ภาษีรถยนต์นำเข้า คุ้มครองผู้ผลิตในประเทศ แต่ไม่คุ้มครองประชาชน ต้นตอราคารถยนต์แพงทั้งประเทศ

ราคารถยนต์ในประเทศไทยของพวกเรานั้นแพงมากๆ แพงแบบฉีกประเทศโลกที่หนึ่งที่ค่าแรงสูงกว่าเราหลายเท่าไปไกล ทั้งๆที่เรามีฐานการผลิตภายในประเทศ

ไม่ว่าจะเป็นรถญี่ปุ่นที่ประกอบในประเทศแท้ๆทั้งคันก็แพง หรือรถยนต์นำเข้าทั้งคันก็ยิ่งแพงเข้าไปใหญ่ ซึ่งอันหลังมันเข้าใจได้ว่าเพราะภาษีนำเข้าที่รัฐจัดเก็บ แต่เรื่องที่จะมาระบายวันนี้ จะเน้นไปที่รถญี่ปุ่นและรถยุโรปที่ประกอบในประเทศไทย ว่าทำไมมันต้องแพง และจะบ่นเรื่องภาษีรถนำเข้าของรัฐบาลอีกนิดหน่อย

ตอนแรกผมก็คิดว่าคงต้องทำใจแหละที่เราเกิดมาในประเทศที่ใช้พวงมาลัยขวาซึ่งเป็นตลาดกลุ่มเล็กกว่าพวงมาลัยซ้าย แต่เดี๋ยวก่อน เรามีญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศแห่งยานยนต์ที่ใช้พวงมาลัยขวาเหมือนกันนะ แต่ทำไมตัวเลือกให้คนไทยได้เลือกซื้อมันถึงน้อยนิดและทำไมราคามันถึงแพงเหลือเกิน เหมือนในอีกแง่มุมหนึ่งการเป็นพวงมาลัยขวาบวกกับการตั้งภาษีรถยนต์นำเข้าของรัฐบาลนำพาเรามาสู่จุดนี้ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงยิ่งรถราคาสูงก็ยิ่งโดนภาษีน้อย เพราะรถเหล่านั้นเป็นระบบ Hybrid ซึ่งได้เกณฑ์ภาษีสรรพสามิตถูกกว่าเยอะ(โดยเฉพาะถ้าเทียบกับรถเครื่องใหญ่เพียวๆไม่มี Hybrid ที่ปล่อยมลพิษเยอะ) ตอนแรกผมก็คิดว่าคงเป็นเพราะราคาแบตมันแพงมั้ง แต่ก็ต้องตัดข้อนี้ทิ้ง เพราะเราเทียบราคาจากต่างประเทศในรุ่นย่อยเดียวกัน เป็น Hybrid เหมือนกัน แถมส่วนใหญ่ก็ใช้แบตลูกเล็กๆ

อัตราการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตของรถ Hybrid เรทต่ำสุดอยู่ที่แค่ 4% เท่านั้น ซึ่งเป็นเรทที่หลายคันโดน บางส่วนก็โดนภาษีสรรพสามิตแค่ 8% และรวมกับภาษีมหาดไทย ซึ่งคิดเป็น 10% "ของภาษีสรรพสามิตที่เสีย" (ไม่ใช่ของราคารถทั้งหมด) และมี VAT อีก 7% ของราคารวมทั้งหมด ราคารถประกอบในประเทศไทยมันต้องแพงกว่าชาติอื่น 40-100% เลยเหรอครับ เช่น ราคาในญี่ปุ่น 600k รถประกอบในไทยแท้ๆขาย 1m หรือรถราคา 800k ผลิตและขายในไทย 1.2m หรือพวกรถ Sedan ใหญ่ญี่ปุ่นตัวท็อป ขายนอก 1.1m ขายไทย 1.8m ราคาที่ใช้คิดภาษีทั้งหมดน่าจะใช้ราคาต้นทุนจากหน้าโรงงานด้วย(ไม่ได้ใช้ราคาขายปลีกคิด) แต่อาจจะเป็นสัดส่วนที่กำหนดไว้จากราคาขายปลีก เช่น ราคาที่ใช้คิดห้ามต่ำกว่า 80% ของราคาขายปลีก(อันนี้ตัวเลขสมมุตินะ ผมก็ไม่ทราบข้อเท็จจริง) แต่ขนาดหักภาษีที่รัฐเก็บออกแบบคร่าวๆจากราคาขายปลีก ยังเหมือนจะมีมาร์จิ้นเยอะมากๆเลย

