JJNY : เผยคนศรัทธาลดฮวบ│เท้งทั่วไทยลุยเพชรบุรี│กัมพูชาลั่นมีภาพทหารไทยวางทุ่น แนะให้ฟ้อง ICJ │เตือน“พายุวิภา”ทําฝนตกหนัก

นิด้าโพล เผยคนศรัทธาลดฮวบ จากกรณีข่าวฉาวพระสงฆ์ ชี้เหตุตัดไม่ขาดจากทางโลก
https://www.matichon.co.th/local/religious/news_5282956
.
.
นิด้าโพล เผยคนศรัทธาลดฮวบ จากกรณีข่าวฉาวพระสงฆ์ ชี้เหตุตัดไม่ขาดจากทางโลก
.
เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “วิกฤตพระพุทธศาสนา!” สำรวจระหว่างวันที่ 14-16 กรกฎาคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และนับถือศาสนาพุทธ กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 0.05 ที่ระดับความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
.
จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 76.11 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง ตัดไม่ขาดจากทางโลกทำให้มีข่าวฉาวเป็นประจำ เช่น เสพยาบ้า ดื่มสุรา เล่นการพนัน ยุ่งสีกา รองลงมา ร้อยละ 45.95 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง หลงในลาภ ยศ สรรเสริญและตำแหน่งทางสงฆ์ ร้อยละ 45.80 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง หลงในวัตถุนิยมหรือบริโภคนิยม ร้อยละ 40.00 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง ออกบวชเพราะมองว่าพระคืออาชีพหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้ ร้อยละ 29.16 ระบุว่า วัดบางแห่ง มีความเป็นพุทธพาณิชย์ ร้อยละ 27.63 ระบุว่า วัดบางแห่ง มีการบริหารจัดการทรัพย์สิน ที่ไม่โปร่งใส ร้อยละ 25.42 ระบุว่า องค์กรที่ดูแลพระพุทธศาสนาอ่อนแอขาดประสิทธิภาพในการตรวจสอบป้องกัน ร้อยละ 23.74 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง ไม่อยู่ในหลักพระธรรมวินัยมีพฤติกรรมก้าวร้าว
.
ร้อยละ 16.72 ระบุว่า ญาติโยม/ลูกศิษย์จำนวนหนึ่ง ชอบชักนำให้พระสงฆ์ประพฤติหรือทำกิจกรรมที่ผิดหลักพระธรรมวินัย และการปกครองภายในวัดไม่มีประสิทธิภาพทำให้มีข่าวฉาวเป็นประจำ ในสัดส่วนที่เท่ากัน ร้อยละ 13.59 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง หลงตัวเอง ชอบโฆษณาอภินิหารเกินความจริง (อวดอุตริมนุสธรรม) ร้อยละ 11.60 ระบุว่า วัดบางแห่ง โฆษณาชวนเชื่อให้คนทำบุญเกินตัว/เกินเหตุจำเป็น ร้อยละ 8.32 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง มีคำสอนที่บิดเบือนคำสอนทางพระพุทธศาสนา ร้อยละ 7.79 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง เน้นพิธีกรรมทางไสยศาสตร์มากกว่าคำสอนทางพุทธศาสนา ร้อยละ 1.68 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง ชอบยุ่งการเมือง/เลือกข้าง และร้อยละ 0.46 ระบุว่า พระพุทธศาสนาในปัจจุบันไม่มีปัญหาใด ๆ เลย
.
ด้านความศรัทธาของประชาชนต่อศาสนาและพระสงฆ์ จากกรณีข่าวฉาวของพระสงฆ์ในปัจจุบัน พบว่า ความศรัทธาในพระสงฆ์ ตัวอย่าง ร้อยละ 58.40 ระบุว่า ลดลง และร้อยละ 41.60 ระบุว่า เท่าเดิม
.
ความศรัทธาในศาสนาพุทธ ตัวอย่าง ร้อยละ 68.55 ระบุว่า เท่าเดิม และร้อยละ 31.45 ระบุว่า ลดลง
.
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์ และคุ้มครองพระพุทธศาสนาที่กำหนดโทษจำคุก ปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ พระสงฆ์และ/หรือฆราวาส ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม พบว่า
.
1.พระสงฆ์ที่ต้องอาบัติปาราชิก หรือประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ตัวอย่าง ร้อยละ 80.76 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 13.59 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 3.82 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 1.83 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย
.
