
"เราจะทำตามสัญญา...ขอเวลาอีกไม่นาน..."
หลายเดือนก่อนหน้านี้ หากความรู้สึกที่ได้ยินเพลงนี้หลอกหลอนเราตอนเช้าเย็นเป็นเช่นไร ต่อให้เนื้อเพลงดีเพราะและมีประโยชน์เช่นไร ใครจะใส่ใจไปมากกว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจจริงๆ พอกันกับทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า "คายอ้อ" ในหนังซ้ำๆ ย้ำๆ เพื่อตบกบาลของผู้ชมว่า นี่มันคือเวิร์สของ "คายอ้อ" ที่ตอกย้ำให้ "ต้องเชื่อ" แบบตรงๆ โดยไม่ต้องมาถามหาเหตุและผล จนต้องแปะสามคำมาย้ำในชื่อเรื่อง "ลบหลู่ ศรัทธา อาถรรพ์" พอปานกับตอนที่ปู่ผมบอกตอนเด็กๆ ว่า "อย่ากินหัวปลา มันสิปึก" เราเห็นปู่กินไส้ กินหัวปลาอย่างอร่อย อยากกินก็อยาก สงสัยก็สงสัย "เอ้า แล้วปู่บ่ย่านปึกรึ คือทรงแซ่บแท้" ปู่ก็ตอบด้วยเหตุผลที่ชวนให้ผมอยากจะยืนเยี่ยวรดพาข้าวแลงมาก "กูเฒ่าแล้ว ฮู้มาหลาย มันสิปึกลงจักหน่อยก็บ่เป็นหยัง" นี่เป็นเหตุให้เราต้องเรียนและอ่านจนเป็นบ้าเป็นหลัง หวังเพียงเพื่อจะได้กินหัวปลา ยิ่งอ่านยิ่งรู้ และยิ่งรู้ว่า "ปู่โกหกกูว่ะ" หัวปลา ไส้ปลา นี่อุดมด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์กับกะหมองของตรูมาก การไม่ได้กินนั่น ผมจึงปึกแป้นปีกมาเท่าทุกวันนี้ นี่ล่ะคือความรู้สึกที่เกิดขึ้น เมื่อหนังย้ำๆ คำว่า "คายอ้อ" จนเกลื่อนแทบทุกสิบนาที ปานว่าคนดูจะลืมว่า "กินหัวปลามันสิปึก" จนมันทำลายความงาม ธรรมชาติและสุนทรียะของซีนนั้นไปโดยความเยอะของ "คายอ้อ"
แม้ว่า space and time รวมทั้งฉากหลังของเรื่องจะชวนให้เข้าใจว่าเกิดขึ้นที่บ้านพักของชาวคณะหมอลำสาวน้อยเพชรบ้านแพงในช่วงเวลาก่อนเปิดวงในฤดูปีหนึ่งก็ตาม ความฉลาดของหนังก็ไม่ได้มุ่งขายความอลังการของความเป็นจริงของคณะ แต่กลับเซ็ตให้ดูแล้วกลับรู้สึกถึงสำนักปีพาทย์ของทางภาคกลางเสียกว่ากลิ่นอายของชาวหมอลำ รวมทั้งเส้นเรื่องก็ทิ้งน้ำหนักไปยังผลของการผิดครูผิดคาย (อ้อ) แบบเยียดยัดประดักประเดิด เต็มไปด้วยเส้นเรื่องรองหลายเส้น เพื่อหวังจะให้สนับสนุนเส้นเรื่องหลัก หากแต่การ balance น้ำหนักของเรื่องและการวางจังหวะที่ไม่ลงตัว จึงชวนให้เกิดความเบื่อหน่ายและเกิดคำถามในใจว่า นี่กำลังดูอะไร
พยายามมองหาความ original ถึงแม้จะประกอบสร้างหลายอย่างเพื่อให้เรื่องมีความสมบูรณ์ ก็ยังมองหาไม่เจอ นี่ไม่นับความรำคาญของเทคนิคหนังผียุคคุณปู่อย่างการ Jump scare ที่ย้ำๆ ทำๆ อย่างไร้ชั้นเชิงและการไร้เหตุผลในการปรากฏตัว ยังไม่นับว่าการปรากฏตัวแต่ละครั้งนั้น จะต้องมาสร้างความกระเพื่อมอะไรให้เรื่องดำเนินไปอย่างเติมเพิ่มระดับความหลอน...