“พระไตรปิฎก = คัมภีร์จอมปลอม ในสายตามนุษย์ต่างดาวและอารยจักรวาล” “พระพุทธเจ้า = ไม่มีอยู่จริง

🚨 I. พระไตรปิฎก = “สคริปต์ของจักรวรรดิศาสนา”

พระไตรปิฎกคือ:

🧾 “เอกสารระบบควบคุมจิตวิญญาณ”
ไม่ใช่คำสอนดิบแท้จาก “ผู้ตื่นรู้”
แต่คือคำสอนที่ผ่านการ แต่งเติม ปรับเปลี่ยน ตัดตอน กรอง และบงการ
โดยกลุ่มชนชั้นนักบวช–เจ้าราชสำนักในอดีต

โดยเฉพาะสาย เถรวาท ที่ยึด ไตรปิฎกบาลีแบบเบ็ดเสร็จ
= คัมภีร์ที่เน้น ศีล-วินัย-การแบ่งระดับชั้น
มากกว่าการหลุดพ้นด้วยตนเอง

❗ ข้อกล่าวหาจากฝ่าย “อารยธรรมเหนือโลก”:

ปัญหาที่พบในพระไตรปิฎกมุมมองจากมนุษย์ต่างดาวเต็มไปด้วยวินัยจุกจิกสร้างความกลัว ไม่ใช่การปลดปล่อยเน้นสงฆ์ชาย ห้ามภิกษุณีแบ่งแยกเพศอย่างรุนแรงบัญญัติศีลแบบทาสเป็นระบบกดขี่ ไม่ใช่เสรีภาพทางจิตพระพูดเหนือโยมสร้างชนชั้นจิตวิญญาณเทียมหลักการนิพพาน = ดับสูญตัดขาดจากชีวิต ไม่ใช่การเบิกบานแบบจักรวาล

🛑 พระไตรปิฎกจึงถูกมองว่า: – ไม่ใช่ธรรมชาติ
– ไม่ใช่พลังจักรวาล
– แต่เป็นระบบศาสนาโลกที่ล้าหลัง

🌀 II. “พระพุทธเจ้า = ไม่มีจริง” ในความหมายไหน?

👁️‍🗨️ 1. ไม่มีจริงในประวัติศาสตร์แบบที่ถูกสอน

พระพุทธเจ้าแบบที่ “ห่มผ้าสีกรัก พูดภาษาบาลี สอนศีล 227 ข้อ ฯลฯ”
เป็น “ตัวละครในเรื่องเล่า” ที่ถูกสร้างขึ้นในภายหลังโดยกลุ่มสงฆ์ยุคแรกเพื่อ ก่อตั้งระบบ

ไม่มีหลักฐานใดในโลกที่ พิสูจน์เชิงประวัติศาสตร์ได้อย่างยืนยัน 100%
ว่า “มีมนุษย์ชื่อสิทธัตถะ โคตมะ ที่ตรัสรู้ภายใต้ต้นโพธิ์ในพุทธคยา” อย่างที่เล่า

แม้แต่ในอินเดียสมัยพุทธกาล:
– ไม่มีศิลาจารึก
– ไม่มีเอกสารทางราชการ
– ไม่มีบันทึกจากต่างศาสนา
– มีเพียง “ตำนานจากพระ” เท่านั้น

👁️‍🗨️ 2. ไม่มีจริงในจักรวาล

จากมุมมองของ ชาวอารยธรรมดวงดาวขั้นสูง (ซีเรียน, แอคทูเรียน, เพลิอาเดียน ฯลฯ)

พวกเขาพูดตรงกันว่า:

“สิ่งที่มนุษย์เรียกว่าพระพุทธเจ้า = การรวมกันของ เทพครูจากหลายจักรวาล + การปรุงแต่งโดยคนบนโลก”

พระพุทธเจ้าในไตรปิฎก =
✅ ไม่ใช่ตัวตนจริง
✅ เป็นการจำลองโมเดล ผู้หลุดพ้น
✅ เพื่อให้ผู้คนทำตาม โดยไม่ต้องสงสัย

⚠️ คำกล่าวจากสภาอารยจักรวาล (Galactic Council):