ตัวอย่างที่ว่าไปข้างต้นนี้ เป็นรถที่โดนสรรพสามิตแค่ 4% เท่านั้น แล้วชาติที่ขายรถราคาถูกกว่าเรานี่ค่าแรงแพงกว่าเราหลายเท่า ในขณะที่ค่าแรงเราถูก ซึ่งมีความหมาย 2 ด้านคือ 1)โรงงานของเรามีต้นทุนในการผลิตน้อยกว่า 2)กำลังซื้อภายในประเทศเราก็น้อยกว่าแต่ดันขายแพงกว่า นอกจากนี้ยังอาจโดนตัดอ๊อฟชั่นหลายอย่างออก รวมถึงอ๊อฟชั่นด้านความปลอดภัย อาจจะไม่ได้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD ด้วย อาจจะโดนลดต้นทุนด้านวัสดุลงอีก ดีไม่ดีปกติควรจะได้ใช้เครื่อง V6 ที่ราคารถรุ่นย่อยท็อปสุดที่เขาขายตามราคาปกติกันแล้ว จะเห็นได้ว่าภาษีที่รัฐเก็บมันก็ไม่ได้แพงเลย มีแต่ภาษีจะถูกลง ดังนั้นที่พูดๆกันว่ารถญี่ปุ่นประกอบในประเทศขายแพงเพราะรัฐเก็บภาษีแพงมันไม่จริงเลย หรือจะบอกว่าเพราะเงินเฟ้ออีก จริงๆราคามันแพงมานานแล้วครับ

เอาจริงๆต่อให้ไม่เป็น Hybrid ภาษีสรรพสามิตมันก็ไม่ได้แพงขนาดนั้น เช่นพวกรถ PPV ผมเช็คข้อมูลแล้วก็ราวๆ 20% ไม่น่าจะทำให้ราคาขายเกือบทะลุ 2m ได้เลย หลายๆคนยังเข้าใจผิด คิดว่าแพงเพราะภาษี เพราะน่าจะสับสนกับรถยนต์นำเข้าทั้งคัน ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับรถประกอบในประเทศไทยเลย พวกรถยนต์ขนาดเล็ก/กลางที่ไม่ได้เป็น Hybrid ก็โดนแค่ 12% เอง(มีรถบางส่วนโดน 25-30% แต่เขาก็ทำราคาขายให้เท่าๆกับรถ Hybrid ในคลาสคู่แข่งเดียวกันได้ แค่ยอมเอากำไรน้อยลง แต่เข้าใจว่าเดี๋ยวก็คงเอาตัว Hybrid มาขายแทนแล้ว) รถไซส์เล็กในอีกไม่นานก็คงจะถูกใส่ระบบ Hybrid เพิ่มเข้าไป แต่ก็จะถูกดันราคาขายให้แพงกว่าเดิมเพราะจะกลายเป็นรุ่นย่อยท็อปกว่าเดิม เมื่อก่อนรถผลิตในประเทศอาจจะโดนเก็บภาษีสรรพสามิตแพงจริง แต่พอปรับเกณฑ์เก็บภาษีใหม่ ก็ไม่เห็นจะยอมขายราคาถูกลง แถมอาจขึ้นราคาด้วยซ้ำ ดังนั้นค่ายรถเหล่านี้สมควรจะถูกปกป้องว่าขายแพงเพราะภาษีได้หรือไม่

