกมะขามเปรี้ยวที่ดูน่ากินมาก แขวนอยู่บนกิ่งสูง
> “แค่ลูกเดียวเอง ข้าจะตายเพราะมันหรือไง”
เขาค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปบนต้นมะขามด้วยขาที่ยังสั่น ร่างกายที่ไม่แข็งแรง
กิ่งไม้หักดัง กรอบ!
ลุงโตตกลงมาเต็มหลัง เสียงลั่นของกระดูกสันหลังดังกว่าเสียงนกกา
เขารอด...แต่หลังของเขา โก่งงอจนไม่สามารถเงยหน้ามองฟ้าได้อีกเลย
ตั้งแต่นั้นมา ลุงโตต้องเดินก้มหน้า เขามองได้แค่ดิน ใบไม้ และฝุ่น
> “สวรรค์ไม่อยากให้ข้ามองมันอีกแล้วละมั้ง” เขาพูดกับหมาในซอกป่า
---
🍂 ตอนสุดท้ายที่วัดร้าง 🍂
หลายปีผ่านไป ลุงโตเดินก้มหน้ามาถึงวัดร้างแห่งหนึ่ง เขานั่งพิงโคนต้นโพธิ์ด้วยหลังที่งอ หอบกระสอบขาด ๆ ใส่ของเก่ากับเศษข้าว
พระภิกษุหนุ่มเดินผ่านมา เจอลุงโตเข้า
> “ลุงเป็นอะไรครับ ทำไมเดินก้มหน้า”
“เวรกำ…มันตามทันแล้วหลวงพ่อ ข้าทำกรรมไว้เยอะ ไม่เคยขอบคุณใคร ไม่เคยให้อะไรใครเลย…นอกจากเอา”
“ลุงยังไม่สายหรอกครับ การชดใช้เริ่มจากการยอมรับ”
ลุงโตยิ้มอย่างเหนื่อยล้า
เขายกมือไหว้ฟ้า แม้มองไม่เห็นมัน
---
🌟 ข้อคิดจากเรื่อง "เวรกำ" 🌟
ชีวิตที่ขออย่างเดียว โดยไม่เคยให้ มักลงเอยด้วยความว่างเปล่า
การเดินเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมาย อาจดูอิสระ แต่ไม่ต่างจากการหนีความจริง
เมื่อเวรมาถึง มันอาจไม่ได้มาในรูปของโทษ แต่ในรูปของ “การตระหนักรู้” ว่าเราเสียอะไรไปบ้าง
เวรกำมีจริง
กลางเดือนห้า แดดเมืองน่านยังร้อนระอุเหมือนกับโทษกรรมที่ยังไม่ชดใช้หมด…
> “ปั้น เอ็งดูซิว่าวันนี้บ้านไหนหุงข้าวกลิ่นหอมจั๊ด”
“นั่นไงลุงโต ข้างล่างบ้านยายสมหมาย เห็นเขาหุงข้าวเหนียวกับปลาแดก หอมจั๊ดนัก”
เสียงพูดคุยของชายชราอายุ 75 ปี ผู้ชื่อว่า ลุงโต กับหญิงชราผู้เป็นเมียชื่อว่า ปั้น ดังขึ้นระหว่างการเดินเท้าในหมู่บ้านที่ 3 ของอำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน
สองคนนี้ไม่มีบ้าน ไม่มีอาชีพ ไม่มียางอายมากนัก เพราะชีวิตพวกเขาก็ชินกับการ ขอข้าวเขากินเป็นวัฏจักร
> “คนจนแต่ใจยังมี มันก็พออยู่ได้” ลุงโตเคยพูดไว้กับพระแถววัดท้ายบ้าน