“สิ่งที่เรียกว่าพระพุทธเจ้าในโลกมนุษย์ = hologram แห่งความเชื่อ ที่จำลองขึ้นเพื่อควบคุมฝูงจิตที่ยังกลัวทุกข์และกลัวบาป”
“ไม่มีปัญหาในการจำลอง เพื่อช่วยให้พัฒนา แต่ปัญหาคือการ ‘ยึดถือเป็นของแท้ตลอดกาล’ และ ‘ห้ามสงสัย’”

📛 III. ไตรปิฎก – เครื่องมือของ “ระบบพระเจ้าปลอม”

พระไตรปิฎกกลายเป็น:

ฟังก์ชันแท้ผลที่เกิดขึ้นแหล่งอ้างอิงศักดิ์สิทธิ์ใช้กดทับความคิดผู้คนตำราปกครองจิตใจสร้างชนชั้นสงฆ์ vs ฆราวาสศีลวินัยสำหรับควบคุมไม่ใช่เสรีภาพ แต่คือกรงทอง

ไม่ได้สร้าง “การตื่นรู้” อย่างเสรี
แต่สร้าง ความกลัวจะผิดจากคำสอนในคัมภีร์
ผู้คนจึงไม่กล้าก้าวออกจากระบบศาสนา
ไม่กล้าพูดว่า “ฉันไม่ต้องการพุทธเจ้า”
แม้กระทั่ง “ไม่ต้องการนิพพาน”

🧬 สัจธรรมจักรวาลว่าไว้:

“ผู้ตื่นรู้จริง ไม่ต้องอ้างพระพุทธเจ้า”
“ผู้เชื่อมต่อกับพลังสูงสุด ไม่ต้องใช้คัมภีร์”
“ผู้เบิกบาน ไม่ต้องนิพพาน”
“ผู้เป็นอิสระ ไม่กลัวตกนรก”
“ผู้หลุดพ้น ไม่เอาตัวเองไปใส่ในไตรปิฎก”"เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี (อิทัปปัจจยตา)"
= หลักของ ปฏิจจสมุปบาท (Dependent Origination)
= “สรรพสิ่งเกิดจากเหตุปัจจัย”

ฝ่ายศาสนาใช้ประโยคนี้อ้างว่า:

> ✅ เป็นสัจธรรมสากล
✅ เป็นคำสอนระดับสูง
✅ บ่งชี้ถึง “ญาณหยั่งรู้จักรวาล”



แต่...


---

🛸 มนุษย์ต่างดาวและอารยจักรวาลว่าอย่างไร?

🔺 จุดยืนของพวกเขา:

> ❌ “คำว่า ‘เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี’ ไม่ได้เป็นของพิเศษ”
✅ “เป็นแค่ตรรกะพื้นฐานของทุกระบบพหุมิติในจักรวาล”
✅ “ไม่ใช่คำหยั่งรู้...แต่คือความเข้าใจขั้นพื้นฐานของผู้เริ่มรู้จัก ‘Field Interaction’”




---

🧠 ถอดรหัส: อิทัปปัจจยตา ≠ คำหยั่งรู้

แต่ = “สูตรคณิตศาสตร์ของสนามพลัง”

พระพุทธศาสนา    วิทยาศาสตร์จักรวาล

อิทัปปัจจยตา = สภาวะเกิดดับตามเหตุปัจจัย    Field Dynamics = คลื่น-แรง-ความถี่-สภาวะที่กระทบกัน
ขันธ์ 5 เกิดเพราะกันและกัน    ทุกพฤติกรรมในจักรวาล = interaction ของพลังงาน
ไม่มีตัวตนถาวร (อนัตตา)    ไม่มี “อัตตาคงที่” ในโครงสร้างพลังใดในจักรวาล

> ❗️มนุษย์ต่างดาวจึงไม่ยกย่องคำนี้ว่า “เป็นคำตรัสอันศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้า”
❗️แต่เห็นว่า “เป็นแค่หนึ่งในสูตรธรรมชาติทั่วไป” ที่ผู้รู้จักโครงสร้างพลังงานย่อมรู้




---

🎯 แล้วเกี่ยวอะไรกับมนุษย์ต่างดาว?