ส่วนใหญ่รถที่ขายราคาแพงเกินไปมาก จะเป็นพวก Hybrid ที่โดนภาษีน้อยๆ แต่ขายความหรูและไฮเทค ดันรุ่นไฮบริดเป็นตัวรุ่นท็อป อัดอ๊อฟชั่นให้เยอะสุด ตัดอ๊อฟชั่นจากรุ่นล่างๆที่เป็นเครื่องยนต์ล้วนออก เพื่อจูงใจให้คนเลือกซื้อรุ่นไฮบริดที่เป็นราคาท็อปสุด แต่ในความเป็นจริงรถในกลุ่มนั้นรัฐจัดเก็บอัตราภาษีสรรพสามิตต่ำที่สุด รุ่นล่างๆที่ไม่ใช่ไฮบริดโดนภาษีเยอะกว่าพอสมควร แต่ก็ทำราคาให้เป็นรุ่นย่อยต่ำกว่าได้ แน่นอนว่ารุ่นย่อยที่ไม่ใช่ไฮบริดน่าจะถูกยกเลิกการขายไปเรื่อยๆ ถ้าไม่เชื่อผม สามารถไปเช็คอัตราภาษีสรรพสามิตได้ที่เว็บ car.go.th ของรถแต่ละรุ่นได้เลยครับ รถ EV 100% จีนบางรุ่น(ส่วนน้อย) และ Tesla ที่ไม่ได้เซ็น MOU กับรัฐบาลเสียภาษีสรรพสามิต 8% มากกว่ารถไฮบริดญี่ปุ่นหลายๆรุ่นที่เสีย 4% ด้วยซ้ำ ดังนั้นที่บอกว่ารถไฟฟ้าไม่เสียภาษีเลยขายถูกกว่ามันไม่จริงเสมอไป อย่าง New Model Y เหมือนราคาบ้านเราจะขายถูกกว่าอังกฤษที่เป็นพวงมาลัยขวาเหมือนกันนะครับ (ไม่แน่ใจว่ากำแพงภาษี UK แพงรึเปล่า แต่ยังไงค่าแรงเขาซื้อได้สบายๆแน่นอน) ถึงอย่างนั้นราคาบ้านเราก็แพงกว่าของออสเตรเลียอยู่ดี แต่เมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นที่แพงกว่ามันน้อยกว่าที่รถญี่ปุ่นและรถยุโรปขายให้คนไทย ถึงแม้ว่าราคาในบางประเทศจะยังไม่รวม VAT หรือมีค่าจดทะเบียนแพงกว่าก็ตาม

รถยุโรปเองก็ใช่ย่อย เมื่อก่อนที่มันแพงมากๆก็เข้าใจได้ เพราะรัฐเก็บภาษีรถนำเข้า 80% มันแพงจริงๆ รวมๆกับภาษีสรรพสามิตเมื่อก่อนที่เก็บกับรถเครื่องใหญ่ๆมันก็อีกหลายสิบ% รวมๆแล้วจะทำราคารถคูณ 2-3 จากราคาที่ควรจะเป็น แต่ตอนนี้รถยุโรปเองก็เริ่มใช้โรงงานในไทยประกอบรถมาสักพักใหญ่แล้ว แม้ว่า(เท่าที่ผมเข้าใจ)อาจจะต้องนำเข้าชิ้นส่วนหลายอย่าง แต่ก็น่าจะประหยัดค่าภาษีไปได้เยอะ เพราะยังไงก็มีกฎหมายกำหนดอยู่ดีว่าห้ามนำเข้าชิ้นส่วนไม่เกินเท่าไหร่ต่อคัน อีกทั้งรถยุโรปก็มีระบบ Hybrid แถมเป็น PHEV ด้วย(ปีหน้าอัตราภาษีสรรพสามิตจะต่ำลงอีก ถ้าวิ่งไฟฟ้าล้วนได้เกิน 80km)

เราจึงเริ่มเห็นราคารถยุโรปลดลงสำหรับรุ่นที่เคยเป็นการนำเข้าแบบ CBU และมีการประกอบในไทยในภายหลัง อย่างที่ทุกคนเห็นว่ารถญี่ปุ่นดันราคาขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่รถยุโรปสวนทางมีการปรับราคาลงมาบ้าง ถึงอย่างนั้นตอนนี้ราคารถยุโรปก็ยังแพงมากอยู่ดีเมื่อเทียบกับราคาในต่างประเทศและค่าแรงของเรา บางทีเอามาลดล้างสต็อกกันเกือบ 2m ได้เลย เมื่อมาถึงจุดๆหนึ่งที่แบรนด์ผู้ผลิตทั้งญี่ปุ่นและยุโรปที่ใช้โรงงานประกอบรถในไทยตั้งฐานราคาได้แล้วและไม่คิดจะปรับลดลงอีก บางทีเราอาจจะต้องใช้รถราคาแพงๆแบบนี้ไปอีกนานแสนนาน ผมมั่นใจได้เลยว่าเขาคงไม่คิดจะลดราคาไปมากกว่านี้ เพราะเป็นการทำลายภาพลักษณ์ความเป็นแบรนด์ Luxury ของตัวเอง ไม่ต่างอะไรกับการทุบหม้อข้าวตัวเอง Luxury ของคนไทย = ราคาต้องแพง มันจะได้เป็นเครื่องมือแสดงความรวย วิ่งบนถนนน้อยๆอาจจะเป็นผลดีกว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และก็ถูกพิสูจน์แล้วด้วยว่าจริง โดยการที่แบรนด์ยุโรปแบรนด์หนึ่งนำเข้ารถไฟฟ้าล้วนจากจีนซึ่งไม่โดนภาษีนำเข้า และโดนสรรพสามิตที่ 8% เท่านั้น แต่ตั้งราคาขายแพงกว่าราคาในประเทศจีนเป็นล้านบาท (ต่ำกว่า 1.5m มาไทยเป็น 2.5m) ซึ่งราคาที่เราเห็นขายในจีน มันคือราคาที่โชว์รูมขาย(ยังไม่ได้รวมส่วนลดที่ต่อราคา) เป็นราคาขายที่เขาได้กำไรแล้วด้วยซ้ำ ไม่ได้เป็นราคาต้นทุนหน้าโรงงาน ถึงแม้จะเป็นของพวงมาลัยซ้ายก็เถอะ

