งานหนัก...สร้างคน ว.วชิรเมธี





อุปสรรคไม่ใช่ศัตรูของความสำเร็จ
แต่มันคือส่วนหนึ่งของความสำเร็จ
 
คนทำงานระดับมืออาชีพทั้งหลายกว่าจะเป็นมืออาชีพได้นั้น ต้องทำงานแทบล้มประดาตาย ยกตัวอย่าง อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี จิตรกรเอกแห่งเชียงรายที่โลกขนานนามว่า ดาวินชีแห่งตะวันออก เนื่องจากผลงานอาจารย์มีราคาสูงที่สุดในประเทศไทย
 
ผู้เขียนเคยอ่านบทสัมภาษณ์อาจารย์ถวัลย์ ท่าน
บอกว่า “ถ้าผมอยากมีเงินสัก 200 ล้าน ผมแค่ประกาศว่าผมจะวาดรูป แค่นั้นก็ได้แล้ว”
นักข่าวถามต่อว่า “เงินของอาจารย์ที่ได้จากการวาดรูปมีมากมายขนาดไหนคะ”
 
อาจารย์ถวัลย์ไม่ตอบเป็นตัวเลข แต่เปรียบว่า “เงิน
ของผมตอนนี้ก็คงประมาณดอยนางนอน” ซึ่งชาวเชียงรายรู้จักกันดีว่า ดอยนางนอนนั้นสูงประมาณตึก 10 ชั้น
“หนูนึกว่าเยอะกว่านั้น สูงเท่าดอยนางนอนเองเหรอ
คะ” นักข่าวถาม
 
“คุณรู้ไหม ดอยนางนอนมันนอนมาตั้งแต่เชียงใหม่
ถึงพม่า ผมคิดว่าถ้ามันลุกขึ้นยืน ไม่รู้ว่าจะสูงขนาดไหน”อาจารย์ปล่อยหมัดเด็ด ทำเอานักข่าวสาวอึ้งไปเลย
 
ครั้งหนึ่งสมัยที่ อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินรุ่นน้องยังไม่มีชื่อเสียง ด้วยความอยากรู้ว่ารุ่นพี่มืออาชีพแค่ไหน จึงเดินทางไปเยี่ยมอาจารย์ถวัลย์ถึงบ้านและขอเดินชมผลงาน ซึ่งมีโชว์ไว้น้อยมาก เมื่อเทียบกับอาจารย์เฉลิมชัยแล้ว ที่บ้านจะมีผลงานวางเรียงรายจนนับไม่ถ้วน
 
ด้วยเหตุนี้ทำให้อาจารย์เฉลิมชัยสงสัย “พี่ ผมทำงานหนักมาก ผมวาดรูปทุกวัน มีภาพเป็นตั้งๆ ผมอยากรู้ว่าพี่กับผม ใครขยันกว่ากัน"
 
อาจารย์ถวัลย์ไม่พูดพร่ำทำเพลง บอกแต่เพียงว่า
“ตามพี่มา” จากนั้นก็พารุ่นน้องเดินเข้าไปในห้องวาดรูป ก่อนจะดึงผลงานที่วาดเสร็จแล้ว ซึ่งวางซ้อนกันตั้งแต่พื้นจรดเพดาน
“พี่วาดรูปทุกวัน วาดเหมือนเป็นลมหายใจเข้า และ
นี่คือส่วนหนึ่งที่พี่วาด" อาจารย์ถวัลย์บอก
 