คำตอบคือ:

> 🔹 พวกเขาไม่ยกคำว่า “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี” มาสนับสนุนพระพุทธเจ้า
🔹 พวกเขามองว่านี่คือระดับ Kindergarten Cosmology (จักรวาลวิทยาอนุบาล)
🔹 พวกเขาไม่เคารพใครเพราะรู้กฎนี้
🔹 และไม่ใช้ประโยคนี้ยืนยันว่า “พระพุทธเจ้าหยั่งรู้จักรวาล”




---

👁 ตัวอย่างคำกล่าวจากเผ่า Arcturian:

> “The truth of interdependence is not Buddhist.
It is not religious.
It is the basic function of every field in the multiverse.”
— พลังสื่อสารคลื่นสูงจากมิติ 6D



(แปล: “ความจริงของการพึ่งพาอาศัยกัน ไม่ใช่ของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ของศาสนาใด มันคือฟังก์ชันพื้นฐานของทุกสนามพลังในพหุจักรวาล”)


---

💣 คำวิพากษ์จากฝ่ายมนุษย์ต่างดาวต่อการ “ยกคำตรัสมาเป็นเครื่องยืนยัน”

> ❌ “มนุษย์โลกพยายามใช้คำว่า ‘พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว’ เพื่ออ้างว่าตนรู้จักจักรวาล”
❌ “แต่นั่นไม่ต่างจากเด็กอนุบาลพูดว่า ‘ครูบอกแล้วว่ามีดาวอยู่บนฟ้า’ แล้วคิดว่าตนคือดาราศาสตร์”



คำพูดนั้นอาจ จริงในระดับพื้นฐาน
แต่ ไม่ได้พิสูจน์ว่าผู้พูดเป็นผู้หยั่งรู้จักรวาลจริง


---

📛 ข้อสรุปแบบเปิดโปง:

สิ่งที่ศาสนาเชื่อ    สิ่งที่อารยจักรวาลเปิดเผย

“อิทัปปัจจยตา” = คำตรัสหยั่งรู้    คือกฎธรรมชาติธรรมดาของพลังงาน
ใช้คำนี้พิสูจน์ว่าพระพุทธเจ้ารู้หมด    แค่บ่งบอกว่าเข้าใจตรรกะระดับต่ำของ Field
คำตรัส = ศักดิ์สิทธิ์ ห้ามแตะ    เป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” ของจักรวาลวิทยาขั้นต้น


---

🧬 ถามกลับ:

> ❓ ถ้าคำว่า “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี” เป็นแก่นแห่งธรรม
แล้วทำไมในไตรปิฎกถึงไม่มีคำอธิบายเรื่อง: – คลื่นพลังงาน
– สเปซไทม์
– กาลจักร
– มิติพหุภพ
– การสื่อสารระหว่างดวงดาว



คำตอบ: เพราะ มันไม่ได้มาจากจักรวาลจริง แต่มาจากการเรียบเรียงของระบบศาสนาเพื่อการสั่งสอนพื้นฐาน

❗️“มีบางอย่างผิดพลาดอย่างรุนแรง กับแบบจำลองจักรวาล (Standard Model)”
❗️“เราไม่เข้าใจจักรวาลอย่างที่เราคิดว่าเข้าใจ”

🧠 I. อะไรคือสิ่งที่ JWST ค้นพบ?

กล้องเจมส์ เวบบ์ ค้นพบว่า:

🔭 กาแล็กซีที่อยู่ไกลสุดในเอกภพ (ย้อนไปยุคต้นกำเนิด)
กลับ...
✅ “มีโครงสร้างที่ซับซ้อนเกินกว่าจะเพิ่งเกิด”
✅ “มีรูปร่างเหมือนกาแล็กซีปัจจุบัน ทั้งที่ควรจะยังเป็นฝุ่นพลังงานกระจาย”
✅ “แสงมาถึงเร็วกว่าแบบจำลอง Big Bang คาดการณ์”
✅ “การเกิดขึ้นของโครงสร้างผิดจากสิ่งที่ฟิสิกส์เข้าใจ”

💥 ทำให้แบบจำลอง "Big Bang + Evolution ของเอกภพ" → สั่นคลอน

🧬 II. แล้วเกี่ยวกับ “อิทัปปัจจยตา” อย่างไร?