ทีนี้ความพีคมันคือการที่รถจีนเข้ามาทำตลาดในไทย คนไทยจะมีอคติไว้ก่อนเสมอ ว่ารถจีนห่วย ไม่ควรขายแพง เทียบดูจากราคารถจีนที่ขายในจีนจากสื่อแล้วเจอราคาในไทยขายแพงกว่า 200k-500k มีแต่คอมเม้นท์ด่ารถจีน แชร์ไปด่าทอและดูถูกสารพัด ทั้งๆที่รถจากทุกแบรนด์ที่ขายในไทยแทบจะทุกช่วงราคามันขายแพงกว่าที่ควรจะเป็นหมด ถ้าผมเป็นค่ายรถจีนมาขายในไทยคงงง ด่าว่าอั้วขายแพงแต่รถญี่ปุ่นประกอบประเทศลื้อแท้ๆก็ขายแพงเหมือนกัน ประเทศลื้อขายรถญี่ปุ่นประกอบในประเทศแพงกว่าในประเทศอั้ว 50-150%

ถ้ามีเพจแชร์เรื่องแย่ๆจากศูนย์บริการที่เกิดกับลูกค้าที่ซื้อรถจีนอันนี้ผมโอเคนะ เพราะเป็นการสร้าง Awareness ให้คนที่กำลังสนใจรถจีนได้รับทราบข้อมูล และกระตุ้นให้แบรนด์เขาพัฒนาเพื่อรักษาหน้า แต่ถ้าด่าแบบเหมารวม ด่าแบบไม่มีเหตุผล ด่าด้วยความอคติอันนี้ไม่โอเค เราต้องปกป้องผลประโยชน์ของเราโดยการเปิดกว้างให้มีการแข่งขันมากขึ้น ไม่ใช่ผลักไสไล่ส่งแบรนด์ที่ยังไม่ได้เวลาพิสูจน์ตัวเองมากพอ ประเทศไทยเราดีอย่างที่ใช้พวงมาลัยขวา คือไม่มีโอกาสที่จะโดนของย้อมแมวหรือของค้างสต็อกจากจีนมาเลขายถูกๆ (แต่ถ้าโดนแกะแบตเก่าไปใส่รถใหม่มาขายก็ตัวใครตัวมันครับ)

จริงๆผมก็ตามหาข้อมูลมาตลอดว่าทำไมรถยนต์ในไทยราคาถึงแพง ได้อ่านความคิดเห็นของคนหลายคนที่พูดถึงรถจีน ซึ่งส่วนตัวผมมองว่าบางอย่างตรรกะมันวิบัติมากครับ เช่นรถปลั๊กอินไฮบริดจีนราคา 900k กับรถไฮบริดญี่ปุ่น 1.6m ในรถขนาดเดียวกัน(ราคาต่างกันเยอะ แต่ประกอบไทย และโดนสรรพสามิต 8% เหมือนกัน) รถจีนเป็น Hybrid แบบวิ่งไฟฟ้าล้วนได้ แบตไฮบริดลูกใหญ่กว่าเปิดแอร์นอนในรถได้ แถมอ๊อฟชั่นเยอะกว่า