2.หญิงหรือชายสมัครใจเสพเมถุนกับพระภิกษุหรือสามเณร ตัวอย่าง ร้อยละ 17 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 15.03 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 3.97 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 2.60 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย และร้อยละ 0.23 ระบุว่า ไม่ตอบ
.
3.พระสงฆ์อวดอุตริมนุสธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 63 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 17.56 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 4.89 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย และร้อยละ 0.37 ระบุว่า ไม่ตอบ
.
4.ผู้ทำการล้อเลียน ดูหมิ่น ทำให้เข้าใจผิดในสาระสำคัญของพระพุทธศาสนา ตัวอย่าง ร้อยละ 35 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 19.92 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 10.84 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 4.81 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย และร้อยละ 0.08 ระบุว่า ไม่ตอบ
.
5.ผู้กล่าวหาพระสงฆ์ให้มีมลทินโดยไม่มีหลักฐาน ตัวอย่าง ร้อยละ 44 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 20.84 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 11.76 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 4.96 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย
.
เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.70 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.79 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.28 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.82 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.86 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก โดยตัวอย่าง ร้อยละ 47.94 เป็นเพศชาย และร้อยละ 52.06 เป็นเพศหญิง
.
ตัวอย่าง ร้อยละ 12.13 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.79 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 17.94 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.34 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 25.80 อายุ 60 ปีขึ้นไป โดยตัวอย่างทั้งหมดนับถือศาสนาพุทธ
.
ตัวอย่าง ร้อยละ 35.95 สถานภาพโสด ร้อยละ 61.99 สมรส และร้อยละ 2.06 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ โดยตัวอย่าง ร้อยละ 0.15 ไม่ได้รับการศึกษา ร้อยละ 16.11 จบการศึกษาประถมศึกษา ร้อยละ 34.73 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 10.31 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 32.29 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 6.41 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี
.
ตัวอย่าง ร้อยละ 9.92 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 18.01 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 20.46 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 10.08 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 16.72 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 19.77 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 5.04 เป็นนักเรียน/นักศึกษา
.
ตัวอย่าง ร้อยละ 18.17 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 2.67 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 5,000 บาท ร้อยละ 16.49 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 5,001-10,000 บาท ร้อยละ 31.37 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 11.98 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 6.11 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 3.89 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001-50,000 บาท ร้อยละ 1.22 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 50,001-60,000 บาท ร้อยละ 0.46 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 60,001-70,000 บาท ร้อยละ 0.08 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 70,001-80,000 บาท ร้อยละ 1.00 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 80,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 6.56 ไม่ระบุรายได้.
.

.
เท้งทั่วไทย ลุยเพชรบุรี ฟังเสียงกลุ่มชาติพันธฺุ์ ปัญหาปากท้อง-ที่ดิน เยี่ยมย่านเมืองเก่า
https://www.matichon.co.th/politics/news_5282771
.
“เท้ง ณัฐพงษ์ “หัวหน้าพรรคประชาชนนำทีม “เท้งทั่วไทย” บุกเพชรบุรี รับฟังปัญหาชาติพันธ์ุ การเกษตร เศรษฐกิจ ที่ดิน เยี่ยมชุมชนย่านบ้านเมืองเก่า และพบปะประชาชนที่ถนนมีชีวิตพาณิชย์เจริญ
.
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เดินทางมา จ.เพชรบุรี ตามโครงการ เท้งทั่วไทย โดยมี นายหัสพันธ์ เสมเถื่อน ทนายขาว ผู้ประสานงานพรรคประชาชนจังหวัดเพชรบุรี นายประพัฒน์ ปานยิ้ม กรรมการพรรคประชาชนจังหวัดเพชรบุรี และคณะกรรมการพรรคฯ จังหวัดเพชรบุรีให้การต้อนรับ
.
โดยช่วงบ่าย นายณัฐพงษ์ และคณะเดินทางมาที่ ร้าน up local craft คลองชลประทานสาย 1 ต.ท่าคอย อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี คุยประเด็น รับทราบปัญหา การส่งออกแปรรูปกล้วยหอมทอง และมะนาวกับเกษตรรุ่นใหม่ ปัญหาเรื่องที่ดินทำกินและพื้นที่อยู่อาศัยของชาวชาติพันธุ์บ้านบางกลอย ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และ กลุ่มประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนกรณี ที่ดินทับซ้อน ที่ อ.เขาย้อย
.
