หากคุณเคยรู้สึกว่า “ฉันไม่พอดีสำหรับระบบ” บางที…คุณอาจแค่ “พอดี” สำหรับโลกที่ใหญ่กว่านั้นก็ได้



เด็กคนนี้สมัครมหาวิทยาลัย 18 แห่ง… โดนปฏิเสธ 16
แต่วันนี้ เขาได้ทำงานกับ Google แล้ว ทั้งที่ยังไม่ได้จบมหาวิทยาลัย

นี่คือเรื่องของ Stanley Zhong เด็กหนุ่มสายคอมฯ
ที่กำลังเขย่าระบบการศึกษาของอเมริกาให้ต้องหันกลับมาทบทวนว่า…

“เรากำลังรับใครเข้ามหาวิทยาลัยกันแน่ ? ”

Stanley เป็นเด็กอเมริกันเชื้อสายเอเชียจากรัฐแคลิฟอร์เนีย
เขาไม่ได้แค่เรียนเก่งธรรมดา แต่เก่งระดับประเทศ

📍  GPA 4.42 SAT 1590
📍  ติดอันดับ Top 1% ของ USA Computing Olympiad (ระดับ Platinum)
📍  สร้างแพลตฟอร์มเซ็นเอกสารออนไลน์ฟรีชื่อ RabbitSign ตั้งแต่ ม.ปลาย
📍  เข้ารอบรองฯ Google Code Jam และคว้าอันดับ 2 ใน MIT Battlecode

ใครๆ ก็มองว่า… เด็กแบบนี้  “ยังไงก็ต้องติด Stanford หรือ MIT แน่นอน” !!!

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ…

❌❌❌❌   MIT, Carnegie Mellon, Stanford, UC Berkeley, UCLA, UC San Diego, UC Santa Barbara, UC Davis, Cal Poly San Luis Obispo, Cornell University, University of Illinois, University of Michigan, Georgia Tech, Caltech, University of Washington, และ University of Wisconsin ....................... ไม่มีที่ไหนรับเลย !!!!

☑️  มหาวิทยาลัยที่ ได้รับการตอบรับ (2 แห่ง)

✔️ University of Texas at Austin
✔️  University of Maryland

🔴   ตอนแรก Stanley ไม่ได้ฟ้อง ไม่ได้บ่น ไม่ได้โวยวาย
เขานั่งเฉยๆ และเริ่ม “ลอง” สมัครงานกับบริษัทใหญ่ ๆ แทน
(ข่าวล่าสุด  น้องและครอบครัวกำลังฟ้องมหาวิทยาลัย)

แล้วอยู่ดี ๆ วันหนึ่ง
----------
Google ก็ตอบรับให้เขาเป็น Software Engineer ระดับ L4
ถือเป็นระดับที่สูงกว่าระดับ entry-level ปกติ (L3)
และมักจะได้รับโดยผู้ที่จบปริญญาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ หรือมีประสบการณ์ทำงานมาแล้ว
แต่นี่คือ “ข้อยกเว้น” ที่ Google มอบให้สำหรับ ประสบการณ์และฝีมือจริงของ Stanley ...
.
เขาได้มันมา ทั้งที่ไม่มีปริญญา ไม่มีชื่อมหา’ลัยอะไรการันตี
มีเพียง “ฝีมือที่พิสูจน์ได้จริง” ....
.
สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นไวรัลไม่ใช่แค่เพราะเขาเก่ง
แต่เพราะมันทำให้คนทั้งโลกต้องหันมาถามคำถามว่า…
.
“ทำไมเด็กที่เก่งที่สุด…ถึงไม่ได้รับโอกาสจากมหาวิทยาลัย?”
“ระบบ Admission ใช้อะไรตัดสินเด็กกันแน่?”
“แล้ว merit หรือความสามารถล่ะ? ยังมีค่าอยู่ไหม?”
.
Stanley บอกในคลิปสัมภาษณ์ว่า
".... เขาไม่ได้คิดว่าตัวเองจะต้องติดทุกที่
แต่แค่รู้สึกว่า “อย่างน้อยมหาวิทยาลัยรัฐก็น่าจะมีที่ให้ผม…”

ประโยคนั้น…เบาๆ แต่เจ็บลึก....
.
และมันสะท้อนใจเด็กเก่งทั่วอเมริกาที่กำลังรู้สึกว่า…
.
“ ฉันต้องพิเศษแค่ไหน ถึงจะได้โอกาส? ”
“ หรือเราต้องเป็นสิ่งอื่น ที่ไม่ใช่ตัวเรา? ”
.
ในวันที่ระบบการศึกษาเริ่มไม่ให้รางวัลกับ “ความสามารถ”
ในวันที่เด็กเก่ง  กลายเป็นคนชายขอบของระบบ ....  
ในวันที่ “ฝีมือ” ไม่การันตี “โอกาส”  ....
.
เด็กคนนี้…เลือกเดินไปอีกทาง
.
ไม่ได้ติดมหาวิทยาลัย แต่ได้เข้าทำงานกับ Google
ไม่มีวุฒิการศึกษา แต่มีผลงานจริง
ไม่มีชื่อเสียงจากระบบ แต่มีคุณค่าที่โลกจริงมองเห็น
.
และบางที…นั่นต่างหากคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
.
ไม่ใช่ปริญญา
ไม่ใช่สถาบัน
แต่คือ “สิ่งที่คุณสร้างขึ้นจริง”
.