อาจารย์เฉลิมชัยมองผลงานของรุ่นพี่พลางพูดว่า
“พี่ครับ ผมรู้แล้วว่าใครขยัน และรู้เลยว่าตัวเองยังไม่ใช่มืออาชีพ เพราะมืออาชีพจริงๆ เขาทำงานกันทั้งวันทั้งคืน”เมื่อครั้งที่ไปเยี่ยมชมวัดร่องขุน อาจารย์เฉลิมชัยก็พาชมแกลเลอรี่ของท่าน ก่อนจะนำชมพระประธานในโบสถ์ ซึ่งเปลี่ยนมาแล้วกว่า 9 องค์ตลอดช่วงเกือบ 6 เดือนที่ผ่านมา ด้วยความที่อาจารย์ต้องการพระประธานที่งดงามที่สุด เมื่ออาจารย์ปั้นเสร็จ ท่านก็จะอัญเชิญขึ้นประดิษฐาน
บนฐานพระและเดินดูทุกวัน วันแรกที่ตั้ง แม้อาจารย์เป็นคนปั้นเองก็ยังชมฝีมือตัวเองว่า “สวยมากๆ ฝีมือไม่น่าจะใช่คนปั้น” แต่วันต่อมาเริ่มเห็นความบกพร่อง เช่น พระกรรณ หรือพระนาสิกไม่สวย อาจารย์จะอัญเชิญพระประธานองค์นั้นไปไว้ในกรุทันที แล้วลงมือปั้นองค์ใหม่ ทำให้พระประธานทุกองค์ ซึ่งเคยตั้งในโบสถ์อยู่ได้ไม่ถึงเดือนก็ได้รับการอัญเชิญออก
 
วันที่ผู้เขียนไปนั้นเป็นพระประธานองค์ที่ 9 และไม่แน่ว่าจะถูกปลดอีกเมื่อไร
“ผมทำงานหนักเพื่อต้องการให้ได้ชิ้นงานที่ดีที่สุดไปอวดชาวโลก” อาจารย์เฉลิมชัยบอก
 
นั่นหมายความว่า กว่าจะได้องค์พระประธานองค์จริงขึ้นมาประดิษฐาน ไม่แน่ว่าอาจมีพระประธานในกรุถึง 100 องค์ จึงเกิดเป็นไอเดียที่อยากจะสร้างอาคารเพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์พระประธานขึ้นมา อาจารย์เฉลิมชัยให้เหตุผลง่ายๆ ว่ากลัวพระประธานน้อยใจ เมื่อคนสร้างงานแล้ว งานก็ย่อมสร้างคน ทั้งอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี และ อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินเอกที่ได้ชื่อว่าเป็นมืออาชีพนั้น เวลาเจองานหนักแล้วท่านสู้ไม่ถอย และงานหนักนั้นเองก็สร้างท่านให้เป็นมืออาชีพยิ่งๆขึ้นไป
 
เช่นเดียวกับ โทมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Awa
Edison) ผู้เขียนเคยเดินทางไปนิวยอร์กและมีโอกาสไปเยี่ยมชมอนุสรณ์สถานของเขา หลังจากได้รู้ประวัติอย่างละเอียดของชายผู้นี้ ผู้เขียนรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเขาอย่างมาก เพราะถ้าไม่มีเขา
ซึ่งก็คือ หลอดไฟ ที่ใช้ในปัจจุบันนั่นเอง เราก็จะไม่มีพระอาทิตย์ดวงที่สอง เอดิสันสมัยยังเด็ก ใครๆ ต่างพากันคิดว่าเขามีปัญหาทางสมอง เพราะครั้งหนึ่งครูเชิญแม่ของเขามารับทราบข้อกล่าวหาที่โรงเรียน
 
“เอาลูกคุณออกจากโรงเรียนนี้ไปเถิด อยู่ไปครูก็
ลำบากใจมาก ลูกคุณมีปัญหา”
 
“ลูกของดิฉันมีปัญหาตรงไหน คุณครูช่วยชี้แจง
ได้ไหม” แม่ของเอดิสันถามด้วยความสงสัย
ทันทีที่สิ้นเสียงแม่ ครูก็เรียกเอดิสันมาหน้าห้อง
 