น่าเสียดาย ที่ผมเองก็แอบหลับตาหลายครั้ง เพราะรู้จังหวะของอีนางผีจะกระโดดมาใกล้กล้องเมื่อไร ถ้าไม่เกรงใจเพื่อนข้างๆ ที่เป็นธุระชวนไปดู และผู้กำกับ (พี่ใหม่) ที่นั่งอยู่ตรงหน้า คงเอามืออุดหูเสียงที่ดังกว่าปกติเพื่อให้ตกใจ ตามสไตล์ที่คนตัดต่อคงมั่นใจมากว่าเขาเอาหนังอยู่มือ แต่ก็ต้องชมว่า หนังดีได้ด้วยงานตัดต่อจริงๆ แม้จะแอบตัดต่อข้ามเส้นแบบหน้าตาเฉยก็ตาม (ผมว่าคนตัดรู้ตัว แต่อาจเพราะมันมีวัตถุดิบมาให้เลือกจำกัด)
ไม่ได้ชวนเกิดคำถามถึงขั้นว่า "เมื่อไรหนังจะจบ" เพราะแอบมีความคาดหวังในลายมือคนเขียนบทและลายมือของผู้กำกับ จึงดูได้ด้วยความหายใจเข้าลึกๆ และหายใจออกยาวๆ
ชื่นชมในการใช้ภาษาอีสานของตัวละครส่วนใหญ่ที่ใช้ภาษาถิ่นแบบไม่ใช่ "อีสานคาราโอเกะ" ถึงแม้จะมี "อีสานกระป๋อง" อยู่บ้าง ก็พอเข้าใจเหตุผลได้ ที่เจตนาของ "บอสโจ" นั้นได้ระดมทั้งพ่อครู แม่ครู หัวหน้าคณะต่างๆ เช่นในเครดิตท้ายเรื่อง มารวมมาร่วมปรากฏอยู่ในฉากต่างๆ ของหนัง แม้ว่าบทบาทในหนังจะไม่ค่อยมีอะไร ไม่ชัดเจนจนส่งให้การแสดงดูเด่น แต่ก็เป็นการน้อมนอบเคารพครูหมอลำด้วยหัวใจศรัทธานอกจอต่างหากที่มันสำคัญยิ่งสำหรับวงการศิลปะหมอลำ นอกจากนั้นแล้ว บอสโจในฐานะนายทุนผู้อำนวยการ ยังชวนเหล่าบรรดาอีสานอินฟลู มาปรากฏในบทบาทชาวคณะหมอลำเต็มไปทุกฉาก ถือว่าส่วนนี้เป็นสิ่งเรียกชวนเอฟซีเข้าสู่โรงหนังนั่นล่ะครับ
หากจะบอกถึงความดีงามของหนังเรื่องนี้ คงต้องพูดและชื่นชม "บอสโจ" แห่งสาวน้อยเพชรบ้านแพง ที่กล้าสร้างงานข้ามศาสตร์ที่ตนไม่เป็นไม่ถนัด และมีข่าวว่าเกิดปัญหามากมายในช่วงเริ่มต้น แต่ก็ยังมุ่งมั่น ตั้งใจ ทุ่มเท ด้วยทั้งเม็ดเงินและขับเคลื่อนด้วยศรัทธาอย่างแรงกล้าที่มีต่อ "อ้อ" คายครูหมอลำ จนทำให้หนังเรื่องนี้สำเร็จและได้ออกสู่สายตาผู้ชม โดยเฉพาะอย่าง ในห้วงยามที่หนังไทยขาดแคลนนายทุนใจถึงและ passion ในศาสตร์ภาพยนตร์ เช่นนั้น บอสโจ สำหรับผมจึงเป็นเสมือนผู้ต่อลมหายใจให้หนังสายอีสานได้มีหนังทางเลือกเพิ่มขึ้น ที่สำคัญ นี่ล่ะจะเป็นช่วงเวลาที่จะพิสูจน์หัวใจของแฟนคลับและเอฟซีของสาวน้อยเพชรบ้านแพง ว่ายังรัก ยังชื่นชมเมตตา พร้อมเปิดพื้นที่หัวใจให้ชาวหมอลำเข้าไปรับใช้ใกล้ชิดบันเทิง ด้วยการเหมารอบ เหมาโรง และจะสามารถสร้าง "ปรากฏการณ์โรงแตก" ได้หรือไม่....ผมแอบติดตาม
ส่วนตัวที่ประทับใจจนเผลอเคลิ้มไปกับอารมณ์หนังโดยไม่รู้ตัวคือ ซีนที่บักเคนจีบคำแพงที่เถียงนา มันโคตรน่ารัก ดูซื่อๆ แต่มีชั้นเชิง บอกชัดว่าคนเขียนซีนนี้มีประสบการณ์ชีวิตสูงมาก....อยากชวนไปดู "คายอ้อ" นะครับ ขอให้หนังได้ตังค์สมตั้งใจ คิดว่าบอสโจ จะต้องมีเรื่องต่อไปอย่างแน่นอน...