“คุณค่าของเราจะไม่ได้ถูกนิยามด้วยมหาวิทยาลัยที่เราติด
แต่ด้วยผลงานที่เราทำให้โลกเห็นจริง ๆ ต่างหาก”
.
Stanley Zhong, เด็กที่มหา’ลัยไม่เอา…แต่ Google ขอจ้างทันที
.
หากคุณเคยรู้สึกว่า “ฉันไม่พอดีสำหรับระบบ”
บางที…คุณอาจแค่ “พอดี” สำหรับโลกที่ใหญ่กว่านั้นก็ได้

=====

ทีนี้มาดูมุมมองมหาวิทยาลัยกันบ้าง
“ ทำไมถึงไม่รับ?“
(ความคิดส่วนตัว ไม่ใช่เหตุผลของมหาวิทยาลัย)

“มหาวิทยาลัยไม่ได้ปฏิเสธคุณ เพราะคุณไม่เก่ง
แต่เขาแค่ไม่ได้มองหา ‘คนแบบคุณ’ ในปีนั้นเท่านั้นเอง

1. เก่งแบบซ้ำซ้อน (Overrepresented)
เด็กเอเชียเก่งคอม โปรเจกต์จัดเต็ม SAT 1590 แบบนี้มี “เยอะมาก” ในระบบ --> ไม่ใช่คนที่โดดเด่นพอในสายตา Admission
"เก่งแบบเดียวกับคนอื่นอีกเป็นพันคน อาจไม่ได้เปล่งประกายในระบบที่อยากได้ความหลากหลาย"

2. ขาด Narrative ที่กินใจ
แม้ผลงานจะสุดยอด แต่ไม่มีเรื่องราวชีวิตที่สะเทือนใจหรือเปลี่ยนโลก --> ไม่ดึงดูดในยุคที่ Essay สำคัญกว่าคะแนน
มหาวิทยาลัยชั้นนำอยากได้เด็กที่ “มีเรื่องเล่าชีวิต” เช่น ฝ่าฟันความยากจน, ช่วยชุมชน, มีมุมมองที่เปลี่ยนแปลงโลก
"เก่งมากไม่พอ ถ้าไม่มีเรื่องราวที่โลกอยากฟัง"

3. ระบบ Holistic Review เน้นความหลากหลาย
ไม่ใช่แค่คะแนนสูง แต่ต้องมีภูมิหลังเฉพาะตัว --> Stanley ถูกมองว่ามี privilege มากเกินไป

คนที่มาจากโรงเรียนท็อป, เขียนโค้ดตั้งแต่ม.ต้น, พ่อผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ที่ Google, ฐานะทางบ้านมั่นคง ฯลฯ
ถูกมองว่าไม่ใช่ “กลุ่มด้อยโอกาส” ที่ต้องการโอกาสจากระบบ
ในยุคที่มหาวิทยาลัยพยายาม “คืนสมดุลให้ผู้ด้อยโอกาส” เด็กแบบ Stanley อาจไม่ใช่คำตอบ
"เด็กที่คะแนนต่ำกว่า แต่มี "บริบท" ที่เข้มข้นกว่า อาจได้รับเลือกแทน"

4. ไม่ตรงกับเป้าหมายสถาบัน
แต่ละมหาวิทยาลัยมีภาพของ “เด็กที่ต้องการ” ที่ต่างกัน --> เก่งไม่พอ ต้องตรงจริตด้วย
"ไม่ใช่เรื่องของเก่งไม่เก่ง แต่เป็นเรื่องของ ‘ตรงกับสิ่งที่เขาต้องการหรือเปล่า’"

5. อาจโดน Yield Protection
บางที่กลัวว่าเขาจะไม่มาเรียน
--> ไม่รับเพื่อลดความเสี่ยงต่ออันดับ Ranking

สรุป

“Stanley ไม่ได้พลาดเพราะไม่เก่ง แต่เพราะไม่ใช่   "คนที่ระบบอยากได้"
โชคดีที่โลกแห่งความจริง  Google มองเห็นสิ่งที่ระบบไม่เห็น และจ้างเขาโดยไม่ต้องมีวุฒิ


ปล.
ประเทศไทย มีไหม ?
เคยเกิดเหตุการณ์นี้ที่คณะแพทย์แห่งหนึ่งมาแล้ว
เด็กคนนึง Profile ดีเลิศ สมัครเข้ารอบพอร์ต สุดท้าย "ไม่ได้"
อาจารย์ให้เหตุผลว่า "ชีวิตราบเรียบเกินไป ไม่เคยผิดหวังมาก่อน" .....
สุดท้าย น้องไปสมัครรอบสอง แล้วก็สอบเข้าไปได้.....

Cr.   Aun Theeraphat

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่