“เอดิสัน 1+1 เท่ากับเท่าไร”เด็กชายตัวน้อยตอบเสียงดัง “1+1 ก็เท่ากับ 1 ครับ”
“เห็นไหมคะว่าลูกคุณมีปัญหาทางสมอง เพราะฉะนั้น ให้เขาเรียนที่นี่ต่อไปไม่ได้ เสียชื่อโรงเรียน ออกซะก่อนที่จะถูกไล่ออกเถิด”
 
ผู้เป็นแม่พาเอดิสันกลับมาบ้าน และถามลูกชาย
ตัวน้อยด้วยความสงสัย
“ลูก ทําไม 1+1 ไม่ใช่ 2 ล่ะ”
เอดิสันหันมาย้อนถามแม่ว่า “ถ้าผมมีทรายฝั่งนี้
1 กอง และฝั่งนี้อีก 1 กอง แล้วเอาทรายทั้งสองกองรวมกัน แม่คิดว่าเป็นกองครับ”
 
“1 กอง” แม่ของเขาตอบ
 
หลังออกจากโรงเรียน แม่ก็ทําหน้าที่เป็นครูสอน หนังสือให้เขาที่บ้าน ระยะเวลาเพียง 2 ปีเขาสามารถอ่าน เขียนคล่องแคล่ว กระทั่งอายุ 10 ขวบก็เริ่มฉายแววอัจฉริยะ “แม่ครับ ไฟนอกจากใช้หุงข้าว ทําอะไรได้บ้าง” แม่บอก “อยากรู้ก็หาวิธีทดลองเอาเองสิ” เด็กชายวิ่งหายไปสักพัก กลับมาบอกแม่เสียงดัง ขณะที่เปลวไฟกําลังลุกอยู่หลังบ้านว่า “ไฟนอกจากทําอาหาร ได้แล้ว ยังเผาได้ด้วยครับแม่” ซึ่งกว่าแววอัจฉริยะของเขา จะได้รับการยอมรับ บ้านของเขาก็ไฟไหม้ถึง 3 ครั้งด้วยฝีมือเขาเอง
 
แม้เขาจะหูตึงจากอาการป่วยเป็นไข้ดําแดงตั้งแต่เด็ก แต่เขาก็เป็นเจ้าของผลงานต่างๆ ที่จดลิขสิทธิ์ไว้เป็นจํานวน ประมาณ 1,200 ชิ้น และชิ้นที่เป็นเลิศที่สุดคือ ประดิษฐ์ ไส้หลอดไฟ เมื่อเขาคิดค้นและทดลองไปจนถึงครั้งที่ 700 ผู้ช่วยวิจัยก็ขอลาออก เหตุผลคือไม่อยากได้ชื่อว่า เป็น นักวิจัยที่ล้มเหลวพันครั้ง เพราะฉะนั้น จึงขอลาออก
 
เอดิสันไม่ได้ห้ามปราม แต่เขาพยายามอธิบายว่า “มันไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นเพียงการค้นพบวิธีที่ทํา ไม่สําเร็จอีกวิธีหนึ่งต่างหาก” และประโยคนี้เองที่จุดประกายความคิดให้ผู้คนในโลกนี้จำนวนมากเขายังพากเพียรทดลองไปจนกระทั่งครั้งที่9,999
 
ผู้ช่วยวิจัยคนสุดท้ายก็มาลาออกจนไม่เหลือใครเลยสักคน แม้กระทั่งเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ก็ยังดูถูกเขาว่า “เอดิสัน คุณจะทดลองไปจนกว่าจะได้ชื่อว่าผิดหวังหมื่นครั้งใช่ไหม”เขาไม่โต้ตอบ แต่บอกว่า “ไม่แน่นะ ผมอาจจะสมหวังครั้งที่หมื่นก็ได้”ในขณะที่คนอื่นท้อ แต่ผู้ชายคนนี้กลับคิดบวกอยู่ ตลอด และแล้วการทดลองครั้งที่ 10,000 เขาสามารถประดิษฐ์ไส้หลอดไฟได้สําเร็จ แม้จะสว่างได้เพียง 2 วัน
 