ความรู้สึกหลังจากชมภาพยนตร์เรื่อง "คายอ้อ ลบหลู่ ศรัทธา อาถรรพณ์" รอบกาลา พีเมียร์
"เราจะทำตามสัญญา...ขอเวลาอีกไม่นาน..."
หลายเดือนก่อนหน้านี้ หากความรู้สึกที่ได้ยินเพลงนี้หลอกหลอนเราตอนเช้าเย็นเป็นเช่นไร ต่อให้เนื้อเพลงดีเพราะและมีประโยชน์เช่นไร ใครจะใส่ใจไปมากกว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจจริงๆ พอกันกับทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า "คายอ้อ" ในหนังซ้ำๆ ย้ำๆ เพื่อตบกบาลของผู้ชมว่า นี่มันคือเวิร์สของ "คายอ้อ" ที่ตอกย้ำให้ "ต้องเชื่อ" แบบตรงๆ โดยไม่ต้องมาถามหาเหตุและผล จนต้องแปะสามคำมาย้ำในชื่อเรื่อง "ลบหลู่ ศรัทธา อาถรรพ์" พอปานกับตอนที่ปู่ผมบอกตอนเด็กๆ ว่า "อย่ากินหัวปลา มันสิปึก" เราเห็นปู่กินไส้ กินหัวปลาอย่างอร่อย อยากกินก็อยาก สงสัยก็สงสัย "เอ้า แล้วปู่บ่ย่านปึกรึ คือทรงแซ่บแท้" ปู่ก็ตอบด้วยเหตุผลที่ชวนให้ผมอยากจะยืนเยี่ยวรดพาข้าวแลงมาก "กูเฒ่าแล้ว ฮู้มาหลาย มันสิปึกลงจักหน่อยก็บ่เป็นหยัง" นี่เป็นเหตุให้เราต้องเรียนและอ่านจนเป็นบ้าเป็นหลัง หวังเพียงเพื่อจะได้กินหัวปลา ยิ่งอ่านยิ่งรู้ และยิ่งรู้ว่า "ปู่โกหกกูว่ะ" หัวปลา ไส้ปลา นี่อุดมด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์กับกะหมองของตรูมาก การไม่ได้กินนั่น ผมจึงปึกแป้นปีกมาเท่าทุกวันนี้ นี่ล่ะคือความรู้สึกที่เกิดขึ้น เมื่อหนังย้ำๆ คำว่า "คายอ้อ" จนเกลื่อนแทบทุกสิบนาที ปานว่าคนดูจะลืมว่า "กินหัวปลามันสิปึก" จนมันทำลายความงาม ธรรมชาติและสุนทรียะของซีนนั้นไปโดยความเยอะของ "คายอ้อ"
แม้ว่า space and time รวมทั้งฉากหลังของเรื่องจะชวนให้เข้าใจว่าเกิดขึ้นที่บ้านพักของชาวคณะหมอลำสาวน้อยเพชรบ้านแพงในช่วงเวลาก่อนเปิดวงในฤดูปีหนึ่งก็ตาม ความฉลาดของหนังก็ไม่ได้มุ่งขายความอลังการของความเป็นจริงของคณะ แต่กลับเซ็ตให้ดูแล้วกลับรู้สึกถึงสำนักปีพาทย์ของทางภาคกลางเสียกว่ากลิ่นอายของชาวหมอลำ รวมทั้งเส้นเรื่องก็ทิ้งน้ำหนักไปยังผลของการผิดครูผิดคาย (อ้อ) แบบเยียดยัดประดักประเดิด เต็มไปด้วยเส้นเรื่องรองหลายเส้น เพื่อหวังจะให้สนับสนุนเส้นเรื่องหลัก หากแต่การ balance น้ำหนักของเรื่องและการวางจังหวะที่ไม่ลงตัว จึงชวนให้เกิดความเบื่อหน่ายและเกิดคำถามในใจว่า นี่กำลังดูอะไร