ช่วงเย็น นายณัฐพงษ์ และคณะลงพื้นที่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ชุมชนเมืองเพชร และแนวทางการฟื้นฟูย่านเมืองเก่า ที่ บ้านปราณิสา แหล่งท่องเที่ยวชุมชนย่านประวัติศาสตร์บ้านเก่าของเพชรบุรี โดยมีนายจำลอง บัวสุวรรณ์ ผู้ประสานงานกลุ่มลูกหว้าเพชรบุรี ร่วมให้การต้อนรับและให้ข้อมูล
.
จากนั้นนายณัฐพงษ์ และคณะเดินถนนมีชีวิตพานิชเจริญ (ถนนคนเดินเพชรบุรี) ต.ท่าราบ อ.เมืองเพชรบุรี สำรวจตลาด รับฟังปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง โดยตลอดการเดินมีประชาชนมาร่วมพูดคุยให้กำลังใจ ทักทายร่วมถ่ายรูป จำนวนมาก
.

.
กัมพูชาลั่น มีภาพทหารไทยวางทุ่นระเบิด แนะถ้าอยากฟ้องกัมพูชา ให้ฟ้อง ICJ
.
กัมพูชาเผย มีภาพในโซเชียลมีเดียไทยว่า ทหารไทยเป็นคนวางทุ่นระเบิดเอง แนะนำถ้าไทยอยากฟ้องกัมพูชาต่อยูเอ็น ให้ฟ้องศาลโลกหรือ ICJ เพราะเป็นศาลยูเอ็น
.
จากกรณีที่ประเทศไทยเตรียมดำเนินการฟ้ององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ว่ากัมพูชาละเมิดอนุสัญญาออตตาวา หรืออนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หลังเจ้าหน้าที่ทหารพื้นที่ช่องบกเหยียบกับระเบิดจนมีผู้บาดเจ็บ 3 นาย และพบหลักฐานว่าเป็นการวางกับระเบิดใหม่นั้น
.
ล่าสุด เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 68 เฮง รัตนะ ผู้แทนรัฐบาลกัมพูชาศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิด โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงความเคลื่อนไหวของไทย โดยพีพีทีวีขอเลือกแปลข้อความจากภาษากัมพูชา
.
เฮง รัตนะ ระบุว่า “หลังจากทหารไทยเหยียบกับทุ่นระเบิด ทหาร 1 นายถูกตัดขา และบาดเจ็บเล็กน้อยอีก 2 นาย (ตามรายงานสื่อ) มีก็มีข่าวเผยแพร่ใส่ร้ายกัมพูชาเกี่ยวกับทุ่นระเบิดเก่าและทุ่นระเบิดที่เพิ่งวาง”
.
“รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไทยได้ร้องขอให้กัมพูชาเก็บกู้ทุ่นระเบิดเก่า ขณะที่ผู้บัญชาการแนวหน้าของไทยบางคนกล่าวว่าทุ่นระเบิดเหล่านั้นเป็นของเหลือจากสงคราม ส่วนองค์กร NGO ด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและกระทรวงการต่างประเทศของไทยกล่าวว่า ทุ่นระเบิดเหล่านั้นเพิ่งวางใหม่และพร้อมที่จะฟ้องร้องกัมพูชาต่อสหประชาชาติ! ช่างวุ่นวาย ช่วงชวนสับสนจริง ๆ”
.
มีคนถามความเห็นผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมขอบอกว่า โปรดดูประเด็นทางกฎหมายของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดระหว่างประเทศ ในมาตรา 5 ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ใครเป็นผู้รับผิดชอบต่อบูรณภาพแห่งดินแดนของตนก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
.
เห็นได้ชัดว่า มีรูปภาพมากมายบนโซเชียลมีเดียในไทยที่เผยแพร่ภาพทหารไทยกำลังวางทุ่นระเบิดใหม่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา รัฐบาลไทยและองค์กรเก็บกู้ทุ่นระเบิดในไทยได้ดำเนินการสืบสวนหรือร้องเรียนต่อผู้นำไทยเพื่อขอใช้มาตรการป้องกันแล้วหรือยัง?
.
กรณีที่ไทยต้องการฟ้องร้องกัมพูชาต่อสหประชาชาตินี้ถือเป็นเรื่องดี ดังนั้นขอให้ฟ้องร้องกัมพูชาต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพราะศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเป็นศาลของสหประชาชาติ!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่