แต่สองวันนี้เองที่ทําให้โลกมีหลอดไฟใช้จนถึงทุกวันนี้ กล่าวกันว่าในสมัยก่อนโน้น ทุกๆ ปีในวันครบรอบที่เขาเสียชีวิต ชาวเมืองนิวยอร์กจะนัดกันปิดไฟเป็นเวลา 1 นาทีทั้งเมือง เพื่อไว้อาลัยแด่ชายหูตึงผู้ที่สร้างพระอาทิตย์ ดวงที่สองให้แก่ชาวโลก เห็นหรือไม่ว่า ถึงจะผิดหวังกี่ครั้ง แต่ถ้าไม่ล้มเลิก วันหนึ่งเราก็ต้องประสบความสําเร็จ เพราะ อีกด้านหนึ่งของความล้มเหลวก็คือความสําเร็จ เพียงแค่เราพลิกนิดเดียว ความล้มเหลวจะกลายเป็นความสําเร็จ ได้ไม่ยาก
 
นี่แหละที่เขาเรียกว่า “ความผิดหวังคือนั่งร้านแห่งความสําเร็จ”หลังจากประดิษฐ์ไส้หลอดไฟสําเร็จ มีนักข่าวคนหนึ่งถามเอดิสันว่า “ทําไมคุณจึงมีเวลาคิดค้นอุปกรณ์อะไรได้ มากมายเหลือเกิน”
“ที่ผมมีเวลาล้นเหลือเพราะหูผมตึง เวลามีคนวิจารณ์ ผมไม่ได้ยินเลย จึงไม่เสียเวลามานั่งคิด ได้แต่ทดลองอย่างเดียว”
 
นั่นเป็นการพิสูจน์ว่า นอกจากเราควรมองงานหนักว่าเป็นโอกาสในการฝึกฝนตัวเองให้เป็นมืออาชีพแล้วการที่เราทําเป็นไม่ได้ยิน เอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียบ้าง ก็เป็นประโยชน์ต่อการทํางานไม่น้อย เพราะโดยธรรมชาติของมนุษย์นั้น มักชอบ เอาหูไปรองเกี๊ยะ ของคนอื่นอยู่ เสมอคําว่า เอาหูไปรองเกี๊ยะ เป็นสํานวนที่คิดขึ้นได้หลังจากที่อ่านเรื่องราวของ หลวงปู่บุดดา ถาวโร
 
เล่ากันมาว่า วันหนึ่งหลังจากหลวงปู่แสดงธรรมแล้ว โยมคนหนึ่งนิมนต์หลวงปู่ไปที่บ้าน ระหว่างที่หลวงปู่กําลัง นั่งเก้าอี้และหลับตาอยู่นั้น ลูกสาวเจ้าของบ้านก็เดินลาก เกี๊ยะบนพื้นไม้เสียงดังอยู่ในห้องถัดไป โยมผู้เป็นแม่รู้สึกขายหน้ามาก จึงรีบมากราบเรียน หลวงปู่ว่า “หลวงปู่เจ้าคะ ขออภัยแทนลูกสาวดิฉันด้วย ทั้งๆ ที่รู้ว่าหลวงปู่กําลังพัก แต่ลูกสาวก็ไม่รู้จักกาลเทศะ เดินลากเกี้ยะรบกวนหลวงปู่เสียงดังอยู่ได้”หลวงปู่ลืมตาขึ้นมา “โยม เขาลากเกี้ยะอยู่ห้องโน้น เอาหูไปรองเกี๊ยะทําไม” นี่เป็นเหตุผลที่ทําให้มนุษย์ส่วนใหญ่มีความทุกข์มาก ทั้งที่บางเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องของเราก็ยังไม่วายเอาหูไปรองเกี๊ยะอีก
 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่