พยายามมองหาความ original ถึงแม้จะประกอบสร้างหลายอย่างเพื่อให้เรื่องมีความสมบูรณ์ ก็ยังมองหาไม่เจอ นี่ไม่นับความรำคาญของเทคนิคหนังผียุคคุณปู่อย่างการ Jump scare ที่ย้ำๆ ทำๆ อย่างไร้ชั้นเชิงและการไร้เหตุผลในการปรากฏตัว ยังไม่นับว่าการปรากฏตัวแต่ละครั้งนั้น จะต้องมาสร้างความกระเพื่อมอะไรให้เรื่องดำเนินไปอย่างเติมเพิ่มระดับความหลอน...น่าเสียดาย ที่ผมเองก็แอบหลับตาหลายครั้ง เพราะรู้จังหวะของอีนางผีจะกระโดดมาใกล้กล้องเมื่อไร ถ้าไม่เกรงใจเพื่อนข้างๆ ที่เป็นธุระชวนไปดู และผู้กำกับ (พี่ใหม่) ที่นั่งอยู่ตรงหน้า คงเอามืออุดหูเสียงที่ดังกว่าปกติเพื่อให้ตกใจ ตามสไตล์ที่คนตัดต่อคงมั่นใจมากว่าเขาเอาหนังอยู่มือ แต่ก็ต้องชมว่า หนังดีได้ด้วยงานตัดต่อจริงๆ แม้จะแอบตัดต่อข้ามเส้นแบบหน้าตาเฉยก็ตาม (ผมว่าคนตัดรู้ตัว แต่อาจเพราะมันมีวัตถุดิบมาให้เลือกจำกัด)
ไม่ได้ชวนเกิดคำถามถึงขั้นว่า "เมื่อไรหนังจะจบ" เพราะแอบมีความคาดหวังในลายมือคนเขียนบทและลายมือของผู้กำกับ จึงดูได้ด้วยความหายใจเข้าลึกๆ และหายใจออกยาวๆ
ชื่นชมในการใช้ภาษาอีสานของตัวละครส่วนใหญ่ที่ใช้ภาษาถิ่นแบบไม่ใช่ "อีสานคาราโอเกะ" ถึงแม้จะมี "อีสานกระป๋อง" อยู่บ้าง ก็พอเข้าใจเหตุผลได้ ที่เจตนาของ "บอสโจ" นั้นได้ระดมทั้งพ่อครู แม่ครู หัวหน้าคณะต่างๆ เช่นในเครดิตท้ายเรื่อง มารวมมาร่วมปรากฏอยู่ในฉากต่างๆ ของหนัง แม้ว่าบทบาทในหนังจะไม่ค่อยมีอะไร ไม่ชัดเจนจนส่งให้การแสดงดูเด่น แต่ก็เป็นการน้อมนอบเคารพครูหมอลำด้วยหัวใจศรัทธานอกจอต่างหากที่มันสำคัญยิ่งสำหรับวงการศิลปะหมอลำ นอกจากนั้นแล้ว บอสโจในฐานะนายทุนผู้อำนวยการ ยังชวนเหล่าบรรดาอีสานอินฟลู มาปรากฏในบทบาทชาวคณะหมอลำเต็มไปทุกฉาก ถือว่าส่วนนี้เป็นสิ่งเรียกชวนเอฟซีเข้าสู่โรงหนังนั่นล่ะครับ
หากจะบอกถึงความดีงามของหนังเรื่องนี้ คงต้องพูดและชื่นชม "บอสโจ" แห่งสาวน้อยเพชรบ้านแพง ที่กล้าสร้างงานข้ามศาสตร์ที่ตนไม่เป็นไม่ถนัด และมีข่าวว่าเกิดปัญหามากมายในช่วงเริ่มต้น แต่ก็ยังมุ่งมั่น ตั้งใจ ทุ่มเท ด้วยทั้งเม็ดเงินและขับเคลื่อนด้วยศรัทธาอย่างแรงกล้าที่มีต่อ "อ้อ" คายครูหมอลำ จนทำให้หนังเรื่องนี้สำเร็จและได้ออกสู่สายตาผู้ชม โดยเฉพาะอย่าง ในห้วงยามที่หนังไทยขาดแคลนนายทุนใจถึงและ passion ในศาสตร์ภาพยนตร์ เช่นนั้น บอสโจ สำหรับผมจึงเป็นเสมือนผู้ต่อลมหายใจให้หนังสายอีสานได้มีหนังทางเลือกเพิ่มขึ้น ที่สำคัญ นี่ล่ะจะเป็นช่วงเวลาที่จะพิสูจน์หัวใจของแฟนคลับและเอฟซีของสาวน้อยเพชรบ้านแพง ว่ายังรัก ยังชื่นชมเมตตา พร้อมเปิดพื้นที่หัวใจให้ชาวหมอลำเข้าไปรับใช้ใกล้ชิดบันเทิง ด้วยการเหมารอบ เหมาโรง และจะสามารถสร้าง "ปรากฏการณ์โรงแตก" ได้หรือไม่....ผมแอบติดตาม
ส่วนตัวที่ประทับใจจนเผลอเคลิ้มไปกับอารมณ์หนังโดยไม่รู้ตัวคือ ซีนที่บักเคนจีบคำแพงที่เถียงนา มันโคตรน่ารัก ดูซื่อๆ แต่มีชั้นเชิง บอกชัดว่าคนเขียนซีนนี้มีประสบการณ์ชีวิตสูงมาก....อยากชวนไปดู "คายอ้อ" นะครับ ขอให้หนังได้ตังค์สมตั้งใจ คิดว่าบอสโจ จะต้องมีเรื่องต่อไปอย่างแน่นอน...