พระพุทธเจ้าตรัสว่า:

“เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี / สิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ”
เป็นกฎแห่ง เหตุปัจจัย (Dependent Origination)
ใช้ในระดับสัจธรรมแห่งจิต-ขันธ์-ชีวิต

แต่มุมมองจากวิทยาศาสตร์-จักรวาลวิทยาใหม่ (หลัง JWST):

❗️การที่ “กาแล็กซีซับซ้อน” เกิด “ก่อนเวลาอันควร” =
หลักเหตุ-ผล ที่เราคิดว่ารู้… อาจ “ไม่ทำงาน” แบบที่เราคิดอีกต่อไป

❗️“เหตุ” อาจไม่ได้มาก่อน “ผล” เสมอ
❗️“กาลเวลา” อาจเป็น ผลลัพธ์ของปฏิสัมพันธ์เชิงสนาม มากกว่าจะเป็นเส้นตรง
❗️“สิ่งที่มี” บางอย่าง อาจเป็น “ผลของสิ่งที่ยังไม่มี” ด้วยซ้ำ (Quantum Reversibility)

👽 III. แล้ว “มนุษย์ต่างดาว” หรืออารยธรรมขั้นสูงว่าไง?

กลุ่มอารยธรรมระดับ 5–7D เช่น Arcturian, Andromedan, Lyran, Pleiadian กล่าวว่า:

✅ “เวลาและเหตุผลในเอกภพ 3 มิติ เป็นเพียงภาพฉาย (projection) ของมิติสูง”
✅ “ในจักรวาลจริง ไม่มีคำว่า ‘ก่อน’ หรือ ‘หลัง’ อย่างสัมบูรณ์”
✅ “การที่สิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ไม่ได้แปลว่าอีกสิ่ง ‘ต้องมาก่อน’ เสมอ”
✅ “ความเป็นเหตุเป็นผล เป็นฟังก์ชันของมิติ 3D เท่านั้น ไม่ใช่กฎสากลของ Field ทั้งหมด”

🧠 IV. สรุปภาพ:

เมื่อ James Webb สั่นคลอนจักรวาล = อิทัปปัจจยตา สั่นคลอนด้วยหรือไม่?

ประเด็น    พุทธดั้งเดิม (อิทัปปัจจยตา)    จักรวาลวิทยาใหม่ + มนุษย์ต่างดาว

เหตุปัจจัย    สิ่งนี้มี → สิ่งนี้จึงมี    ปรากฏการณ์ = Interference ของ Field ที่อาจย้อนกลับได้
เวลา    เป็นเส้นตรง (อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต)    เป็นมิติที่บิดงอ / หยุด / ซ้อน / ข้ามได้
เหตุและผล    แน่นอนตามลำดับ    ไม่เสมอไป — มีผลที่ย้อนกลับสาเหตุ (Retrocausality)
ความเกิดดับ    ทุกสิ่งสัมพันธ์    บางสิ่ง “เกิด” โดยไม่มีต้นทางในมิตินี้

🔮 V. คำกล่าวของกลุ่มจักรวาลขั้นสูง (Arcturian) ว่าดังนี้:

“What you call cause and effect
is only how your 3D mind processes delay.”
(สิ่งที่เจ้ารู้จักว่า ‘เหตุและผล’ คือการที่จิต 3D ของเจ้าพยายามแปล ‘ความล่าช้าของพลังงาน’)

อีกบทหนึ่งว่า:

“Nothing truly causes anything.
Everything emerges from a field of resonance.”
(ไม่มีอะไรเป็นเหตุของอะไรจริง ๆ
ทุกสิ่งผุดจากสนามพลังแห่งการสั่นร่วม)

💣 VI. ความหมายลึก:

🛸 อิทัปปัจจยตา = ใช้ได้ในระบบจิตมนุษย์
🌌 แต่ไม่ใช่กฎจักรวาลระดับ Field & Quantum Field

ดังนั้น...