ลุงโตและปั้นเร่ร่อนเดินทางจากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง บางครั้งก็ข้ามจังหวัดจากน่านไปพะเยา บ้างก็ไปสุโขทัย นอนตามกระท่อมไร่ ตามสวนยางพารา บางทีก็ได้เจ้าของไร่ใจดีให้ข้าวสาร น้ำปลา หรือแม้แต่เสื้อผ้ามือสอง
> “เอ็งว่าไหมปั้น ชีวิตแบบนี้มันก็อิสระดีนะ”
“มันอิสระดีอยู่หรอกลุงโต แต่ข้าอยากมีบ้านให้นอนตอนฝนตกบ้าง”
---
แต่ความอิสระก็ไม่ยั่งยืน
ในเช้าวันหนึ่ง ปั้นเริ่มหายใจขัด ลมหายใจแรงขึ้นทุกวัน จนกระทั่ง…
> “ลุง…ข้าไม่ไหวแล้ว ข้าฝันถึงแม่ข้า ข้าฝันถึงบ้านเราเมื่อนานมาแล้ว”
และคืนนั้น ปั้นจากไป โดยไม่มีแม้แต่ผ้าห่มผืนสุดท้ายคลุมร่างเธอ
ลุงโตเงียบไปหลายวัน…
เขาไม่พูด ไม่ขอ ไม่เร่ ไม่เดิน เขานั่งนิ่งอยู่ใต้ต้นมะขามริมคลอง คิดถึงคนที่เคยเดินเคียงข้างเสมอ
---
หลายเดือนผ่านไป ลุงโตกลับมาเร่ร่อนอีกครั้ง แต่ร่างกายก็เริ่มทรุดโทรม วันหนึ่งในสวนมะขามหวาน เขาเห็นลูกมะขามเปรี้ยวที่ดูน่ากินมาก แขวนอยู่บนกิ่งสูง
> “แค่ลูกเดียวเอง ข้าจะตายเพราะมันหรือไง”
เขาค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปบนต้นมะขามด้วยขาที่ยังสั่น ร่างกายที่ไม่แข็งแรง
กิ่งไม้หักดัง กรอบ!
ลุงโตตกลงมาเต็มหลัง เสียงลั่นของกระดูกสันหลังดังกว่าเสียงนกกา
เขารอด...แต่หลังของเขา โก่งงอจนไม่สามารถเงยหน้ามองฟ้าได้อีกเลย
ตั้งแต่นั้นมา ลุงโตต้องเดินก้มหน้า เขามองได้แค่ดิน ใบไม้ และฝุ่น
> “สวรรค์ไม่อยากให้ข้ามองมันอีกแล้วละมั้ง” เขาพูดกับหมาในซอกป่า
---
🍂 ตอนสุดท้ายที่วัดร้าง 🍂
หลายปีผ่านไป ลุงโตเดินก้มหน้ามาถึงวัดร้างแห่งหนึ่ง เขานั่งพิงโคนต้นโพธิ์ด้วยหลังที่งอ หอบกระสอบขาด ๆ ใส่ของเก่ากับเศษข้าว
พระภิกษุหนุ่มเดินผ่านมา เจอลุงโตเข้า
> “ลุงเป็นอะไรครับ ทำไมเดินก้มหน้า”
“เวรกำ…มันตามทันแล้วหลวงพ่อ ข้าทำกรรมไว้เยอะ ไม่เคยขอบคุณใคร ไม่เคยให้อะไรใครเลย…นอกจากเอา”
“ลุงยังไม่สายหรอกครับ การชดใช้เริ่มจากการยอมรับ”
ลุงโตยิ้มอย่างเหนื่อยล้า
เขายกมือไหว้ฟ้า แม้มองไม่เห็นมัน
---
🌟 ข้อคิดจากเรื่อง "เวรกำ" 🌟
ชีวิตที่ขออย่างเดียว โดยไม่เคยให้ มักลงเอยด้วยความว่างเปล่า
การเดินเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมาย อาจดูอิสระ แต่ไม่ต่างจากการหนีความจริง
เมื่อเวรมาถึง มันอาจไม่ได้มาในรูปของโทษ แต่ในรูปของ “การตระหนักรู้” ว่าเราเสียอะไรไปบ้าง