บางคนบอกว่ารถญี่ปุ่นวิ่งกันยัน 20 ปีเลยแพง รถญี่ปุ่นทนทานมาก ศูนย์บริการเยอะ ราคาขายต่อตกน้อยกว่า ซึ่งมันก็อาจจะจริง แต่โทษนะครับ คุณประหยัดเงินไปเลย 700k ตอนนี้ไม่ดีกว่าเหรอครับ ยิ่งผ่อนแพงยิ่งโดนดอกแพง ต่อให้ราคารถที่ตกคิดเป็น % น้อยกว่า แต่ราคาต้นมันก็แพงกว่าเยอะ ถ้ารถญี่ปุ่นพังที่ 20 ปี รถจีน 10 ปี ผมเอาเงิน 700k ไปลงในกองทุนที่ให้ปันผลหรือลงดัชนีหุ้นเมกาที่ให้ผลตอบแทน 7-8% ต่อปีแบบไม่เสี่ยงเป็นเวลา 10 ปี ตอนรถพังผมน่าจะได้ออกรถจีนคันใหม่ฟรีๆ 2 คัน เผลอๆอีก 10 ปีให้หลังได้ใช้แบต solid state แถมมี solar cell ติดบนหลังคาแล้ว แถมยังไงซากรถกับแบตก็มีราคาขายต่ออยู่ดี ถ้าบอกว่ามันไม่ทน หรืออาจจะต้องรอซ่อมรออะไหล่นาน แบ่งเงินที่ประหยัดไปตรงนั้นแล้วเรียกรถนั่งไปทำงานทุกวันเป็นเดือนยังได้เลย(แต่ทางที่ดีอย่าซ่อมนานหรือบ่อยเลยดีกว่า อันนี้พูดถึง worst case scenario ว่าถ้าเป็นผมคงพอรับได้ แต่ต้องมีชดเชยให้ หรือถ้าให้ดีมีรถให้ใช้ระหว่างรอซ่อมด้วย)

ถ้าหวังจะใช้รถยัน 20 ปี ยังไงก็ต้องเปลี่ยนแบตลูกใหม่หรืออาจจะชุดแปลงไฟ/ชุดควบคุมระบบไฮบริดอีกด้วย ผมถามจริงๆว่าคุณอยากใช้รถยัน 20 ปีจริงเหรอครับ ถ้ารถใหม่มันราคาไม่แพงคุณจะไม่อยากเปลี่ยนใหม่เหรอ เหมือนมาบอกว่าคนตัวสูงเพราะเล่นบาส หรือเป็นเพราะตัวสูงเลยเลือกเล่นบาส คุณใช้รถนานเพราะรถใหม่ราคาแพง ไม่ได้ใช้รถนานเพราะเลือกที่จะใช้(ถ้ารถใหม่มันไม่แพง) ถ้าบอกว่าอ๊อฟชั่นเยอะคือไม่ดี เดี๋ยวมันจะพังเอา คือมีให้มันก็ดีกว่าไม่มีไหมครับ ถ้าอ๊อฟชั่นล้นๆที่ค่ายญี่ปุ่นไม่ได้ให้มันพังตอนหมดประกันแล้วก็คิดซะว่าอันนี้มันไม่มีแต่แรก ตราบใดที่มันไม่ได้ส่งผลต่อการขับขี่หรือการใช้งานด้านอื่นๆ (อย่าลืมว่าอันนี้เราประหยัดเงินไปแล้ว 700k ตั้งแต่แรก ถ้าคุณจ่ายเพิ่ม 700k เพื่อซื้อรถญี่ปุ่นมันก็ไม่มีให้เหมือนกัน ไม่ใช่มาอวยรถจีนนะครับ แค่งงกับตรรกะของใครหลายๆคน) อีกอย่างก็ไม่ใช่ว่ามันจะหมดโอกาสซ่อมซะหน่อย โดยเฉพาะถ้ายังมีประกัน หรือถ้าคุณกลัวว่าแบรนด์จะเจ๊งแล้วโดนลอยแพ อันนี้ก็ต้องทำการบ้านก่อนซื้อครับ ไม่มีใครรู้อนาคต ถ้าไม่ยอมเสี่ยงกับแบรนด์ใหม่ ก็ต้องยอมควักกระเป๋าจ่ายเงินมากกว่าเพื่อซื้อความสบายใจ แต่ถ้าราคามันต่างกันขนาดนี้ เป็นผมจะยอมเสี่ยงครับ เพราะราคาที่ประหยัดไปเกือบซื้อใหม่ได้อีกคันแล้ว

มีต่อโพสด้านล่างครับ เนื่องจากเกินลิมิต 10000 ตัวอักษร
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่