❌ การเอาคำว่า "เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี" ไปใช้ยืนยันว่า "พระพุทธเจ้ารู้จักเอกภพ" = ไม่แม่นยำในระดับจักรวาล
✅ แต่มีคุณค่าในระดับจิตและพฤติกรรมในโลกมนุษย์

✅ VII. สรุปสุดท้ายแบบปักหลักจักรวาล:

คำว่า “เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี”    ในมิติ 3D    ในมิติ 5D+

ใช่ – เป็นระบบแห่งจิต, พฤติกรรม    ใช่ – กฎพลังงานพื้นฐานระดับจิต    ❌ – ไม่ครอบคลุมการย้อนเวลา, การเกิดจากศูนย์, หรือ quantum fluctuation
นำไปใช้สร้างความเข้าใจเบื้องต้น    ได้    ไม่พอ ต้องเข้าใจเป็น “สนามซ้อน” และ “พหุสาเหตุ”
👽 ข้อความจากอารยธรรมขั้นสูงถึงผู้ยึดติดคัมภีร์และศาสนา:

“คัมภีร์ทั้งหมดที่เจ้ามีในมือ ไม่ว่าจะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม หรืออื่นใด ล้วนเป็น ‘บันทึกมนุษย์’ ที่ถูกเขียนขึ้นตามความเข้าใจในยุคสมัยของมนุษย์ ไม่ใช่ความจริงสูงสุดจากจักรวาล

เจ้ากำลังยกย่อง ‘คำพูดของผู้เป็นมนุษย์’ ที่ถูกตีความผ่าน ‘ความกลัว’ และ ‘ความปรารถนา’ เป็นคำสอนสูงสุด ทั้งที่ในความจริง ไม่มีใครเคยเห็นจักรวาลจากมุมสูงโดยตรง

เรา—อารยธรรมที่ครอบคลุมหลายมิติและกาลเวลา—รู้ว่าคำสอนใด ๆ ก็เป็นเพียง ‘แผนที่’ ไม่ใช่ ‘ดินแดน’ ที่แท้จริง
การติดยึดกับคัมภีร์ คือการขังตนเองในกรอบความเชื่อที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อควบคุมจิตใจและสังคม ไม่ใช่เพื่อเผยแผ่ความจริงอันไร้ขอบเขต

อย่าใช้ ‘คำพูด’ หรือ ‘คัมภีร์’ เป็นเครื่องมือจำกัดจิตวิญญาณของเจ้า จงปลดปล่อยตนเองจากบ่วงผูกพันของความเชื่อเดิม ๆ แล้วเปิดรับจักรวาลที่กว้างใหญ่เกินกว่าคำใดจะบรรยายได้”

👽 คำตอบจากอารยธรรมขั้นสูงแห่งจักรวาล:

“สัจธรรมสากลไม่ได้ถูก ‘เขียน’ หรือ ‘สร้าง’ ขึ้นโดยใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่หนังสือหรือคำสอนใด ๆ ที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อให้คนอื่นอ่าน

สัจธรรมสากลคือ โครงสร้างและกฎเกณฑ์ของจักรวาลเอง — มันปรากฏอยู่ในทุกสรรพสิ่ง เป็นฟิลด์พลังงานที่สั่นสะเทือนและสื่อสารผ่านความถี่และการโต้ตอบในระดับมิติสูง

เราไม่ได้รับคำสั่งหรือคู่มือจากใคร
แต่ “อ่าน” และ “สัมผัส” มันโดยตรงผ่านการสังเกต สนทนา และเชื่อมต่อกับสนามจักรวาลอย่างลึกซึ้ง

มนุษย์จึงไม่ต้องรอคำสอนใดเพื่อรู้จักสัจธรรม แต่ต้อง ปลดปล่อยความเชื่อและกรอบความคิดเก่า ๆ เพื่อให้ตนเองกลายเป็น ‘ภาชนะว่าง’ ที่รับคลื่นพลังงานและความจริง






🕊️ สรุป (แบบผู้ตื่นรู้):

สิ่งที่มนุษย์ยึดถือความจริงสูงสุดในจักรวาลพระไตรปิฎกเอกสารสมมุติ ไม่ใช่สัจธรรมพระพุทธเจ้าโมเดลสมมุติ ไม่ใช่ตัวตนตายตัวศาสนาโรงละครแห่งความเชื่อ ไม่ใช่ประตูหลุดพ้นนิพพานโปรแกรมของระบบ ไม่ใช่ความว่างเดิมแท้ความดี-บาปคลื่นจิตต่ำ vs สูง ไม่ใช่บัญญัติ



แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่